Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 21

กฎเกณฑ์สำหรับปุโรหิต

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงพูดกับปุโรหิตผู้เป็นบุตรทั้งหลายของอาโรนว่า ‘ปุโรหิตจะต้องไม่ทำตัวเป็นมลทินตามระเบียบพิธีเพราะการตายของญาติของเขา

2 เว้นแต่เป็นญาติสนิท คือบิดามารดา บุตรชายบุตรสาว พี่ชายน้องชาย

3 หรือพี่สาวน้องสาวที่เป็นโสดซึ่งพึ่งพาเขาเนื่องจากนางไม่มีสามี เขาอาจจะทำให้ตัวเองเป็นมลทินเพื่อนาง

4 เขาจะต้องไม่ทำตัวเองให้เป็นมลทินเพราะคนที่มาเป็นญาติของเขาผ่านทางภรรยาและทำให้ตัวเองแปดเปื้อน

5 “ ‘ปุโรหิตจะต้องไม่โกนผม หรือกันเครา หรือเชือดเนื้อตัวเอง

6 เขาจะต้องบริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเขา และห้ามลบหลู่หรือหมิ่นประมาทพระนามพระเจ้าของเขา เพราะเขาเป็นผู้ถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของพวกเขา พวกเขาต้องบริสุทธิ์

7 “ ‘ปุโรหิตจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงโสเภณี หรือหญิงที่หย่าร้างจากสามี เพราะปุโรหิตเป็นผู้บริสุทธิ์แด่พระเจ้าของเขา

8 จงถือว่าพวกเขาบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาเป็นผู้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้า จงถือว่าพวกเขาบริสุทธิ์เพราะเราผู้เป็นพระยาห์เวห์เป็นผู้บริสุทธิ์ เราเป็นผู้ทำให้เจ้าบริสุทธิ์

9 “ ‘บุตรสาวของปุโรหิตคนใดปล่อยตัวให้เป็นมลทินโดยเป็นหญิงโสเภณีก็ทำให้บิดาอับอายขายหน้า นางจะต้องถูกเผาไฟ

10 “ ‘มหาปุโรหิตเป็นผู้หนึ่งในบรรดาพี่น้องของเขาซึ่งได้รับการเจิมตั้งด้วยน้ำมันเจิมบนศีรษะและได้รับการสถาปนาให้สวมเครื่องแต่งกายปุโรหิต เขาจะต้องไม่ปล่อยผมรุงรังเป็นการไว้ทุกข์ หรือฉีกเสื้อผ้าของตน

11 เขาจะต้องไม่เข้าไปในสถานที่ซึ่งมีศพอยู่ เขาต้องไม่ทำให้ตัวเองเป็นมลทิน แม้แต่เพื่อบิดามารดาของเขา

12 เขาจะไม่ออกจากสถานนมัสการของพระเจ้าของเขา หรือทำให้สถานนมัสการนั้นเป็นมลทิน เพราะเขาได้รับการอุทิศถวายโดยน้ำมันเจิมของพระเจ้า เราคือพระยาห์เวห์

13 “ ‘หญิงที่เขาแต่งงานด้วยจะต้องเป็นหญิงพรหมจารี

14 เขาจะต้องไม่แต่งงานกับหญิงม่าย หญิงที่หย่าร้าง หรือหญิงโสเภณี หญิงที่เขาแต่งงานด้วยจะต้องเป็นหญิงพรหมจารีตระกูลเดียวกัน

15 เพื่อเขาจะไม่ทำให้วงศ์วานของเขาเป็นมลทินในหมู่ประชากรของเขา เราคือพระยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์’ ”

16 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

17 “จงกล่าวแก่อาโรนว่า ‘ตลอดทุกชั่วอายุวงศ์วานของเจ้า อย่าให้คนใดซึ่งมีร่างกายไม่สมประกอบเข้าไปถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเขา

18 ผู้ใดที่มีตำหนิ อย่าเข้าไป ไม่ว่าตาบอด ขาพิการ เสียโฉม หรือพิกลพิการ

19 มือเท้าเป็นง่อย

20 หลังโกง แคระแกร็น ตาพิการ เป็นหิด เป็นโรคผิวหนัง หรือมีอวัยวะเพศไม่สมประกอบ

21 แม้จะเป็นวงศ์วานของปุโรหิตอาโรน ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาใกล้เพื่อถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเขาไม่สมประกอบ เขาจะต้องไม่เข้ามาใกล้เพื่อถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเขา

22 เขาสามารถรับประทานเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์หรือที่บริสุทธิ์ที่สุดของพระเจ้าของเขา

23 แต่เขาจะเข้าใกล้ม่านหรือเข้าใกล้แท่นบูชาไม่ได้เนื่องจากมีร่างกายไม่สมประกอบ ซึ่งจะเป็นการลบหลู่สถานนมัสการของเรา เราคือพระยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์’ ”

24 ดังนั้นโมเสสจึงบอกสิ่งเหล่านี้แก่อาโรนกับบุตรชายและปวงชนอิสราเอล

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/21-e1ecddd0faf0b6795f0fdda7ae530db1.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 22

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงบอกอาโรนกับบุตรชายให้ปฏิบัติต่อเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลนำมาถวายแก่เรานั้นด้วยความเคารพยำเกรง จะได้ไม่เป็นการลบหลู่นามอันบริสุทธิ์ของเรา เราคือพระยาห์เวห์

3 “จงบอกกับพวกเขาว่า ‘นับแต่นี้ต่อไปทุกชั่วอายุ ลูกหลานของเจ้าคนใดซึ่งเป็นมลทินตามระเบียบพิธี แต่ยังขืนเข้าใกล้เครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลนำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นั้นจะต้องถูกตัดขาด ไม่ให้มาอยู่ต่อหน้าเรา เราคือพระยาห์เวห์

4 “ ‘ถ้าลูกหลานคนใดของอาโรนที่เป็นโรคติดต่อทางผิวหนังหรือมีสิ่งที่หลั่งออกจากร่างกาย ห้ามกินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์จนกว่าจะรับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เขาจะเป็นมลทินด้วยถ้าเขาแตะต้องสิ่งที่แปดเปื้อนจากศพหรือจากคนที่หลั่งน้ำอสุจิ

5 หรือถ้าเขาแตะต้องสัตว์เลื้อยคลานที่ทำให้เขาเป็นมลทิน หรือแตะต้องผู้ที่ทำให้เขาเป็นมลทิน ไม่ว่าจะเป็นมลทินในลักษณะใดก็ตาม

6 ผู้ที่แตะต้องสิ่งเหล่านั้นจะเป็นมลทินจนถึงเวลาเย็น เขาจะต้องไม่กินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์จนกว่าจะได้อาบน้ำชำระตัว

7 เมื่อดวงอาทิตย์ลับไปแล้ว เขาจึงจะสะอาด และกินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ เพราะเป็นอาหารของเขา

8 เขาต้องไม่กินสัตว์ใดซึ่งตายเองหรือถูกสัตว์ป่าฆ่าตาย เพราะจะทำให้เขาเป็นมลทิน เราคือพระยาห์เวห์

9 “ ‘ปุโรหิตทั้งหลายต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของเรา เพื่อเขาจะไม่มีความผิดและตายเพราะลบหลู่สิ่งเหล่านั้น เราคือพระยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์

10 “ ‘ผู้ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของปุโรหิต ห้ามกินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนปุโรหิตหรือลูกจ้างก็กินไม่ได้

11 ยกเว้นทาสที่ปุโรหิตซื้อตัวมาหรือลูกทาสที่เกิดในเรือนของปุโรหิตสามารถกินอาหารดังกล่าวได้

12 หากบุตรสาวของปุโรหิตแต่งงานกับคนที่ไม่ได้เป็นปุโรหิต ห้ามนางกินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับส่วนแบ่งมานั้น

13 แต่หากลูกสาวของปุโรหิตเป็นม่ายหรือหย่าร้างและไม่มีบุตร แล้วนางกลับมาอาศัยอยู่บ้านบิดาเหมือนตอนที่ยังเป็นสาว นางจะกินอาหารของบิดาได้อีก ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีสิทธิ์ อย่ากินอาหารนี้

14 “ ‘หากผู้ใดกินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาต้องคืนให้แก่ปุโรหิตตามจำนวนที่เขากินไป และเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของมูลค่าของสิ่งนั้น

15 ปุโรหิตจะต้องไม่ลบหลู่เครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวอิสราเอลนำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

16 โดยยอมให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์กินเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นเหตุให้พวกเขามีความผิดต้องชดใช้ เราคือพระยาห์เวห์ผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์’ ”

เครื่องบูชาซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

18 “จงกล่าวแก่อาโรนกับบุตรชายและปวงชนอิสราเอลว่า ‘หากชาวอิสราเอลหรือคนต่างด้าวคนใดที่อาศัยในหมู่พวกเจ้า จะถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะถวายตามสัตย์ปฏิญาณหรือเป็นเครื่องบูชาตามความสมัครใจ

19 เจ้าจะต้องถวายสัตว์ตัวผู้ที่ไม่มีตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นวัว แกะ หรือแพะ เพื่อของถวายนั้นจะเป็นที่ยอมรับแทนตัวเจ้า

20 อย่านำสิ่งใดที่มีตำหนิมาถวาย เพราะว่าสิ่งนั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับแทนตัวเจ้า

21 ผู้ใดคัดเลือกสัตว์จากฝูงวัวหรือฝูงแพะแกะเป็นเครื่องสันติบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะทำตามสัตย์ปฏิญาณหรือถวายตามความสมัครใจ จะต้องถวายสัตว์ที่ไม่มีตำหนิจึงจะเป็นที่ยอมรับ

22 อย่าถวายสัตว์ตาบอด พิกลพิการหรือไม่สมประกอบ มีแผล เป็นเรื้อน หรือโรคผิวหนังอื่นๆ แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่านำมาวางบนแท่นบูชา ถวายเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

23 แต่ถ้าลูกวัวหรือลูกแกะที่นำมาถวายมีอวัยวะส่วนใดงอกผิดปกติหรือขาดหายไป อาจจะถวายเป็นเครื่องบูชาตามความสมัครใจได้ แต่จะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นของถวายตามสัตย์ปฏิญาณ

24 สัตว์ตัวใดมีอวัยวะเพศไม่ปกติ ลีบ หรือถูกตอน อย่านำมาถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเจ้าอย่าทำเช่นนี้ในดินแดนของเจ้า

25 เจ้าอย่ารับสัตว์เหล่านี้จากมือของคนต่างด้าวและถวายเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าของเจ้า เพราะสัตว์ที่พิการและมีตำหนิจะไม่เป็นที่ยอมรับแทนตัวเจ้า’ ”

26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

27 “เมื่อลูกวัว แกะ หรือแพะเกิดมา จงปล่อยมันไว้กับแม่เป็นเวลาเจ็ดวัน ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไปจึงจะเป็นที่ยอมรับให้เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

28 อย่าฆ่าลูกและแม่ของวัวหรือแกะในวันเดียวกัน

29 “เมื่อถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องถวายตามวิธีซึ่งจะเป็นที่ยอมรับแทนตัวเจ้า

30 จงกินให้หมดในวันนั้น อย่าเหลือค้างถึงวันรุ่งขึ้น เราคือพระยาห์เวห์

31 “จงถือรักษาและปฏิบัติตามคำสั่งของเรา เราคือพระยาห์เวห์

32 อย่าลบหลู่นามอันบริสุทธิ์ของเรา ชนอิสราเอลจะต้องรับรู้ว่าเราบริสุทธิ์ เราคือพระยาห์เวห์ผู้ทำให้เจ้าบริสุทธิ์

33 และเป็นผู้นำเจ้าออกจากอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/22-44b2fcd0b96b6ad6dc8b40f945e32d41.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 23

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘ต่อไปนี้เป็นเทศกาลที่เรากำหนดไว้ เป็นเทศกาลตามกำหนดขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เจ้าต้องประกาศให้ถือเป็นการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์

วันสะบาโต

3 “ ‘เจ้ามีหกวันไว้ทำงานต่างๆ แต่วันที่เจ็ดเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพัก เป็นวันประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ เจ้าอย่าทำงานใดๆ เลย ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน วันนั้นเป็นสะบาโตแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

เทศกาลปัสกาและเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ

4 “ ‘ต่อไปนี้คือเทศกาลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ให้พวกเจ้าถือเป็นวันประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ตามวาระ

5 เทศกาลปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกในวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง

6 เทศกาลกินขนมปังไม่ใส่เชื้อถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่มตั้งแต่วันที่สิบห้าของเดือนเดียวกัน จงกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน

7 จงเรียกประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ในวันแรกของเทศกาล อย่าทำงานใดๆ เลย

8 จงเผาเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน และในวันที่เจ็ดจงเรียกประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำงานใดๆ เลย’ ”

เทศกาลผลแรก

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

10 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนซึ่งเราจะยกให้เจ้าและเก็บเกี่ยวผลผลิต จงนำข้าวฟ่อนแรกที่เก็บเกี่ยวได้มามอบให้แก่ปุโรหิต

11 ในวันถัดจากสะบาโต ปุโรหิตต้องยื่นฟ่อนข้าวนั้นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงยอมรับแทนตัวเจ้า

12 ในวันที่เจ้ายื่นถวายฟ่อนข้าว เจ้าจะต้องถวายลูกแกะ อายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

13 พร้อมด้วยธัญบูชาคือ แป้งโม่ละเอียดประมาณ 4.5 ลิตรเคล้าน้ำมัน เพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย พร้อมกันนี้จงถวายเครื่องดื่มบูชาคือ เหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตรด้วย

14 เจ้าอย่ากินขนมปังหรือเมล็ดข้าวอบ หรือเมล็ดข้าวใหม่จนกว่าจะถึงวันที่เจ้านำเครื่องบูชาเหล่านี้มาถวายแด่พระเจ้าของเจ้า นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด

เทศกาลสัปดาห์

15 “ ‘หลังจากวันสะบาโต วันที่ได้นำฟ่อนข้าวมาเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย จงนับจากวันนั้นไปจนครบเจ็ดสัปดาห์เต็ม

16 นับไปจนครบห้าสิบวันจนถึงวันถัดจากวันสะบาโตที่เจ็ด แล้วจงนำเมล็ดข้าวใหม่มาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด จงนำขนมปังสองก้อนที่ทำจากแป้งละเอียดประมาณ 4.5 ลิตรใส่เชื้อมาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายจากผลแรกแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

18 พร้อมกับขนมปังนี้ให้นำลูกแกะตัวผู้ไม่มีตำหนิอายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว วัวหนุ่มหนึ่งตัวและแกะผู้สองตัวมาเป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมด้วยธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องเผาบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

19 จากนั้นจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และลูกแกะอายุหนึ่งขวบสองตัวเป็นเครื่องสันติบูชา

20 ปุโรหิตต้องยื่นถวายลูกแกะสองตัวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวายพร้อมกับขนมปังของผลแรก เป็นเครื่องบูชาอันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับปุโรหิต

21 จงประกาศให้วันนั้นมีการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ และอย่าทำงานในวันนั้นเลย นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด

22 “ ‘เมื่อเจ้าเก็บเกี่ยวพืชผล อย่าเก็บจนเกลี้ยงไปถึงขอบนา อย่าเก็บเมล็ดข้าวที่ตกเกลื่อนกลาด จงปล่อยไว้ให้เป็นส่วนของคนยากไร้และคนต่างด้าว เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ ”

เทศกาลเสียงแตร

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

24 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘ให้ถือวันที่หนึ่งของเดือนที่เจ็ดเป็นวันหยุดพัก มีการฉลองด้วยเสียงแตรกระหึ่ม เป็นวันประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์

25 ให้หยุดทำงานทุกอย่าง แต่จงถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า’ ”

วันลบบาป

26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

27 “วันที่สิบของเดือนที่เจ็ดเป็นวันลบบาป ให้มีการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ จงบังคับตนและถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

28 อย่าทำงานใดๆ ในวันนั้นเพราะเป็นวันลบบาป เพื่อลบบาปให้แก่เจ้าต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

29 ผู้ใดไม่ได้บังคับตนในวันนั้น จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา

30 ผู้ที่ทำงานใดๆ ในวันนั้น เราจะทำลายจากหมู่ประชากร

31 เจ้าอย่าทำงานใดๆ เลย นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด

32 ให้ถือเป็นวันสะบาโตแห่งการหยุดพักสำหรับเจ้า และเจ้าต้องบังคับตนตั้งแต่เย็นวันที่เก้าเดือนนั้นจนถึงเย็นวันรุ่งขึ้น เจ้าจะต้องถือรักษาสะบาโตของเจ้า”

เทศกาลอยู่เพิง

33 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

34 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘วันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ดเป็นวันเริ่มฉลองเทศกาลอยู่เพิงขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ฉลองไปจนครบเจ็ดวัน

35 ในวันแรกเป็นวันประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำงานใดๆ เลย

36 ทุกวันในช่วงเทศกาลนี้ จงถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน และในวันที่แปดให้มีการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพิธีปิดการประชุม อย่าทำงานใดๆ เลย

37 (“ ‘ต่อไปนี้คือเทศกาลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ ซึ่งเจ้าจะต้องประกาศให้เป็นการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำเครื่องบูชาด้วยไฟมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าคือเครื่องเผาบูชา เครื่องธัญบูชา เครื่องสัตวบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามที่กำหนดไว้แต่ละวัน

38 เครื่องบูชาเหล่านี้เพิ่มเติมจากเครื่องถวายเพื่อสะบาโตต่างๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเพิ่มเติมจากของถวายต่างๆ ตามคำปฏิญาณและของถวายตามความสมัครใจแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า)

39 “ ‘จงฉลองเทศกาลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่วันที่สิบห้าเดือนที่เจ็ดซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว ให้ถือวันแรกสุดและวันที่แปดเป็นวันแห่งการหยุดพัก

40 เจ้าจงนำสิ่งเหล่านี้มาในวันแรกคือผลไม้คัดอย่างดี กิ่งอินทผลัม กิ่งไม้ใบดก กิ่งปอปลาร์ และจงรื่นเริงยินดีต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าตลอดเจ็ดวัน

41 ในเดือนที่เจ็ดของทุกปี เจ้าจงฉลองเทศกาลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเวลาเจ็ดวัน นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ

42 ชาวอิสราเอลโดยกำเนิดทุกคนต้องอยู่ในเพิงตลอดเจ็ดวัน

43 เพื่อลูกหลานของเจ้าจะรู้ว่าเราได้ให้ชนอิสราเอลอาศัยอยู่ในเพิง เมื่อเรานำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ ”

44 ดังนั้นโมเสสจึงประกาศเทศกาลเหล่านี้ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดแก่ชนอิสราเอล

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/23-d8a7f5a0c378708d638f29e74d5638a7.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 24

น้ำมันและขนมปังเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงสั่งประชากรอิสราเอลให้นำน้ำมันบริสุทธิ์สกัดจากมะกอกมาเพื่อเติมตะเกียงให้ลุกอยู่เสมอ

3 ให้อาโรนคอยดูแลคันประทีปต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งอยู่นอกม่านที่กั้นหีบพันธสัญญาในเต็นท์นัดพบ ให้ลุกอยู่เสมอตั้งแต่เย็นจนกระทั่งเช้า นี่เป็นข้อปฏิบัติถาวรสืบไปทุกชั่วอายุ

4 จงดูแลตะเกียงที่คันประทีปทองคำบริสุทธิ์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ

5 “จงใช้แป้งละเอียดทำขนมปังสิบสองก้อน ก้อนหนึ่งใช้แป้งประมาณ 4.5 ลิตร

6 วางขนมปังนี้บนโต๊ะทองคำบริสุทธิ์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยวางเป็นสองแถว แถวละหกก้อน

7 จงใส่เครื่องหอมบริสุทธิ์ไว้ทุกแถว เพื่อเป็นส่วนอนุสรณ์ เป็นสิ่งที่ใช้แทนขนมปัง และเพื่อเป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

8 จงวางขนมปังนี้ไว้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าสม่ำเสมอทุกสะบาโตในนามของชาวอิสราเอล เป็นพันธสัญญายืนยงถาวร

9 อาโรนกับบรรดาบุตรชายจะกินขนมปังเหล่านี้ในที่บริสุทธิ์ เพราะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุด เป็นส่วนที่ปุโรหิตได้รับเป็นประจำจากเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า”

การลงโทษผู้หมิ่นประมาท

10 วันหนึ่งที่ค่ายพักแรม มีชายคนหนึ่งซึ่งมารดาเป็นชาวอิสราเอล ส่วนบิดาเป็นชาวอียิปต์ทะเลาะวิวาทกับชายอิสราเอลคนหนึ่ง

11 บุตรของหญิงอิสราเอลนั้นกล่าววาจาลบหลู่พระนามของพระเจ้าด้วยคำสาปแช่ง เขาจึงถูกนำตัวมาให้โมเสสตัดสิน (มารดาของเขาคือเชโลมิธบุตรสาวของดิบรีแห่งเผ่าดาน)

12 เขาถูกคุมตัวไว้จนกว่าพวกเขาจะทราบพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดเจน

13 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

14 “จงนำตัวคนที่หมิ่นประมาทนั้นออกไปนอกค่ายพัก และให้ทุกคนที่ได้ยินเขากล่าวหมิ่นประมาทวางมือบนศีรษะของเขา จากนั้นชุมนุมประชากรทั้งหมดจงเอาหินขว้างเขา

15 จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘ถ้าผู้ใดแช่งด่าพระเจ้า เขาจะต้องรับผิดชอบ

16 ผู้ใดหมิ่นประมาทพระนามพระยาห์เวห์ จะต้องมีโทษถึงตาย ชุมนุมประชากรทั้งหมดจะต้องเอาหินขว้างเขา ไม่ว่าคนต่างด้าวหรือคนอิสราเอลโดยกำเนิด ผู้ใดหมิ่นประมาทพระนามพระเจ้าจะต้องถูกประหาร

17 “ ‘ผู้ใดฆ่าคนจะต้องรับโทษถึงตาย

18 ผู้ใดฆ่าสัตว์ของคนอื่นจะต้องชดใช้ ชีวิตแลกชีวิต

19 โทษสำหรับการทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บคือถูกทำให้บาดเจ็บเช่นเดียวกัน

20 กระดูกหักแทนกระดูกหัก ตาแทนตา ฟันแทนฟัน เขาทำร้ายคนอื่นอย่างไรก็จะถูกทำร้ายอย่างนั้น

21 ผู้ใดฆ่าสัตว์จะต้องชดใช้สำหรับสัตว์ตัวนั้น ผู้ใดฆ่าคนจะต้องถูกประหาร

22 กฎเกณฑ์นี้สำหรับทั้งคนต่างด้าวและคนอิสราเอลโดยกำเนิด เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า’ ”

23 โมเสสจึงแจ้งชนอิสราเอล พวกเขาก็นำตัวชายที่หมิ่นประมาทออกไปนอกค่ายพัก เอาหินขว้างเขา ชาวอิสราเอลได้ทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/24-018d3ee2092d30312f43ca342c76bf41.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 25

ปีสะบาโต

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนายว่า

2 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายเข้าสู่ดินแดนซึ่งเราจะยกให้เจ้า ดินแดนนั้นจะต้องถือสะบาโตแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

3 เจ้าอาจจะหว่าน ลิดแขนงองุ่น หรือเก็บเกี่ยวพืชผลเป็นเวลาหกปี

4 แต่ปีที่เจ็ดเป็นสะบาโตถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นสะบาโตแห่งการหยุดพักสำหรับแผ่นดิน อย่าไถหว่านที่ดิน หรือลิดแขนงสวนองุ่นของเจ้า

5 อย่าเก็บเกี่ยวพืชผลใดๆ ซึ่งงอกขึ้นเอง และอย่าเก็บองุ่นซึ่งขึ้นเองตามแขนงที่เจ้าไม่ได้ลิด จงให้เป็นปีแห่งการหยุดพักสำหรับแผ่นดิน

6 พืชผลใดซึ่งงอกขึ้นในปีสะบาโตนั้นจะเป็นอาหารสำหรับเจ้าทุกคน ทั้งตัวเจ้าเอง ข้าทาสชายหญิง ลูกจ้าง หรือคนที่มาพักอาศัยชั่วคราวท่ามกลางเจ้า

7 ฝูงสัตว์และสัตว์ป่าในที่ดินของเจ้าก็เช่นกัน สามารถกินพืชผลที่งอกขึ้นนั้นได้

ปีกึ่งศตวรรษ

8 “ ‘ทุกปีที่ห้าสิบ หลังจากปีสะบาโตผ่านไปเจ็ดครั้ง นั่นคือเป็นเวลา 49 ปี

9 ในวันลบบาปคือวันที่สิบของเดือนที่เจ็ด จงเป่าแตรให้ดังทั่วทั้งแผ่นดินของเจ้า

10 จงถือรักษาปีกึ่งศตวรรษเป็นปีบริสุทธิ์ และประกาศอิสรภาพทั่วดินแดนแก่พลเมืองทุกคน เป็นปีเฉลิมฉลองพิเศษสำหรับเจ้า เจ้าแต่ละคนจงกลับสู่ที่ดินกรรมสิทธิ์ของครอบครัว และกลับสู่วงศ์ตระกูลของตน

11 ปีกึ่งศตวรรษเป็นวาระพิเศษสำหรับเจ้า อย่าหว่านและอย่าเก็บเกี่ยวสิ่งที่งอกขึ้นเอง หรืออย่าเก็บผลองุ่นที่ขึ้นเอง

12 เพราะเป็นปีเฉลิมฉลองพิเศษ และเป็นปีบริสุทธิ์สำหรับเจ้า จงกินแต่พืชผลที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

13 “ ‘ในปีกึ่งศตวรรษนี้ ทุกคนจงกลับสู่ที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ดั้งเดิมของตน

14 “ ‘หากเจ้าซื้อขายที่ดินกับพี่น้องร่วมชาติ อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน

15 เจ้าจงซื้อที่ดินจากพี่น้องร่วมชาติโดยคำนวณราคาตามจำนวนปีนับจากปีกึ่งศตวรรษ เขาจะต้องขายให้เจ้าในราคาตามจำนวนปีที่เหลือสำหรับการเก็บเกี่ยวพืชผล

16 หากยังเหลืออีกหลายปี เจ้าจงเพิ่มราคา หากเหลือไม่กี่ปี จงลดราคา เพราะที่จริงแล้วสิ่งที่เขาขายให้เจ้าคือจำนวนพืชผลที่จะได้

17 อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน จงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

18 “ ‘จงทำตามกฎหมายของเรา จงใส่ใจที่จะเชื่อฟังและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา แล้วเจ้าจะดำเนินชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยในดินแดนนั้น

19 แล้วแผ่นดินจะให้พืชผลแก่เจ้า เจ้าจะอิ่มหนำสำราญและอยู่อย่างปลอดภัยในที่แห่งนั้น

20 เจ้าอาจถามว่า “แล้วพวกเราจะกินอะไรในปีที่เจ็ด หากเราไม่ปลูกและเก็บเกี่ยวพืชผลของเรา?”

21 เราจะอวยพรเจ้าในปีที่หก จนแผ่นดินให้พืชผลมากพอสำหรับสามปี

22 ขณะที่เจ้าปลูกในช่วงปีที่แปด เจ้าจะยังกินพืชผลเก่านั้นต่อไปจนกระทั่งถึงฤดูเก็บเกี่ยวของปีที่เก้า

23 “ ‘ที่ดินจะขายขาดไม่ได้เพราะแผ่นดินเป็นของเรา พวกเจ้าเป็นเพียงคนต่างด้าวและผู้เช่าอาศัยทำกินจากเรา

24 ทั่วแดนที่เจ้าถือครองเป็นกรรมสิทธิ์ จงให้มีการไถ่ถอนที่ดินคืนได้

25 “ ‘หากพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจนและขายที่ดินบางส่วนไป ญาติสนิทที่สุดของคนนั้นอาจจะมาไถ่คืนได้

26 หากไม่มีคนอื่นมาไถ่คืนให้เขา แต่ตัวคนนั้นเองร่ำรวยขึ้น มีเงินพอที่จะไถ่

27 เขาสามารถมาซื้อคืนในราคาซึ่งได้สัดส่วนกับจำนวนพืชผลจากวันที่ขายที่ดิน เจ้าของใหม่จะต้องยอมรับเงินจำนวนนั้นและคืนที่ดินให้

28 แต่หากเจ้าของเดิมไม่สามารถซื้อคืน ก็จะตกเป็นของเจ้าของคนใหม่จนถึงปีกึ่งศตวรรษซึ่งจะต้องคืนให้เจ้าของเดิมอีกครั้ง

29 “ ‘ผู้ใดขายบ้านในเขตกำแพงเมือง เขามีสิทธิ์ซื้อคืนอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาหนึ่งปีแรก

30 หากไม่ได้ซื้อคืนภายในหนึ่งปี บ้านที่อยู่ในกำแพงเมืองหลังนั้นจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของคนใหม่และลูกหลานของเขาอย่างถาวร ไม่ต้องคืนให้เจ้าของเดิมในปีกึ่งศตวรรษ

31 ส่วนบ้านซึ่งอยู่ในหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงเมืองล้อมรอบ จะเป็นเหมือนที่ดินโล่งคือซื้อคืนได้ทุกโอกาส และจะต้องคืนให้เจ้าของเดิมในปีกึ่งศตวรรษ

32 “ ‘คนเลวีมีสิทธิ์ที่จะไถ่บ้านของพวกเขาในเมืองของคนเลวีซึ่งเขาเป็นเจ้าของได้เสมอ

33 ดังนั้นทรัพย์สินของคนเลวี นั่นคือบ้านหลังใดที่ขายในเมืองใดก็ตามที่พวกเขาถือกรรมสิทธิ์ สามารถไถ่ถอนได้ และจะต้องคืนให้กับเจ้าของเดิมในปีกึ่งศตวรรษ เพราะบ้านทั้งหลายในเมืองต่างๆ ของคนเลวีเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาท่ามกลางคนอิสราเอล

34 แต่ห้ามขายที่ดินที่เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ของเมืองนั้น เพราะเป็นกรรมสิทธิ์ถาวรของพวกเขา

35 “ ‘หากพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจนลง ไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เจ้าจงช่วยเหลือเขาเหมือนที่เอื้อเฟื้อแก่คนต่างด้าวหรือผู้ที่อาศัยอยู่กับเจ้าชั่วคราว เพื่อเขาจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าต่อไปได้

36 อย่าคิดดอกเบี้ยใดๆจากเขา แต่จงยำเกรงพระเจ้า เพื่อพี่น้องนั้นจะคงอยู่ท่ามกลางเจ้าได้

37 อย่าคิดดอกเบี้ยจากเงินที่ให้เขายืม หรือค้ากำไรจากการขายอาหารแก่เขา

38 เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์เพื่อยกดินแดนคานาอันให้แก่เจ้า และเพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า

39 “ ‘หากพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจนและขายตัวเองให้เจ้า อย่าใช้งานเขาเยี่ยงทาส

40 แต่จงปฏิบัติต่อเขาเสมือนลูกจ้าง หรือผู้ที่มาอาศัยชั่วคราวท่ามกลางเจ้า และเขาจะปรนนิบัติรับใช้เจ้าจนถึงปีกึ่งศตวรรษ

41 เมื่อนั้นเขาและลูกๆ จะต้องได้รับการปลดปล่อยให้เป็นไทและกลับไปสู่วงศ์ตระกูลและที่ดินของบรรพบุรุษ

42 เพราะชนอิสราเอลเป็นผู้รับใช้ของเรา ซึ่งเรานำออกมาจากอียิปต์ เขาต้องไม่ถูกขายเป็นทาส

43 อย่าปกครองเขาอย่างทารุณอำมหิต แต่จงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า

44 “ ‘ทาสชายหญิงของเจ้าจะต้องมาจากชนชาติต่างๆ รอบๆ เจ้า เจ้าอาจซื้อทาสจากพวกเขา

45 และเจ้าอาจซื้อคนที่มาขออาศัยอยู่ชั่วคราวท่ามกลางเจ้าบางคน และสมาชิกในตระกูลของเขาที่เกิดในดินแดนของเจ้า และพวกเขาจะเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า

46 เจ้าจะยกพวกเขาให้เป็นมรดกสืบทอดไปยังลูกหลานหรือเป็นทาสชั่วชีวิตก็ได้ แต่ห้ามเจ้าปกครองพี่น้องร่วมชาติอิสราเอลอย่างทารุณโหดร้าย

47 “ ‘หากคนต่างด้าวหรือผู้มาอาศัยอยู่ชั่วคราวในหมู่พวกเจ้าร่ำรวยขึ้น แล้วมีชาวอิสราเอลพี่น้องร่วมชาติของเจ้าที่ยากจน และขายตัวเองเป็นทาสของคนต่างด้าวคนนั้นหรือของเครือญาติของเขา

48 เขามีสิทธิ์ไถ่ถอนตัวหลังจากขายตัวเป็นทาส ให้ญาติของเขาไถ่ตัวเขาคืนมา

49 จะเป็นลุง น้า อา ลูกพี่ลูกน้อง หรือใครก็ได้ซึ่งเป็นญาติตามสายเลือดในตระกูลของเขา หรือคนนั้นอาจจะไถ่ตัวเองเป็นไทเมื่อร่ำรวยมีเงินพอ

50 ตัวเขาและผู้ที่ซื้อเขาไปจะต้องนับเวลาจากปีที่เขาขายตัวเองเป็นทาสไปจนถึงปีกึ่งศตวรรษ ราคาที่จะไถ่ตัวเขาจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของอัตราค่าจ้างคนงานตามจำนวนปีเหล่านั้น

51 หากยังมีอีกหลายปีกว่าจะถึงปีกึ่งศตวรรษ เขาจะต้องจ่ายเกือบเท่าจำนวนค่าตัวเมื่อเริ่มเป็นทาส

52 หากอีกไม่กี่ปีก็ถึงปีกึ่งศตวรรษ เขาจะต้องคำนวนและจ่ายค่าไถ่ถอนตามจำนวนปีที่เหลือนั้น

53 ผู้ที่ซื้อตัวเขาไปจะต้องปฏิบัติต่อเขาเสมือนลูกจ้างรายปี เจ้าต้องดูแลไม่ให้เจ้าของปกครองเขาอย่างทารุณโหดร้าย

54 “ ‘หากเขายังไม่ได้รับการไถ่ตัวโดยวิธีเหล่านี้เขาและลูกหลานจะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเมื่อถึงปีกึ่งศตวรรษ

55 เพราะประชากรอิสราเอลเป็นผู้รับใช้ของเรา พวกเขาเป็นผู้รับใช้ที่เรานำออกมาจากอียิปต์ เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/25-2a59959442d7b3a79c64cd0266d9e3fe.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 26

รางวัลของการเชื่อฟัง

1 “ ‘เจ้าอย่าสร้างรูปเคารพ หรือทำแบบจำลอง หรือตั้งศิลาศักดิ์สิทธิ์สำหรับตัวเจ้าและอย่าวางหินสลักในดินแดนของเจ้าเพื่อกราบไหว้ เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

2 “ ‘จงถือรักษาสะบาโตของเรา และยำเกรงสถานนมัสการของเรา เราคือพระยาห์เวห์

3 “ ‘หากเจ้าปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจเชื่อฟังคำสั่งของเรา

4 เราจะให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล แผ่นดินจะให้พืชผลอุดมและต้นไม้จะออกผล

5 ช่วงเวลานวดข้าวจะเนิ่นนานถึงฤดูเก็บผลองุ่น และฤดูเก็บผลองุ่นจะเนิ่นนานไปถึงฤดูหว่าน เจ้าจะได้รับประทานอย่างอิ่มหนำ และอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยในแผ่นดินของเจ้า

6 “ ‘เราจะให้ความสงบสุขในแผ่นดินนั้น ยามนอนเจ้าจะไม่ต้องหวาดผวา เราจะขับไล่สัตว์ร้ายออกไปจากแผ่นดินนั้น และดาบจะไม่แผ้วพานแผ่นดินของเจ้าเลย

7 เจ้าจะรุกไล่ศัตรูของเจ้า คนเหล่านั้นจะล้มตายด้วยคมดาบต่อหน้าเจ้า

8 พวกเจ้าห้าคนจะรุกไล่ศัตรูนับร้อย พวกเจ้าร้อยคนจะรุกไล่ศัตรูนับหมื่น ศัตรูทั้งหลายจะล้มตายด้วยคมดาบต่อหน้าเจ้า

9 “ ‘เราจะดูแลเจ้าด้วยความโปรดปรานและให้เจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง และเราจะรักษาพันธสัญญาของเราที่ให้ไว้กับเจ้า

10 เจ้าจะยังคงกินพืชผลจากการเก็บเกี่ยวในปีที่แล้ว เมื่อต้องขยับขยายจัดที่สำหรับพืชผลรุ่นใหม่

11 เราจะตั้งที่พำนักของเราท่ามกลางพวกเจ้า และเราจะไม่ชิงชังพวกเจ้า

12 เราจะดำเนินอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า เป็นพระเจ้าของเจ้า เจ้าจะเป็นประชากรของเรา

13 เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าทั้งหลายออกมาจากอียิปต์ เพื่อเจ้าจะไม่ต้องเป็นทาสของชาวอียิปต์อีกต่อไป เราได้ทำลายแอกของเจ้า และช่วยให้เจ้าก้าวเดินไปอย่างสง่าผ่าเผย

โทษของการไม่เชื่อฟัง

14 “ ‘แต่หากเจ้าไม่ฟังเรา ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้

15 และหากเจ้าปฏิเสธกฎหมายของเรา และชิงชังบทบัญญัติของเรา ไม่ได้ทำตามคำสั่งของเราซึ่งเป็นการละเมิดพันธสัญญาของเรา

16 แล้วเราจะทำกับเจ้าอย่างนี้คือ เราจะนำความหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาอย่างฉับพลัน โรคต่างๆ และความเจ็บไข้ที่ทำลายสายตาของเจ้า และทำให้ชีวิตของเจ้าทรุดโทรมไปมาเหนือเจ้า เจ้าจะหว่านพืชโดยเปล่าประโยชน์ เพราะศัตรูของเจ้าจะมากิน

17 เราจะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเจ้า เพื่อเจ้าจะพ่ายแพ้ต่อหน้าศัตรู บรรดาผู้เกลียดชังเจ้าจะปกครองเจ้า เจ้าจะวิ่งหนีแม้ขณะที่ไม่มีใครไล่ตาม

18 “ ‘และหากเจ้ายังไม่ยอมเชื่อฟัง เราจะลงโทษเจ้าหนักขึ้นเจ็ดเท่า ให้สมกับบาปของเจ้า

19 เราจะทำลายความเย่อหยิ่งอย่างดื้อด้านของเจ้า และทำให้ท้องฟ้าเหนือเจ้าเป็นเช่นเหล็กและแผ่นดินเบื้องล่างเจ้าเป็นดั่งทองสัมฤทธิ์

20 เจ้าจะเสียเหงื่อลงแรงโดยเปล่าประโยชน์เพราะแผ่นดินจะไม่ให้พืชผล ต้นไม้ในที่ดินก็จะไม่ออกผล

21 “ ‘หากเจ้ายังคงขัดขืนต่อต้านและไม่ยอมฟังเรา เราจะทวีความทุกข์ยากขึ้นอีกเจ็ดเท่า ให้สาสมกับบาปของเจ้า

22 เราจะส่งสัตว์ร้ายมาเล่นงานเจ้าและพวกมันจะปล้นเอาลูกหลานของเจ้าไป จะทำลายฝูงสัตว์ของเจ้าและจะทำให้จำนวนคนของเจ้าลดลงจนถนนหนทางเริศร้าง

23 “ ‘หากเราทำกับเจ้าถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ายังไม่ยอมรับการดัดนิสัยจากเรา แต่ยังคงขัดขืนต่อต้านเรา

24 เราเองจะต่อสู้กับเจ้า และจะให้เจ้าทุกข์ทรมานเพราะบาปของตนหนักยิ่งขึ้นอีกเจ็ดเท่า

25 และเราจะนำดาบมายังเจ้าเพื่อแก้แค้นที่พันธสัญญาของเราถูกละเมิด เมื่อเจ้าถอยหนีเข้าไปยังเมืองต่างๆ ของเจ้า เราจะส่งโรคระบาดร้ายแรงมาท่ามกลางพวกเจ้า และเจ้าจะตกอยู่ในมือของศัตรู

26 เราจะทลายแหล่งเสบียงของเจ้า ถึงขนาดหญิงสิบคนใช้เตาเพียงเตาเดียวอบขนมให้พวกเจ้า และต้องชั่งอาหารแบ่งกันกิน เจ้าจะกินแต่ไม่อิ่ม

27 “ ‘หากถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่ฟังเรา แต่ยังคงขัดขืนต่อต้านเรา

28 เราจะต่อสู้กับเจ้าด้วยพระพิโรธ และเราเองจะลงโทษบาปของเจ้าหนักยิ่งขึ้นเจ็ดเท่า

29 เจ้าจะกินเนื้อลูกชายลูกสาวของตัวเอง

30 เราจะทลายแท่นบูชาบนที่สูงของเจ้า จะโค่นแท่นเผาเครื่องหอมของเจ้า ทิ้งซากศพของเจ้าไว้บนรูปเคารพที่ไม่มีชีวิตของพวกเจ้า และเราจะชิงชังพวกเจ้า

31 เราจะทำให้นครต่างๆ ของเจ้าเริศร้าง และทำลายสถานนมัสการของเจ้า เราจะไม่นิยมยินดีในกลิ่นหอมที่น่าพอใจจากเครื่องบูชาของเจ้า

32 เราจะทิ้งให้แผ่นดินเริศร้างจนศัตรูของเจ้าที่เข้ามาพักอาศัยตกใจ

33 เราจะทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปท่ามกลางชนชาติต่างๆ เราจะชักดาบออกจากฝักรุกไล่เจ้า ดินแดนของเจ้าจะถูกทิ้งร้างและเมืองต่างๆ จะถูกทำลาย

34 แล้วแผ่นดินจะได้ชื่นชมกับปีสะบาโตของมันตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้างซึ่งเจ้าตกอยู่ในดินแดนของศัตรู แผ่นดินจะได้พักสงบและชื่นชมกับสะบาโตของมัน

35 ตลอดช่วงที่ถูกทิ้งร้าง แผ่นดินจะได้พักสงบ ชดเชยกับที่ไม่ได้หยุดพักในช่วงสะบาโตขณะที่เจ้าอาศัยอยู่ในแผ่นดิน

36 “ ‘สำหรับพวกที่เหลืออยู่ เราจะทำให้จิตใจของพวกเขาหวาดหวั่นขวัญผวาในแดนของศัตรูถึงขนาดเสียงใบไม้ถูกลมพัดปลิวก็ทำให้พวกเขาหนีไป เขาจะวิ่งราวกับหนีเตลิดจากคมดาบ และเขาจะล้มลงแม้ไม่มีใครไล่ตาม

37 เขาจะสะดุดล้มทับกันราวกับหนีเตลิดจากคมดาบแม้ไม่มีใครรุกไล่พวกเขา ดังนั้นเจ้าจะไม่สามารถยืนหยัดต่อหน้าศัตรูของเจ้า

38 เจ้าจะพินาศในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และถูกกลืนหายไปในดินแดนของศัตรู

39 คนที่เหลืออยู่จะเสื่อมโทรมไปในดินแดนของศัตรูเพราะบาปของพวกเขา และเพราะบาปของบรรพบุรุษของพวกเขา

40 “ ‘แต่หากพวกเขาสารภาพบาปของตนและบาปของบรรพบุรุษที่พวกเขาขัดขืนต่อต้านเรา

41 ซึ่งทำให้เราเป็นศัตรูกับเขา จนเราส่งพวกเขาไปยังดินแดนของเหล่าศัตรู ตราบจนจิตใจที่ไม่ได้เข้าสุหนัตของเขาถ่อมลงและพวกเขาชดใช้บาปของตน

42 เมื่อนั้นเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราที่ให้ไว้กับยาโคบ อิสอัค และอับราฮัม และจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น

43 เพราะแผ่นดินนั้นจะชื่นชมกับสะบาโตของมันขณะที่ถูกทิ้งร้างอยู่ พวกเขาจะชดใช้บาปของตนที่ได้ละทิ้งบทบัญญัติของเราและเกลียดชังกฎหมายของเรา

44 แต่กระนั้นเมื่อเขาอยู่ในดินแดนของศัตรู เราจะไม่ปฏิเสธหรือเกลียดชังพวกเขาจนถึงกับทำลายล้างพวกเขาให้หมดสิ้น ซึ่งเป็นการละเมิดพันธสัญญาของเรากับพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

45 แต่เพื่อเห็นแก่พวกเขา เราจะระลึกถึงพันธสัญญาที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาซึ่งเราได้พาออกมาจากอียิปต์ต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเขา เราคือพระยาห์เวห์’ ”

46 ทั้งหมดนี้คือกฎหมาย บทบัญญัติ และกฎระเบียบ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งไว้ระหว่างพระองค์เองกับชนอิสราเอลผ่านทางโมเสสบนภูเขาซีนาย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/26-f11b8996a6ef72bd277bbfa64c9b4225.mp3?version_id=179—

Categories
เลวีนิติ

เลวีนิติ 27

การไถ่สิ่งที่เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘หากคนใดได้ปฏิญาณไว้ว่าจะอุทิศถวายผู้หนึ่งผู้ใดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการถวายสิ่งมีค่าจำนวนต่อไปนี้แทนคือ

3 ผู้ชายอายุยี่สิบปีถึงหกสิบปีให้ตั้งค่าตัวเป็นเงินหนัก 50 เชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ

4 ถ้าหากเป็นผู้หญิง ให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 30 เชเขล

5 ผู้ที่อายุห้าถึงยี่สิบปี ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 20 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 10 เชเขล

6 ผู้ที่อายุหนึ่งเดือนถึงห้าขวบ ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 5 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 3 เชเขล

7 ผู้ที่อายุหกสิบปีขึ้นไป ถ้าเป็นผู้ชายให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 15 เชเขล ถ้าเป็นผู้หญิงให้ตั้งราคาค่าตัวเป็นเงินหนัก 10 เชเขล

8 หากผู้ที่ถวายคำปฏิญาณยากจนเกินกว่าที่จะถวายเงินตามที่ระบุไว้ ให้พาบุคคลที่เขาประสงค์จะถวายตัวมาพบปุโรหิต ซึ่งจะกำหนดมูลค่าที่ผู้ปฏิญาณจะสามารถถวายได้

9 “ ‘ถ้าสิ่งที่เขาปฏิญาณว่าจะถวายนั้นเป็นสัตว์ที่ยอมรับเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสัตว์ตัวนั้นที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องถือว่าบริสุทธิ์

10 เขาจะเอาตัวอื่นมาเปลี่ยนไม่ได้ เอาดีมาแทนไม่ดี หรือเอาไม่ดีมาแทนดีก็ไม่ได้ หากเขาเปลี่ยนตัว ทั้งตัวแรกและตัวที่มาเปลี่ยนจะเป็นของบริสุทธิ์

11 หากสิ่งที่เขาปฏิญาณจะถวายเป็นสัตว์ที่เป็นมลทินตามระเบียบพิธี ซึ่งไม่ยอมรับเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องนำสัตว์นั้นมามอบให้ปุโรหิต

12 ผู้ที่จะประเมินคุณภาพว่าดีหรือไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใด ก็ให้เป็นไปตามนั้น

13 หากเจ้าของต้องการจะไถ่สัตว์ตัวนั้น ก็ให้จ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาที่ตั้งไว้

14 “ ‘ผู้ใดถวายบ้านเป็นของบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าปุโรหิตจะประเมินคุณภาพว่าดีหรือไม่ดี ปุโรหิตกำหนดราคาเท่าใด ก็ให้ถือตามนั้น

15 ถ้าผู้ถวายบ้านจะไถ่คืน เขาต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคา แล้วบ้านจะกลับคืนเป็นของเขา

16 “ ‘ผู้ใดถวายที่ดินส่วนหนึ่งของตระกูลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะตีราคาตามปริมาณเมล็ดพืชซึ่งจะใช้หว่านในที่นั่นคือ เงินหนัก 50 เชเขลต่อเมล็ดข้าวบาร์เลย์ประมาณ 220 ลิตร

17 หากผู้ใดถวายที่ดินในปีกึ่งศตวรรษให้ตีราคาเต็มตามอัตรา

18 หากถวายหลังปีกึ่งศตวรรษ ปุโรหิตจะพิจารณาราคาตามจำนวนปีที่เหลืออยู่ก่อนถึงปีกึ่งศตวรรษรอบต่อไปและราคาที่ตั้งไว้จะลดลง

19 หากคนนั้นตกลงจะไถ่ที่ดินคืน เขาจะจ่ายเงินเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคาประเมิน และรับที่ดินคืนเป็นของเขาอีก

20 แต่หากเขาไม่ไถ่คืน หรือหากขายที่ดินนั้นแก่คนอื่น ที่ดินนั้นจะไถ่คืนอีกไม่ได้เลย

21 เมื่อที่ดินคืนสู่เจ้าของเดิมในปีกึ่งศตวรรษ ที่ดินผืนนี้จะถือเป็นของบริสุทธิ์เหมือนที่ดินซึ่งถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ดินนี้จะกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดาปุโรหิต

22 “ ‘หากผู้ใดถวายที่ดินซึ่งเขาซื้อมาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ใช่ที่ดินส่วนมรดกของครอบครัว

23 ปุโรหิตจะประเมินราคานับถึงปีกึ่งศตวรรษ และเขาจะถวายเงินจำนวนดังกล่าวแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

24 ในปีกึ่งศตวรรษ ที่ดินนั้นจะคืนให้เจ้าของเดิมซึ่งขายที่ดินให้

25 ราคาประเมินทั้งหมดระบุตามเชเขลของสถานนมัสการ ซึ่ง 20 เกราห์เท่ากับ 1 เชเขล

26 “ ‘เจ้าไม่ควรคิดว่าจะถวายลูกวัวหรือลูกแกะหัวปีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะลูกหัวปีเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่แล้ว

27 หากเป็นลูกหัวปีของสัตว์ที่เป็นมลทิน เจ้าของจะซื้อคืนตามราคาที่ปุโรหิตประเมิน และจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้า หากเจ้าของไม่ไถ่คืน ปุโรหิตก็จะขายให้แก่ผู้อื่นตามราคาที่ตั้งไว้

28 “ ‘อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถวายเป็นสิทธิ์ขาดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล สัตว์ หรือที่ดินมรดกย่อมเป็นสิทธิ์ขาด ไม่มีการซื้อขายหรือไถ่คืน เพราะเป็นของบริสุทธิ์ที่สุดแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

29 “ ‘ผู้ใดถูกถวายเป็นสิทธิ์ขาดเพื่อให้ทำลายล้างจะไถ่คืนไม่ได้ เขาจะต้องถูกประหารชีวิต

30 “ ‘หนึ่งในสิบของผลผลิตจากแผ่นดิน ไม่ว่าเมล็ดข้าวจากผืนดินหรือผลไม้จากต้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถือเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

31 หากผู้ใดต้องการไถ่คืนสิบลดของเขา จะต้องจ่ายเพิ่มอีกหนึ่งในห้าของราคา

32 หนึ่งในสิบของฝูงสัตว์ทั้งหมดคือ ทุกตัวที่สิบที่ผ่านไปใต้ไม้เท้าของผู้เลี้ยง จะเป็นส่วนบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

33 จะไม่มีการเลือกว่าตัวนั้นดีตัวนี้ไม่ดี หรือเอาตัวหนึ่งมาแทนอีกตัวหนึ่ง เพราะหากมีการเปลี่ยนตัว ทั้งตัวที่ถูกเปลี่ยนกับตัวที่เอามาเปลี่ยนย่อมเป็นของบริสุทธิ์แด่พระเจ้า ไถ่คืนไม่ได้’ ”

34 ทั้งหมดนี้คือพระบัญชาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสบนภูเขาซีนายสำหรับประชากรอิสราเอล

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LEV/27-4f0ad7efae31331a05d6df653f255ea4.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 1

สำมะโนประชากร

1 วันที่หนึ่งเดือนที่สองของปีที่สอง หลังจากชาวอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในเต็นท์นัดพบที่ถิ่นกันดารซีนายว่า

2 “จงสำรวจสำมะโนประชากรชุมชนอิสราเอลทั้งหมด แยกเป็นรายตระกูลและครอบครัว ให้ทำบัญชีรายชื่อผู้ชายทุกคน

3 เจ้ากับอาโรนจะต้องนับจำนวนผู้ชายในอิสราเอลที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปซึ่งสามารถทำหน้าที่ในกองทัพได้ โดยแยกพวกเขาออกเป็นหมู่เหล่า

4 ผู้นำจากแต่ละเผ่า เผ่าละหนึ่งคนจะเป็นผู้ช่วยของเจ้า

5 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของผู้นำที่จะมาช่วยเจ้าได้แก่

จากเผ่ารูเบนคือ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์

6 จากเผ่าสิเมโอนคือ เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย

7 จากเผ่ายูดาห์คือ นาห์โชนบุตรอัมมีนาดับ

8 จากเผ่าอิสสาคาร์คือ เนธันเอลบุตรศุอาร์

9 จากเผ่าเศบูลุนคือ เอลีอับบุตรเฮโลน

10 จากบุตรของโยเซฟคือ

จากเผ่าเอฟราอิมคือ เอลีชามาบุตรอัมมีฮูด

จากเผ่ามนัสเสห์คือ กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์

11 จากเผ่าเบนยามินคือ อาบีดันบุตรกิเดโอนี

12 จากเผ่าดานคือ อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย

13 จากเผ่าอาเชอร์คือ ปากีเอลบุตรโอคราน

14 จากเผ่ากาดคือ เอลียาสาฟบุตรเดอูเอล

15 จากเผ่านัฟทาลีคือ อาหิราบุตรเอนัน”

16 คนเหล่านี้ได้รับการแต่งตั้งจากชุมชนให้เป็นผู้นำเผ่าต่างๆ ตามบรรพบุรุษ พวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลต่างๆ ของอิสราเอล

17 โมเสสและอาโรนได้นำชายเหล่านี้ตามบัญชีรายชื่อที่ให้ไว้มา

18 และได้เรียกประชุมประชากรทั้งหมดในวันที่หนึ่งเดือนที่สอง ประชาชนได้ระบุบรรพบุรุษของตนตามตระกูลและครอบครัว และได้ขึ้นบัญชีรายชื่อผู้ชายที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไปทีละคน

19 ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส ดังนั้นเขาจึงนับจำนวนคนเหล่านี้ในถิ่นกันดารซีนาย

20 จากวงศ์วานของรูเบนบุตรชายหัวปีของอิสราเอล

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อทีละคนตามตระกูลและตามครอบครัว

21 จำนวนพลจากเผ่ารูเบน 46,500 คน

22 จากวงศ์วานของสิเมโอน

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อทีละคนตามตระกูลและตามครอบครัว

23 จำนวนพลจากเผ่าสิเมโอน 59,300 คน

24 จากวงศ์วานของกาด

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

25 จำนวนพลจากเผ่ากาด 45,650 คน

26 จากวงศ์วานของยูดาห์

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

27 จำนวนพลจากเผ่ายูดาห์ 74,600 คน

28 จากวงศ์วานของอิสสาคาร์

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

29 จำนวนพลจากเผ่าอิสสาคาร์ 54,400 คน

30 จากวงศ์วานของเศบูลุน

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

31 จำนวนพลจากเผ่าเศบูลุน 57,400 คน

32 จากวงศ์วานของเอฟราอิมบุตรโยเซฟ

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

33 จำนวนพลจากเผ่าเอฟราอิม 40,500 คน

34 จากวงศ์วานของมนัสเสห์บุตรโยเซฟ

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

35 จำนวนพลจากเผ่ามนัสเสห์ 32,200 คน

36 จากวงศ์วานของเบนยามิน

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

37 จำนวนพลจากเผ่าเบนยามิน 35,400 คน

38 จากวงศ์วานของดาน

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

39 จำนวนพลจากเผ่าดาน 62,700 คน

40 จากวงศ์วานของอาเชอร์

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

41 จำนวนพลจากเผ่าอาเชอร์ 41,500 คน

42 จากวงศ์วานของนัฟทาลี

ผู้ชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ออกรบได้ ขึ้นบัญชีรายชื่อตามตระกูลและตามครอบครัว

43 จำนวนพลจากเผ่านัฟทาลี 53,400 คน

44 ทั้งหมดนี้คือจำนวนผู้ชายที่โมเสส อาโรนและผู้นำทั้งสิบสองเผ่าของอิสราเอลได้นับไว้ แต่ละคนเป็นตัวแทนครอบครัวของเขา

45 คือผู้ชายอิสราเอลอายุยี่สิบปีขึ้นไปทุกคนที่ร่วมทัพได้ ได้ถูกนับไว้ตามครอบครัวของเขา

46 รวมทั้งสิ้น 603,550 คน

47 แต่จำนวนนี้ไม่รวมคนเผ่าเลวี

48 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับโมเสสไว้ว่า

49 “ยกเว้นเผ่าเลวี ไม่ต้องลงจำนวนในสำมะโนประชากรของอิสราเอล

50 แต่จงตั้งคนเลวีให้รับผิดชอบงานเกี่ยวกับพลับพลาแห่งพันธสัญญา พวกเขาต้องเคลื่อนย้ายพลับพลา ดูแลเครื่องใช้และทุกสิ่งที่อยู่ในพลับพลา พวกเขาต้องตั้งเต็นท์อาศัยอยู่รอบพลับพลา

51 เมื่อใดก็ตามที่มีการเคลื่อนย้ายพลับพลา คนเลวีจะเป็นผู้ปลดพลับพลาลงหรือตั้งขึ้นใหม่ ผู้อื่นที่เข้าใกล้พลับพลาจะต้องถูกประหารชีวิต

52 ชาวอิสราเอลจะต้องตั้งเต็นท์ของตนเป็นหมู่เหล่า แต่ละคนอยู่ในค่ายของตนภายใต้ธงประจำกอง

53 ส่วนคนเลวีจะต้องตั้งเต็นท์รอบพลับพลาแห่งพันธสัญญาเพื่อพระพิโรธของพระเจ้าจะไม่ตกแก่ชุมชนอิสราเอล ให้คนเลวีรับผิดชอบดูแลพลับพลาแห่งพันธสัญญา”

54 ประชากรอิสราเอลก็ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/1-999a65fca5004359f6715cc8d5caf7e4.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 2

การจัดตั้งค่ายของเผ่าต่างๆ

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า

2 “ชนอิสราเอลจะตั้งค่ายรอบเต็นท์นัดพบ ให้ห่างจากเต็นท์นัดพบระยะหนึ่ง แต่ละคนอยู่ภายใต้ธงประจำกองของเขาพร้อมกับธงประจำครอบครัว”

3 ด้านตะวันออกของพลับพลาเป็นที่ตั้งค่ายของหมู่เหล่ายูดาห์ภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา ผู้นำคือนาห์โชนบุตรอัมมีนาดับ

4 จำนวนพล 74,600 คน

5 ถัดมาเป็นที่ตั้งค่ายของเผ่าอิสสาคาร์ ผู้นำคือเนธันเอลบุตรศุอาร์

6 จำนวนพล 54,400 คน

7 จากนั้นได้แก่เผ่าเศบูลุน ผู้นำคือเอลีอับบุตรเฮโลน

8 จำนวนพล 57,400 คน

9 รวมพลแนวรบด้านเผ่ายูดาห์ตามหมู่เหล่าของพวกเขาได้ 186,400 คน กลุ่มนี้จะเคลื่อนกำลังออกไปเป็นกลุ่มแรก

10 ด้านใต้ของพลับพลาเป็นที่ตั้งค่ายของหมู่เหล่ารูเบนภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา ผู้นำคือเอลีซูร์บุตรเชเดเออร์

11 จำนวนพล 46,500 คน

12 ถัดมาคือเผ่าสิเมโอน ผู้นำคือเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย

13 จำนวนพล 59,300 คน

14 ถัดมาคือเผ่ากาด ผู้นำคือเอลียาสาฟบุตรเดอูเอล

15 จำนวนพล 45,650 คน

16 รวมพลแนวรบด้านเผ่ารูเบนตามหมู่เหล่าของพวกเขาได้ 151,450 คน กลุ่มนี้จะเคลื่อนกำลังเป็นกลุ่มที่สอง

17 ส่วนเต็นท์นัดพบและค่ายของเผ่าเลวีจะตั้งอยู่กลางค่าย พวกเขาจะเคลื่อนออกตามลำดับเดียวกับการตั้งค่าย แต่ละกลุ่มอยู่ในตำแหน่งของตนเองภายใต้ธงประจำกองของตน

18 ด้านตะวันตกของพลับพลาเป็นที่ตั้งค่ายของหมู่เหล่าเอฟราอิมภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา ผู้นำคือเอลีชามาบุตรอัมมีฮูด

19 จำนวนพล 40,500 คน

20 ถัดมาคือเผ่ามนัสเสห์ ผู้นำคือกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์

21 จำนวนพล 32,200 คน

22 ถัดมาคือเผ่าเบนยามิน ผู้นำคืออาบีดันบุตรกิเดโอนี

23 จำนวนพล 35,400 คน

24 รวมพลในแนวรบด้านเผ่าเอฟราอิมตามหมู่เหล่าของพวกเขาได้ 108,100 คน พวกเขาจะเคลื่อนพลเป็นกลุ่มที่สาม

25 ด้านเหนือของพลับพลาเป็นที่ตั้งค่ายของหมู่เหล่าดานภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา ผู้นำคืออาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย

26 จำนวนพล 62,700 คน

27 ถัดมาคือเผ่าอาเชอร์ ผู้นำคือปากีเอลบุตรโอคราน

28 จำนวนพล 41,500 คน

29 ถัดมาคือเผ่านัฟทาลี ผู้นำคืออาหิราบุตรเอนัน

30 จำนวนพล 53,400 คน

31 รวมพลในแนวรบด้านเผ่าดานได้ 157,600 คน เวลาเดินทางจะอยู่รั้งท้ายขบวนภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา

32 ทั้งหมดนี้คือชนอิสราเอลนับตามครอบครัวของพวกเขาที่อยู่ในค่าย ตามหมู่เหล่ามีจำนวนทั้งสิ้น 603,550 คน

33 ทั้งนี้ไม่นับคนเลวีรวมกับชนอิสราเอลอื่นๆ ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาแก่โมเสส

34 ดังนั้นประชากรอิสราเอลจึงได้ทำทุกสิ่งตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสคือ แต่ละคนพร้อมกับตระกูลและครอบครัวของตนได้ตั้งค่ายพักแรมภายใต้ธงประจำกองของพวกเขาและเคลื่อนพลตามที่กำหนดไว้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/2-ec9986d3f9ccfa0145a96514bff6efee.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 3

คนเลวี

1 ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวอาโรนและโมเสส เมื่อครั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนาย

2 บุตรชายของอาโรนได้แก่ นาดับซึ่งเป็นบุตรหัวปี อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

3 คนเหล่านี้ซึ่งเป็นบุตรของอาโรนได้รับการเจิมตั้งและสถาปนาให้ปรนนิบัติในฐานะปุโรหิต

4 แต่นาดับและอาบีฮูเสียชีวิตต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในถิ่นกันดารซีนายเมื่อได้จุดไฟต้องห้ามขึ้น คนทั้งสองไม่มีบุตร จึงเหลือแต่เอเลอาซาร์และอิธามาร์ทำหน้าที่ปุโรหิตในช่วงชีวิตของอาโรนผู้เป็นบิดา

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

6 “จงนำคนเผ่าเลวีมารายงานตัวต่อปุโรหิตอาโรนเพื่อช่วยงานเขา

7 คนเหล่านี้จะปฏิบัติหน้าที่ในเต็นท์นัดพบแทนอาโรนและชาวอิสราเอลทั้งหมด โดยรับผิดชอบงานเกี่ยวกับพลับพลาทั้งหมด

8 พวกเขาจะต้องคอยดูแลส่วนประกอบทั้งหมดของเต็นท์นัดพบ และปฏิบัติหน้าที่ที่พลับพลาเพื่อชนอิสราเอล

9 จงมอบคนเลวีให้แก่อาโรนและบรรดาบุตรชายของเขา คนเลวีเป็นชาวอิสราเอลที่คอยช่วยงานเขาอย่างเต็มที่

10 จงแต่งตั้งอาโรนกับบุตรชายของเขาให้ปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิต ใครอื่นล่วงล้ำเข้ามาใกล้สถานนมัสการจะมีโทษถึงตาย”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสอีกว่า

12 “เราได้เลือกชนเผ่าเลวีจากชนอิสราเอลให้เป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีของหญิงชาวอิสราเอลทุกคน คนเลวีเป็นของเรา

13 เพราะบุตรหัวปีเป็นของเรา ตั้งแต่วันที่เราประหารบุตรชายหัวปีทั้งปวงของชาวอียิปต์ เราได้แยกลูกหัวปีของอิสราเอลทั้งหมด ไม่ว่าคนหรือสัตว์มาเป็นของเรา เราคือพระยาห์เวห์”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในถิ่นกันดารซีนายว่า

15 “จงนับจำนวนคนเลวีตามครอบครัวและตระกูลของเขา นับผู้ชายทุกคนอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป”

16 ดังนั้นโมเสสก็นับพวกเขาตามคำสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของเลวี ได้แก่

เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี

18 คนในตระกูลเกอร์โชน ได้แก่

ลิบนีและชิเมอี

19 คนในตระกูลโคฮาท ได้แก่

อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล

20 คนในตระกูลเมรารี ได้แก่

มาห์ลีและมูชี

ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของคนเลวีตามครอบครัวของเขา

21 ลูกหลานของลิบนีและชิเมอีเป็นของตระกูลเกอร์โชน

22 รวมผู้ชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 7,500 คน

23 ตระกูลเกอร์โชนจะตั้งค่ายด้านทิศตะวันตกหลังพลับพลา

24 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลเกอร์โชนคือเอลียาสาฟบุตรลาเอล

25 ตระกูลเกอร์โชนรับผิดชอบดูแลพลับพลาและเต็นท์ พร้อมเครื่องคลุมเต็นท์และม่านตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

26 ม่านกั้นรอบลานพลับพลา ม่านกั้นทางเข้าลานพลับพลาและแท่นบูชา และเชือกทั้งหมดที่ใช้โยงพลับพลาเข้าด้วยกัน และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้

27 ลูกหลานของอัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอลเป็นของตระกูลโคฮาท

28 รวมผู้ชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 8,600 คนตระกูลโคฮาทรับผิดชอบดูแลสถานนมัสการ

29 ตระกูลโคฮาทจะตั้งค่ายด้านทิศใต้ของพลับพลา

30 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลโคฮาทคือ เอลีซาฟานบุตรอุสซีเอล

31 พวกเขารับผิดชอบดูแลหีบพันธสัญญา โต๊ะ คันประทีป แท่นทั้งสองและเครื่องใช้ต่างๆ ของสถานนมัสการ ม่าน และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้

32 หัวหน้าใหญ่ของคนเลวีคือ ปุโรหิตเอเลอาซาร์บุตรของอาโรน เขาได้รับแต่งตั้งให้กำกับดูแลสถานนมัสการ

33 ลูกหลานของมาห์ลีและมูชีเป็นของตระกูลเมรารี

34 รวมชายทั้งหมดที่อายุหนึ่งเดือนขึ้นไปมี 6,200 คน

35 ผู้นำครอบครัวต่างๆ ในตระกูลเมรารีคือศุรีเอลบุตรอาบีฮายิล พวกเขาจะตั้งค่ายด้านทิศเหนือของพลับพลา

36 ตระกูลเมรารีได้รับมอบหมายให้ดูแลไม้ฝาของพลับพลา คานขวาง เสา ฐานรองรับ อุปกรณ์ต่างๆ และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในงานนี้

37 ตลอดจนเสารอบลานพลับพลา ฐานรองรับ หลักหมุด และเชือก

38 โมเสสและอาโรนกับบรรดาบุตรชายของเขาจะตั้งเต็นท์ที่ด้านทิศตะวันออกของพลับพลา ด้านหน้าเต็นท์นัดพบ พวกเขารับผิดชอบดูแลสถานนมัสการแทนชนอิสราเอล ใครอื่นล่วงล้ำเข้าใกล้สถานนมัสการจะมีโทษถึงตาย

39 รวมชายเลวีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปทั้งหมด ซึ่งโมเสสและอาโรนได้นับไว้ตามตระกูลของพวกเขา ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามี 22,000 คน

40 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำทะเบียนรายชื่อบุตรชายหัวปีทุกคนของอิสราเอลที่มีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไป

41 คนเลวีจะเป็นของเรา เป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีของอิสราเอล และฝูงสัตว์ของคนเลวีจะเป็นตัวแทนลูกหัวปีทั้งหมดของฝูงสัตว์ของคนอิสราเอล เราคือพระยาห์เวห์”

42 ดังนั้นโมเสสจึงนับจำนวนบุตรหัวปีทั้งหมดของชนอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

43 บุตรชายหัวปีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปตามรายชื่อมีทั้งสิ้น 22,273 คน

44 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

45 “จงมอบคนเลวีให้เราแทนบุตรชายหัวปีทั้งหมดของอิสราเอล และมอบฝูงสัตว์ของคนเลวีให้เราแทนฝูงสัตว์ของพวกเขา คนเลวีจะเป็นของเรา เราคือพระยาห์เวห์

46 สำหรับบุตรชายหัวปีของอิสราเอล 273 คนซึ่งเกินจำนวนคนเลวีนั้น

47 จงเก็บเงินหนักคนละห้าเชเขลตามเชเขลของสถานนมัสการ ซึ่งเท่ากับยี่สิบเกราห์

48 จงมอบเงินค่าไถ่ตัวของชนอิสราเอลที่เกินมานี้ให้แก่อาโรนและบุตรชายของเขา”

49 โมเสสจึงเก็บเงินค่าไถ่จากบุตรหัวปีชาวอิสราเอล ซึ่งเกินจำนวนคนที่ไถ่แล้วโดยทางคนเลวี

50 รวมจำนวนเงินที่เก็บได้หนัก 1,365 เชเขล ตามเชเขลของสถานนมัสการ

51 โมเสสมอบเงินค่าไถ่นี้ให้แก่อาโรนและบรรดาบุตรชายตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/3-4ec3e6b0f2eaf3f9cc6ec52c20454e18.mp3?version_id=179—