Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 1

1 นี่คือถ้อยคำของเยเรมีย์บุตรฮิลคียาห์ เยเรมีย์เป็นปุโรหิตคนหนึ่งอยู่ที่อานาโธทในเขตเบนยามิน

2 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในปีที่สิบสามของรัชกาลโยสิยาห์ซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์

3 และตลอดรัชกาลเยโฮยาคิมซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์จนถึงเดือนที่ห้าของปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์ซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ เมื่อชาวกรุงเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย

พระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์

4 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

5 “เรารู้จักเจ้าตั้งแต่ก่อนที่เราจะปั้นเจ้าในครรภ์มารดา

ก่อนเจ้าจะคลอดออกมา เราได้แยกเจ้าไว้แล้ว

เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะแก่ประชาชาติทั้งหลาย”

6 ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะข้าพระองค์ยังเด็กเกินไป”

7 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าพูดว่า ‘ข้าพระองค์ยังเด็กเกินไป’ เจ้าต้องไปพบทุกคนที่เราใช้เจ้าไป ไม่ว่าเราสั่งอย่างไร เจ้าต้องพูดไปตามนั้น

8 อย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าและจะช่วยกู้เจ้า”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาแตะปากของข้าพเจ้าและตรัสว่า “บัดนี้เราเอาถ้อยคำของเราใส่ไว้ในปากของเจ้า

10 ดูเถิด วันนี้เราแต่งตั้งเจ้าไว้เหนือบรรดาประชาชาติและอาณาจักรต่างๆ ให้รื้อออกและทลายลง ให้ทำลายและโค่นล้ม ให้สร้างและปลูก”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์ เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นกิ่งอัลมอนด์พระเจ้าข้า”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ถูกต้องแล้ว นั่นหมายความว่าเรากำลังเฝ้าดูให้เป็นไปตามคำที่เราได้ลั่นวาจาไว้”

13 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าอีกครั้งว่า “เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นหม้อน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เอียงเทลงมาจากทางทิศเหนือ”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ภัยพิบัติจากทางเหนือจะถูกเทลงมาบนคนทั้งปวงที่อาศัยในดินแดนนี้

15 เรากำลังจะเรียกกองทัพของบรรดาอาณาจักรทางเหนือมา”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“บรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะมาตั้งบัลลังก์ของตน

ที่ทางเข้าประตูเมืองทั้งหลายของเยรูซาเล็ม

พวกเขาจะยกทัพมาล้อมรอบกำแพงเมืองต่างๆ

และล้อมหัวเมืองทั้งหมดของยูดาห์

16 เราจะประกาศคำพิพากษาประชากรของเรา

เพราะความชั่วร้ายของเขา โทษฐานที่ได้ละทิ้งเราไป

ที่ได้ถวายเครื่องเผาบูชาแก่พระต่างๆ

และที่ได้นมัสการสิ่งที่มือของเขาได้สร้างขึ้น

17 “เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม! ยืนขึ้นพูดกับพวกเขาตามที่เราสั่ง อย่ากลัวพวกเขา มิฉะนั้นเราจะทำให้เจ้ากลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา

18 วันนี้เราได้ทำให้เจ้าแข็งแกร่งเหมือนเมืองป้อมปราการ เหมือนเสาเหล็กและกำแพงทองสัมฤทธิ์ ที่จะยืนต้านทานต่อทั้งดินแดน คือต่อบรรดากษัตริย์ยูดาห์ ข้าราชการ ปุโรหิต และประชากรทั้งปวง

19 พวกเขาจะต่อสู้เจ้า แต่จะไม่ชนะ เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะช่วยกู้เจ้า”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/1-b2ae0ed38a4993fbe2a700a4789936a7.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 2

อิสราเอลละทิ้งพระเจ้า

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

2 “จงไปประกาศให้ชาวเยรูซาเล็มได้ยินดังนี้

“ ‘เรายังจำความจงรักภักดีในวัยแรกรุ่นของเจ้าได้

เจ้ารักเราเหมือนเจ้าเป็นเจ้าสาวของเรา

และติดตามเราผ่านถิ่นกันดาร

ผ่านดินแดนซึ่งหว่านพืชไม่ได้

3 อิสราเอลเคยบริสุทธิ์สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เคยเป็นผลแรกที่ทรงเก็บเกี่ยว

ผู้ใดกัดกินอิสราเอลผู้นั้นก็มีความผิด

และต้องพบกับหายนะ’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

4 พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย ทุกตระกูลของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย

จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“บรรพบุรุษของเจ้าเห็นเรามีข้อเสียตรงไหนหรือ

จึงได้หลงเตลิดไปไกลจากเราเช่นนี้?

พวกเขาได้ไปติดตามรูปเคารพอันไร้ค่า

และทำให้ตัวเองไร้ค่าไป

6 พวกเขาไม่ได้ถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?

ผู้ทรงนำเราออกมาจากอียิปต์

นำเราผ่านถิ่นกันดารแห้งแล้ง

ผ่านดินแดนแห่งทะเลทรายและโตรกเขา

เป็นดินแดนที่แห้งแล้งและมืดมน

ดินแดนซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัยหรือผ่านไปมา’

7 เรานำพวกเจ้ามายังแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์

ให้กินผลิตผลชั้นดีมากมาย

แต่เจ้ากลับทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน

และทำให้มรดกที่เรายกให้กลายเป็นสิ่งที่น่าชิงชัง

8 ปุโรหิตทั้งหลายไม่ถามว่า

‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?’

ผู้ที่รักษากฎหมายไม่รู้จักเรา

บรรดาผู้นำกบฏต่อเรา

เหล่าผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ในนามของพระบาอัล

ติดตามรูปเคารพอันไร้ค่า

9 “ฉะนั้นเราจึงกล่าวโทษเจ้าอีกครั้ง”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“และเราจะกล่าวโทษลูกหลานของเจ้า

10 จงข้ามทะเลไปยังชายฝั่งของคิททิมและมองดู

ส่งคนไปยังเคดาร์แล้วสังเกตให้ดี

ไปดูสิว่าเคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างไหม?

11 เคยมีชาติหนึ่งชาติใดเปลี่ยนเทพเจ้าที่พวกเขานับถือหรือไม่?

(ทั้งๆ ที่เทพเจ้าเหล่านั้นก็ไม่ใช่พระเจ้า)

แต่ประชากรของเราเอาองค์ผู้ทรงเกียรติสิริของพวกเขา

ไปแลกกับรูปเคารพอันไร้ค่า

12 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงตกตะลึงด้วยเรื่องนี้

จงขยะแขยงสะอิดสะเอียน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

13 “ประชากรของเราทำบาปถึงสองสถานคือ

พวกเขาได้ละทิ้งเรา

ผู้เป็นธารน้ำซึ่งให้ชีวิต

และได้สร้างบ่อน้ำรั่วให้ตนเอง

ซึ่งเก็บน้ำไว้ไม่อยู่

14 อิสราเอลเป็นขี้ข้า เป็นทาสตั้งแต่เกิดหรือ?

ก็แล้วทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นของให้ปล้นชิง?

15 เหล่าสิงโตคำราม

ร้องขู่เขา

ทำให้ดินแดนของเขาเริศร้าง

หัวเมืองทั้งหมดของเขาถูกเผาและทิ้งร้าง

16 ทั้งชาวเมืองเมมฟิสและทาห์ปานเหส

ก็ได้โกนผมบนกระหม่อมของเจ้า

17 เจ้าทำตัวของเจ้าเองไม่ใช่หรือ?

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเจ้า

ขณะที่พระองค์ทรงนำเจ้ามาตามทางไม่ใช่หรือ?

18 บัดนี้ทำไมเจ้าจึงไปยังอียิปต์

เพื่อไปดื่มน้ำจากชิโหร์?

และทำไมเจ้าไปยังอัสซีเรีย

เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติส?

19 ความชั่วร้ายของเจ้าเองจะลงโทษเจ้า

ที่เจ้าถอยหลังเข้าคลองนั้นจะเป็นการกล่าวโทษเจ้าเอง

จงพิเคราะห์ดูแล้วเจ้าจะตระหนักว่า

มันเลวร้ายและขมขื่นเพียงใดสำหรับเจ้า

เมื่อเจ้าละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

และไม่มีความยำเกรงเราเลย”

องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์

ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

20 “นานมาแล้วเจ้าได้สลัดแอกของเจ้าทิ้ง

และหักทำลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ของเจ้า

เจ้าพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระองค์!’

แท้จริง เจ้าเอนกายลงดั่งหญิงโสเภณี

บนภูเขาสูงทุกลูก

และใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

21 เราปลูกเจ้าไว้เหมือนเถาองุ่นพันธุ์ดี

เป็นพันธุ์แท้ที่น่าเชื่อถือ

แล้วเจ้ากลายมาเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา

เป็นเถาองุ่นป่าเสื่อมทรามไปได้อย่างไร?

22 แม้เจ้าชำระกายด้วยน้ำด่าง

และฟอกสบู่เป็นการใหญ่

แต่คราบความผิดของเจ้าก็ยังคงอยู่ต่อหน้าเรา”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

23 “เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า ‘ข้าไม่มีมลทิน

ข้าไม่ได้วิ่งตามพระบาอัล’?

ก็ดูสิว่าเจ้าได้ประพฤติตัวอย่างไร

จงพิจารณาดูสิ่งที่เจ้าทำในหุบเขานั้น

เจ้าเป็นอูฐตัวเมียที่อยู่ไม่สุข

วิ่งพล่านไปนั่นไปนี่

24 เป็นลาป่าที่คุ้นเคยกับถิ่นทะเลทราย

ทำจมูกฟุดฟิดสูดลมหายใจในฤดูผสมพันธุ์

ใครจะยับยั้งความกระสันของมันได้?

ตัวผู้ตัวไหนต้องการเจ้า ก็ไม่ต้องลำบากลำบนเลย

ถึงเวลาผสมพันธุ์พวกมันก็จะพบเจ้า

25 อย่าวิ่งจนเท้าเปล่า

และจนคอแห้งเลย

แต่เจ้าพูดว่า ‘ไม่มีประโยชน์!

ข้ารักพระต่างชาติทั้งหลาย

และจะต้องติดตามไป’

26 “พงศ์พันธุ์อิสราเอลอับอายขายหน้า

เหมือนขโมยอับอายขายหน้าเมื่อถูกจับได้

ทั้งพวกเขาเอง บรรดากษัตริย์ ข้าราชการ

ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะของพวกเขา

27 พวกเขากล่าวกับท่อนไม้ว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้า’

และกล่าวกับก้อนหินว่า ‘ท่านให้กำเนิดข้า’

พวกเขาหันหลังให้เรา

และไม่ได้หันหน้ามาหาเรา

แต่เมื่อถึงเวลาเดือดร้อน เขากลับกล่าวว่า

‘โปรดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย!’

28 ไหนล่ะบรรดาเทพเจ้าที่เจ้าสร้างขึ้นให้ตัวเอง?

ถ้าเขาช่วยเจ้าได้ ให้เขาช่วยเจ้า

ในเวลาทุกข์ร้อนสิ!

เพราะเจ้ามีเทพเจ้ามากมาย

พอๆ กับจำนวนหัวเมืองที่เจ้ามี ยูดาห์เอ๋ย

29 “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวโทษเรา?

พวกเจ้าทุกคนล้วนกบฏต่อเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

30 “ป่วยการที่เราจะลงโทษพลเมืองของเจ้า

เขาไม่ดีขึ้นเลย

คมดาบของเจ้าได้ขย้ำผู้เผยพระวจนะของเจ้า

เหมือนสิงโตขย้ำเหยื่อของมัน

31 “คนรุ่นนี้เอ๋ย จงใคร่ครวญพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

“เราเป็นถิ่นกันดารหรือ?

เป็นดินแดนมืดมนสำหรับอิสราเอลหรือ?

แล้วทำไมประชากรของเราจึงพูดว่า ‘เมื่อเราไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ

เราจะไม่มาหาพระองค์อีกต่อไป’?

32 หญิงสาวจะลืมเพชรนิลจินดาของเธอหรือ?

เจ้าสาวจะลืมเครื่องประดับในวันสมรสหรือ?

ถึงกระนั้นประชากรของเราได้ลืมเรามานาน

นานจนนับวันไม่ไหว

33 เจ้าช่ำชองในการล่าความรักยิ่งนัก!

แม้กระทั่งหญิงชั่วที่สุดก็ยังมาเรียนจากวิถีของเจ้า

34 เสื้อผ้าของเจ้าเปรอะเปื้อน

ด้วยเลือดของผู้ยากไร้ซึ่งไม่มีความผิด

เจ้าฆาตกรรมโดยไร้เหตุ

แต่ถึงเพียงนี้แล้ว

35 เจ้ายังพูดว่า ‘ข้าไม่มีความผิด

พระองค์ไม่ได้กริ้วข้า’

แต่เราจะพิพากษาโทษเจ้า

เนื่องจากเจ้าพูดว่า ‘ข้าไม่ได้ทำบาป’

36 ทำไมเจ้าจึงโผไปทางโน้นโผมาทางนี้

เดี๋ยวคว้าทางโน้นเดี๋ยวฉวยทางนี้

เจ้าจะผิดหวังเพราะอียิปต์

เหมือนที่เจ้าเคยผิดหวังเพราะอัสซีเรียมาแล้ว

37 เจ้าจะเอามือกุมศีรษะ

ออกมาจากที่นั่นเช่นกัน

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธบรรดาผู้ที่เจ้าไว้เนื้อเชื่อใจ

พวกเขาจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/2-36d7149ee7639c7532d948ac93216c73.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 3

1 “หากชายใดหย่าขาดจากภรรยา

และนางไปแต่งงานกับชายอีกคน

เขาควรจะกลับไปหานางอีกหรือ?

จะไม่ทำให้แผ่นดินแปดเปื้อนมลทินไปหมดหรอกหรือ?

แต่เจ้าก็ใช้ชีวิตเยี่ยงโสเภณีที่มีชู้รักหลายคน

บัดนี้เจ้าจะกลับมาหาเราหรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

2 “จงแหงนหน้ามองบนที่สูงอันเริศร้างทั้งหลาย

ดูเถิด มีที่ไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ไปทำตัวแปดเปื้อนด้วยการล่วงประเวณี?

เจ้านั่งคอยบรรดาชู้รักอยู่ริมทาง

นั่งคอยเหมือนชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย

เจ้าทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน

เนื่องด้วยความสำส่อนและความชั่วร้ายของเจ้า

3 ฉะนั้นฝนจึงถูกระงับเสีย

และฝนฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ตกลงมา

ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังหน้าด้านเหมือนหญิงโสเภณี

เจ้าไม่มียางอายเอาเสียเลย

4 เจ้าเพิ่งร้องทูลเราไม่ใช่หรือว่า

‘พระบิดาของข้าพระองค์ ผู้ทรงเป็นมิตรสหายมาตั้งแต่ข้าพระองค์ยังแรกรุ่น

5 พระองค์จะกริ้วอยู่เนืองนิตย์หรือ?

พระพิโรธของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไปหรือ?’

เจ้าพูดเช่นนี้แหละ

แต่เจ้าก็ยังคงทำชั่วทุกอย่างอยู่ร่ำไป”

อิสราเอลผู้ไม่ซื่อสัตย์

6 ในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นสิ่งที่อิสราเอลผู้นอกใจทำหรือไม่? อิสราเอลคบชู้ด้วยการเที่ยวไปนมัสการพระต่างๆ บนภูเขาสูงทุกลูกและใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

7 เราคิดว่าหลังจากที่อิสราเอลได้ทำทุกสิ่งเหล่านี้แล้ว นางจะกลับมาหาเรา แต่ก็เปล่า และยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็เห็น

8 เราจึงทำหนังสือหย่าขาดจากอิสราเอลผู้นอกใจและไล่นางไปเพราะการคบชู้ทั้งหมดของนาง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้เห็นว่ายูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางไม่ขยาดกลัวเลย ยูดาห์เองก็ออกไปคบชู้ด้วย

9 เพราะนางเห็นว่าความเสื่อมศีลธรรมของอิสราเอลเป็นเรื่องเล็กน้อย นางจึงทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และคบชู้โดยไปนมัสการรูปเคารพซึ่งทำจากไม้และหิน

10 ถึงขนาดนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็ยังไม่หวนกลับมาหาเราอย่างสุดใจ มีแต่เสแสร้งแกล้งทำ”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลผู้ไม่ซื่อก็ยังชอบธรรมกว่ายูดาห์ผู้ไร้สัตย์

12 บัดนี้จงไปประกาศแก่พวกทางเหนือว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘อิสราเอลผู้ไม่ซื่อเอ๋ย กลับมาเถิด

เราจะไม่หน้าบึ้งใส่เจ้าอีกต่อไป

เพราะเราเปี่ยมด้วยเมตตา’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

‘เราจะไม่โกรธขึ้งตลอดไป

13 เพียงแต่เจ้ายอมรับผิด

ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

เจ้าได้ปันใจให้พระต่างชาติทั้งหลาย

ใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

และไม่ได้เชื่อฟังเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

14 “หันกลับมาเถิด ประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เพราะเราเป็นสามีของเจ้า เราจะเลือกสรรเจ้าคนหนึ่งจากเมืองหนึ่งและสองคนจากตระกูลหนึ่ง และจะนำเจ้ากลับมายังศิโยน

15 แล้วเราจะให้บรรดาผู้เลี้ยงซึ่งถูกใจเราแก่เจ้า ผู้ที่จะนำเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ

16 เมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองในแผ่นดินนั้น”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ผู้คนจะไม่พูดถึง ‘หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีก จะไม่คิดถึง ไม่จดจำ ไม่ถวิลหา และไม่สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมาใหม่

17 แต่ในเวลานั้น พวกเขาจะเรียกเยรูซาเล็มว่า ‘พระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ประชาชาติทั้งปวงจะมาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะไม่ดื้อดึงทำตามใจชั่วของตนอีกต่อไป

18 เมื่อถึงเวลานั้นพงศ์พันธุ์ยูดาห์จะสมทบกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาจะรวมกันมาจากดินแดนทางเหนือ มายังดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย

19 “เราเองลั่นวาจาไว้ว่า

“ ‘เรายินดีเหลือเกินที่จะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงลูก

และมอบดินแดนอันน่าปรารถนาแก่เจ้า

เป็นสมบัติอันงดงามที่สุดของชาติต่างๆ’

เราคิดว่าเจ้าจะเรียกเราว่า ‘พ่อ’

และจะติดตามเราโดยไม่หันหนีไปไหนอีกเลย

20 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา

เหมือนภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 มีเสียงหนึ่งร่ำไห้ดังจากยอดเขาอันเปล่าเปลี่ยว

เป็นเสียงร่ำไห้อ้อนวอนของชนอิสราเอล

เพราะพวกเขาได้บิดเบือนวิถีทางของตน

และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

22 “กลับมาเถิด ประชากรผู้ไม่ซื่อสัตย์

เราจะรักษาเจ้าจากการหลงผิด”

“แน่แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

23 แท้จริงการกราบไหว้รูปเคารพบนเนินเขาและภูเขาต่างๆ

ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงและไร้ประโยชน์

แท้จริงความรอดของอิสราเอล

อยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

24 ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัย เทพเจ้าอันน่าอับอายเหล่านั้นได้ล้างผลาญ

ผลแห่งหยาดเหงื่อแรงงานของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์

ลูกชายและลูกสาว

25 ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายนอนลงด้วยความอับอาย

และเอาความอัปยศอดสูคลุมกาย

ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษ

ได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัยตราบจนบัดนี้

ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/3-c651a3f0b812490eacf4cc97c667f058.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 4

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าจะหันกลับมา

หากเจ้าจะกลับมาหาเรา

หากเจ้ากำจัดเทวรูปอันน่าชิงชังออกไปให้พ้นหน้าเรา

และไม่หลงเตลิดอีกต่อไป

2 และหากเจ้าจะปฏิญาณโดยกล่าวอ้างว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’

ด้วยความจริง ความยุติธรรม และความชอบธรรม

ประชาชาติทั้งหลายก็จะได้รับพรจากเรา

และพวกเขาจะสรรเสริญเทิดทูนเรา”

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มว่า

“จงไถพรวนดินแข็งแห่งจิตใจของเจ้า

และอย่าหว่านเมล็ดพืชลงกลางดงหนาม

4 ชนยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย

จงทำสุหนัตให้ตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

จงทำสุหนัตที่ใจของพวกเจ้า

มิฉะนั้นโทสะของเราจะระเบิดออกและแผดเผาดั่งไฟ

เผาผลาญโดยไม่มีใครดับได้

เนื่องจากความชั่วร้ายที่พวกเจ้าได้ทำ

ภัยพิบัติจากทิศเหนือ

5 “จงป่าวประกาศในยูดาห์และป่าวร้องในเยรูซาเล็มว่า

‘จงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน!’

จงป่าวร้องเสียงดังว่า

‘มารวมตัวกัน!

ให้เราหนีไปยังเมืองป้อมปราการต่างๆ โดยเร็ว!’

6 จงส่งสัญญาณให้ไปศิโยน!

อย่าชักช้า! จงรีบหนีเอาชีวิตรอด

เพราะเรากำลังนำภัยพิบัติมาจากทางเหนือ

เป็นหายนะร้ายแรง”

7 ราชสีห์ตัวหนึ่งได้ออกมาจากถ้ำ

ผู้ที่จะทำลายบรรดาประชาชาติได้ออกมาแล้ว

เขาออกมาจากที่พักของตน

เพื่อทำให้แผ่นดินของเจ้าถูกทิ้งร้าง

เมืองต่างๆ ของเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง

ปราศจากผู้อยู่อาศัย

8 ฉะนั้นจงสวมเสื้อผ้ากระสอบ

จงร้องไห้คร่ำครวญ

เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ยังไม่หันเหจากเรา

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น

กษัตริย์และบรรดาข้าราชการจะเสียขวัญกำลังใจ

ปุโรหิตจะตกใจกลัว

และผู้เผยพระวจนะจะขนลุก”

10 แล้วข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงหลอกลวงเยรูซาเล็มและชนชาตินี้แน่แล้ว ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะมีสันติสุข’ แต่นี่ดาบจ่อที่คอหอยข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”

11 เมื่อถึงเวลานั้นจะมีผู้บอกชนชาตินี้และชาวเยรูซาเล็มว่า “ลมร้อนจากที่สูงอันเวิ้งว้างในทะเลทรายพัดมายังประชากรของเรา แต่ไม่ใช่เพื่อฝัดร่อนหรือชะล้าง

12 เราเป็นผู้ส่งลมกล้านั้นมาบัดนี้เราประกาศคำพิพากษาลงโทษพวกเขา”

13 ดูสิ! บุคคลผู้นั้นบุกมาเหมือนเมฆ

รถม้าศึกของเขามาเหมือนพายุหมุน

ม้าศึกของเขาไวยิ่งกว่านกอินทรี

วิบัติแก่เรา! เราพินาศวอดวายแล้ว!

14 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระความชั่วร้ายออกจากจิตใจเพื่อจะได้รับความรอด

เจ้าจะบ่มความคิดชั่วไว้นานสักเท่าใด?

15 เสียงหนึ่งป่าวร้องออกมาจากดาน

ประกาศภัยพิบัติจากบรรดาเนินเขาของเอฟราอิม

16 “จงบอกเรื่องนี้แก่บรรดาประชาชาติ

ประกาศเรื่องนี้แก่เยรูซาเล็มว่า

‘กองทัพที่ล้อมเมืองกำลังมาจากแดนไกล

โห่ร้องออกศึกสู้กับเมืองต่างๆ ของยูดาห์

17 พวกเขาโอบล้อมเยรูซาเล็มเหมือนคนเฝ้านา

เพราะเยรูซาเล็มกบฏต่อเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

18 “การกระทำและความประพฤติของเจ้าเอง

ได้ชักนำให้เหตุการณ์นี้เกิดแก่เจ้า

นี่คือโทษทัณฑ์ของเจ้า

มันช่างขมขื่นยิ่งนัก!

มันช่างเสียดแทงใจเสียจริง!”

19 โอย ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน!

ข้าพเจ้าทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

โอย หัวใจของข้าพเจ้าร้าวราน!

หัวใจของข้าพเจ้าสะทกสะท้านอยู่ภายใน

ข้าพเจ้าไม่อาจสงบนิ่ง

เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตร

ได้ยินเสียงโห่ร้องคะนองศึก

20 หายนะกระหน่ำเข้ามาติดๆ กัน

ทั้งแผ่นดินตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง

เต็นท์ทั้งหลายของข้าพเจ้าถูกทำลายไปในชั่วพริบตา

เพียงแวบเดียว ที่พักพิงของข้าพเจ้าก็ย่อยยับไป

21 ข้าพเจ้าจะต้องทนดูธงรบ

และฟังเสียงแตรไปนานสักเท่าใดหนอ?

22 “ประชากรของเราโง่เขลา

พวกเขาไม่รู้จักเรา

พวกเขาเป็นเด็กเหลวไหล

ไม่มีความเข้าใจ

พวกเขาช่ำชองในการทำชั่ว

ทำดีไม่เป็นเลย”

23 ข้าพเจ้ามองดูที่แผ่นดินโลก

มันไม่มีรูปทรงและว่างเปล่า

มองดูที่ฟ้าสวรรค์

แสงสว่างลับไปเสียแล้ว

24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขาทั้งหลาย

เห็นมันสั่นสะท้าน

เนินเขาทั้งหลายก็โคลงเคลง

25 ข้าพเจ้ามองดู ไม่มีผู้คนเลย

นกในท้องฟ้าบินลับหายไปหมด

26 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กลายเป็นถิ่นกันดาร

เมืองทั้งหลายอยู่ในสภาพปรักหักพัง

ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า

“ทั้งแผ่นดินจะย่อยยับ

แม้เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น

28 ฉะนั้นโลกจะคร่ำครวญ

และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะหม่นหมอง

เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้ และจะไม่มีการผ่อนผัน

เราได้ตัดสินใจไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง”

29 เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและพลธนู

ชาวเมืองทุกแห่งหนีกระเจิดกระเจิง

บางคนเข้าไปในพุ่มไม้

บางคนปีนป่ายขึ้นไปตามหินผา

เมืองทุกเมืองถูกทิ้งร้าง

ไม่มีใครอยู่อาศัย

30 เจ้าผู้ถูกทำลาย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นั่น?

ทำไมจึงสวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม

และสวมเครื่องเพชรเครื่องทอง?

เจ้าแต่งแต้มทาตาไปทำไม?

ถึงแต่งตัวสวยก็เปล่าประโยชน์

คนรักของเจ้าเหยียดหยามเจ้า

พวกเขาหมายจะเอาชีวิตเจ้า

31 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงผู้หญิงกำลังคลอดลูก

เหมือนเสียงครวญครางของผู้หญิงที่คลอดลูกท้องแรก

เป็นเสียงร้องของธิดาแห่งศิโยนหอบหายใจเป็นห้วงๆ

เธอเหยียดแขนออกและพูดว่า

“อนิจจา ฉันจะเป็นลมแล้ว

ชีวิตฉันถูกมอบไว้ในมือของเหล่าฆาตกร”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/4-b4feb3de4b4d2fbd3199aedf660706d7.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 5

ไม่มีใครเที่ยงธรรม

1 “จงวิ่งไปวิ่งมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม

จงมองไปรอบๆ และพิเคราะห์ดู

จงค้นหาตามลานเมืองต่างๆ

หากเจ้าหาพบแม้แต่คนเดียว

ที่ซื่อสัตย์และแสวงหาความจริง

เราก็จะยกโทษให้เมืองนี้

2 ถึงแม้พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’

พวกเขาก็กำลังสาบานเท็จ”

3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเนตรของพระองค์มองหาความจริงไม่ใช่หรือ?

พระองค์ทรงเฆี่ยนพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักเจ็บ

ทรงขยี้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข

พวกเขาทำหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าหิน

และไม่ยอมกลับตัวกลับใจ

4 ข้าพเจ้าคิดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้

พวกเขาเป็นคนโง่เขลา

เพราะพวกเขาไม่รู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตน

5 ฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้นำ

และจะพูดกับพวกเขา

คนเหล่านั้นย่อมรู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า

รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตนอย่างแน่นอน”

แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันหักแอก

และทลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน

6 ฉะนั้นสิงโตจากป่าจะมาเล่นงานพวกเขา

สุนัขป่าจากทะเลทรายจะเข้าขย้ำ

เสือดาวจะซุ่มอยู่ใกล้เมืองต่างๆ ของพวกเขา

คอยฉีกเนื้อคนที่ออกมานั้นเป็นชิ้นๆ

เพราะการทรยศของพวกเขาร้ายแรงนัก

และชอบหวนกลับไปทำบาป

7 “ควรหรือที่เราจะอภัยให้พวกเจ้า?

ลูกหลานของพวกเจ้าได้ละทิ้งเรา

และสาบานโดยอ้างพระต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า

เราได้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา

แต่พวกเขาก็ยังคบชู้

และแห่กันไปยังสำนักนางโลม

8 พวกเขาเป็นม้าหนุ่มกลัดมันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

ต่างกระสันหาภรรยาของเพื่อนบ้าน

9 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“จะไม่ให้เราแก้แค้น

ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?

10 “จงไปตามแถวต่างๆ ของสวนองุ่นของเยรูซาเล็มและทำลายเสีย

แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น

จงตัดกิ่งต่างๆ จากเถาองุ่น

เพราะประชากรเหล่านี้ไม่ได้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

11 พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์

ได้นอกใจเราจนถึงที่สุด”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 พวกเขาโกหกเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

“พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรหรอก!

จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเรา

เราจะไม่มีวันเห็นการฆ่าฟันหรือการกันดารอาหาร

13 บรรดาผู้เผยพระวจนะเป็นเพียงลม

ไม่มีพระวจนะในคนเหล่านั้น

ดังนั้นเขาพูดอะไรออกมาก็ขอให้ตกแก่ตัวเขาเอง”

14 ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“เนื่องจากเหล่าประชากรได้พูดเช่นนี้

เราจะทำให้ถ้อยคำของเราในปากของเจ้านั้นเป็นไฟ

และให้ประชากรเหล่านี้เป็นฟืนที่ไฟนี้จะเผาผลาญ

15 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอล”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เรากำลังนำชนชาติหนึ่งจากแดนไกลมาสู้กับเจ้า

เป็นชนชาติโบราณที่ยืนหยัดมานาน

เป็นชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักภาษาของเขา

ไม่เข้าใจคำพูดของเขา

16 แล่งธนูของเขาเป็นเหมือนหลุมศพที่เปิดกว้าง

คนของเขาล้วนแต่เป็นนักรบเกรียงไกร

17 พวกเขาจะกลืนกินพืชผลและอาหารของเจ้า

กลืนกินลูกชายลูกสาวของเจ้า

พวกเขาจะกลืนกินทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์ของเจ้า

กลืนกินทั้งเถาองุ่นและต้นมะเดื่อ

พวกเขาจะใช้ดาบทำลายล้าง

เมืองป้อมปราการต่างๆ ที่เจ้าเชื่อว่าปลอดภัย”

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แม้ถึงเวลานั้น เราก็จะไม่ทำลายพวกเจ้าให้สูญสิ้นไป

19 และเมื่อเหล่าประชากรถามว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจึงทรงทำสิ่งทั้งหมดนี้กับเรา?’ เจ้าจะบอกพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้า และได้ปรนนิบัติบรรดาพระต่างชาติในแผ่นดินของเจ้าเองอย่างไร บัดนี้พวกเจ้าจะต้องไปปรนนิบัติชนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างนั้น’

20 “จงประกาศต่อพงศ์พันธุ์ของยาโคบ

และป่าวร้องในยูดาห์ว่า

21 ฟังนะ ประชากรผู้โง่เขลาและสิ้นคิด

ผู้ซึ่งมีตาแต่มองไม่เห็น

ผู้ซึ่งมีหูแต่ไม่ได้ยิน

22 เจ้าควรจะยำเกรงเราไม่ใช่หรือ?”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เจ้าควรจะสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?

เราตั้งหาดทรายเป็นขอบเขตให้ทะเล

เป็นเครื่องกีดขวางนิรันดร์ซึ่งทะเลจะฝ่าข้ามไปไม่ได้

คลื่นอาจจะม้วนตัว แต่ก็เอาชนะไม่ได้

มันอาจจะร้องคำราม แต่ก็ล้ำเขตไปไม่ได้

23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อด้านและชอบกบฏ

พวกเขาได้หันหนีเราไป

24 พวกเขาไม่รู้จักบอกตัวเองว่า

‘ให้เรายำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา

ผู้ประทานฝนฤดูใบไม้ร่วงและฝนฤดูใบไม้ผลิให้ตกต้องตามฤดูกาล

ผู้ให้ความมั่นใจว่าเราจะได้เก็บเกี่ยวพืชผลตามฤดูอย่างแน่นอน’

25 เพราะพวกเจ้าทำผิด สิ่งเหล่านี้จึงสูญสิ้นไป

บาปทั้งหลายของเจ้าได้ทำให้เจ้าพลาดจากสิ่งดีๆ

26 “ในหมู่ประชากรของเรามีคนชั่วร้าย

ซึ่งหมอบคอยอยู่เหมือนคนที่วางบ่วงดักนก

และเหมือนคนที่วางกับดักจับคน

27 บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยการหลอกลวง

เหมือนกรงที่เต็มไปด้วยนก

พวกเขากลายเป็นคนมั่งมีและทรงอิทธิพล

28 ทั้งอ้วนพีและล่ำสัน

พวกเขาทำชั่วอย่างไร้ขีดจำกัด

ไม่ช่วยให้ลูกกำพร้าพ่อได้รับความยุติธรรมในคดีความ

ไม่ปกป้องสิทธิของผู้ยากไร้

29 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“จะไม่ให้เราแก้แค้น

ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?

30 “สิ่งน่าสะพรึงกลัวและน่าตกใจ

ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้

31 คือบรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์เท็จ

เหล่าปุโรหิตปกครองโดยสิทธิอำนาจของตนเอง

และประชากรของเราก็รักวิถีแบบนี้

แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรในบั้นปลาย?

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/5-3bdbbab1422f3229ab695c3cbc8fed24.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 6

เยรูซาเล็มถูกล้อม

1 “วิ่งหนีเอาชีวิตรอดเถิด ชาวเบนยามินเอ๋ย!

จงหนีจากเยรูซาเล็ม!

จงเป่าแตรในเทโคอา!

ส่งสัญญาณขึ้นเหนือเบธฮัคเคเรม!

เพราะภัยพิบัติโผล่ขึ้นมาจากทางเหนือ

เป็นหายนะร้ายแรง

2 เราจะทำลายธิดาแห่งศิโยน

ผู้งดงามและบอบบางเหลือเกิน

3 คนเลี้ยงแกะและฝูงสัตว์ของเขาจะมาต่อสู้เธอ

พวกเขาจะตั้งเต็นท์ล้อมเมือง

แต่ละคนเลี้ยงสัตว์ของเขา”

4 “จงเตรียมทำศึกกับศิโยน!

จงลุกขึ้น ให้เราบุกโจมตียามเที่ยงวัน!

แต่อนิจจา กลางวันคล้อยลงแล้ว

และร่มเงาของยามเย็นทอดยาว

5 ดังนั้นจงลุกขึ้น ให้เราโจมตีตอนกลางคืน

และทำลายป้อมปราการต่างๆ เสีย!”

6 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“จงโค่นต้นไม้

แล้วก่อเชิงเทินเพื่อสู้กับเยรูซาเล็ม

กรุงนี้ต้องถูกลงโทษ

เพราะเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหง

7 ดั่งบ่อน้ำปล่อยน้ำไหลออกมา

กรุงนี้ก็ได้ปล่อยความชั่วร้ายออกมา

ความทารุณอำมหิตและการทำลายล้างดังกระหึ่มในเมืองนี้

ความเจ็บป่วยและบาดแผลของมันมีอยู่ต่อหน้าเราเสมอ

8 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงรับการเตือน

มิฉะนั้นเราจะเบือนหน้าหนีจากเจ้า

และทำให้ดินแดนของเจ้าถูกทิ้งร้าง

จนไม่มีใครอยู่อาศัยได้”

9 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“แม้แต่ชนอิสราเอลที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือก็ต้องถูกทำลายซ้ำ

เหมือนคนเก็บองุ่น

ตรวจดูองุ่นแต่ละเถา

เพื่อเก็บพวกที่คลาดสายตาไป”

10 จะให้ข้าพเจ้าพูดและเตือนใครได้?

ใครจะฟังข้าพเจ้า?

หูของพวกเขาถูกอุด

พวกเขาจึงไม่ได้ยิน

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าระคายหูของพวกเขา

พวกเขาจึงไม่อยากฟัง

11 แต่พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สุมอยู่ที่ข้าพเจ้า

สุดที่ข้าพเจ้าจะอัดอั้นไว้

“จงระบายออกมาเหนือเด็กๆ ตามท้องถนน

เหนือกลุ่มคนหนุ่มที่มาชุมนุมกัน

ทั้งสามีและภรรยาก็ไม่เว้น

รวมถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ร่วงโรยไป

12 บ้านเรือนของเขาจะตกเป็นของคนอื่น

พร้อมทั้งที่นาและภรรยา

เมื่อเรายื่นมือออก

ต่อสู้ประชากรที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

13 “ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด

ล้วนโลภมุ่งกำไร

พวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็ไม่ต่างกัน

ล้วนโกหกหลอกลวง

14 พวกเขาทำแผลให้ประชากรของเรา

ราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงเท่าไร

พวกเขากล่าวว่า ‘สันติสุข สันติสุข’

ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข

15 พวกเขาละอายใจในความประพฤติอันน่าขยะแขยงของตนบ้างหรือเปล่า?

เปล่าเลย พวกเขาไม่ละอายสักนิด

ไม่รู้เลยว่าการมียางอายนั้นเป็นอย่างไร

ฉะนั้นพวกเขาจะล้มลงในหมู่ผู้ที่ล้มลง

เขาจะตกต่ำลงเมื่อเราลงโทษเขา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“จงยืนที่ทางแพร่งและมองดู

จงถามถึงหนทางโบราณ

จงถามหาหนทางที่ดีและดำเนินในทางนั้น

แล้วเจ้าจะพบการพักสงบสำหรับจิตใจของเจ้า

แต่เจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่ยอมเดินทางสายนั้น’

17 เราตั้งยามไว้เหนือเจ้าและกล่าวว่า

‘ฟังเสียงแตรเถิด!’

แต่เจ้าพูดว่า ‘เราจะไม่ฟัง’

18 ฉะนั้นจงฟังให้ดี ประชาชาติทั้งหลาย

เหล่าพยานเอ๋ย

จงสังเกตสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขา

19 แผ่นดินโลกเอ๋ย จงฟังเถิด

เรากำลังนำภัยพิบัติมาเหนือชนชาตินี้

เป็นผลจากแผนชั่วของพวกเขาเอง

เพราะพวกเขาไม่ยอมฟังถ้อยคำของเรา

และได้ละทิ้งบทบัญญัติของเรา

20 เราแยแสอะไรกับเครื่องหอมจากเชบา

หรือเครื่องเทศอันหอมหวลจากแดนไกล?

เครื่องเผาบูชาของเจ้าไม่เป็นที่ยอมรับ

เครื่องบูชาทั้งหลายของเจ้าไม่ได้ทำให้เราพอใจ”

21 ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า

“เราจะตั้งเครื่องกีดขวางไว้ต่อหน้าชนชาตินี้

ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้เป็นบิดาและผู้เป็นบุตรสะดุดล้ม

เพื่อนบ้านและมิตรสหายจะพินาศ”

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด กองทัพจะมา

จากดินแดนทางเหนือ

ชนชาติยิ่งใหญ่กำลังถูกเร่งเร้า

จากทุกมุมโลก

23 พวกเขามีทั้งธนูและหอก

โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา

เสียงควบม้าของพวกเขา

เหมือนเสียงทะเลคำราม

พวกเขายกกระบวนทัพมา

เพื่อโจมตีเจ้า ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย”

24 เราได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือเกี่ยวกับกองทัพ

ของเขา

แขนขาของเราก็หมดเรี่ยวหมดแรง

ความทุกข์ทรมานเกาะกุมเรา

เราเจ็บปวดเหมือนผู้หญิงที่กำลังคลอดลูก

25 อย่าออกไปที่ทุ่งนา

หรือเดินตามถนน

เพราะศัตรูถือดาบพร้อมที่จะสังหาร

และไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ความสยดสยอง

26 พี่น้องร่วมชาติเอ๋ย จงสวมเสื้อผ้ากระสอบ

และเกลือกกลิ้งอยู่ในกองขี้เถ้าเถิด

จงร้องไห้คร่ำครวญอย่างรันทดขมขื่น

เหมือนสูญเสียลูกชายคนเดียวที่มีอยู่

เพราะในทันทีทันใด

ผู้ทำลายล้างจะยกมาโจมตีเรา

27 “เราได้ทำให้เจ้าเป็นนักวิเคราะห์แร่

และประชากรของเราเป็นสินแร่

เพื่อเจ้าจะสังเกต

และทดสอบวิถีทางต่างๆ ของพวกเขา

28 พวกเขาล้วนเป็นนักกบฏดื้อด้าน

เที่ยวนินทาว่าร้ายไปทั่ว

พวกเขาเป็นเหมือนทองสัมฤทธิ์และเหล็ก

ล้วนประพฤติตัวเสื่อมทราม

29 สูบลมก็สูบอย่างดุเดือด

เพื่อให้ไฟเผาตะกั่วให้หมดไป

แต่การถลุงก็เปล่าประโยชน์

คนชั่วไม่ถูกหลอมชำระให้บริสุทธิ์ได้เลย

30 พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็น ‘เงินที่ถูกทิ้งแล้ว’

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงละทิ้งพวกเขาแล้ว”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/6-5f200c3d8b6c99df996e85403eb7e9d6.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 7

ศาสนาจอมปลอมอันไร้ค่า

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

2 “จงยืนที่ทางเข้าพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประกาศว่า

“‘ชนยูดาห์ทั้งปวงซึ่งผ่านเข้าประตูเหล่านี้เพื่อนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

3 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงแก้ไขความประพฤติและวิถีทางของเจ้าเสียใหม่ แล้วเราจะอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่

4 อย่าไปเชื่อคำหลอกลวงและพูดว่า “นี่คือพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”

5 หากเจ้าแก้ไขความประพฤติและวิถีทางต่างๆ อย่างจริงจัง และปฏิบัติต่อกันอย่างยุติธรรม

6 หากเจ้าไม่ข่มเหงคนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่าย ไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องหลั่งเลือดที่นี่ หากเจ้าไม่ติดตามพระอื่นๆ ให้เจ้าเองได้รับอันตราย

7 เมื่อนั้นเราจะอนุญาตให้เจ้าอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ในแผ่นดินซึ่งเรายกให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์

8 แต่ดูสิ เจ้ากำลังเชื่อคำหลอกลวงที่ไร้ค่า

9 “ ‘เจ้าจะลักขโมย ฆ่าคน ล่วงประเวณี และสาบานเท็จเผาเครื่องหอมถวายพระบาอัลและติดตามพระอื่นๆ ซึ่งเจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน

10 แล้วก็เข้ามายืนอยู่ต่อหน้าเราในนิเวศแห่งนี้ซึ่งใช้ชื่อของเรา แล้วเจ้าก็พูดว่า “เราปลอดภัย” ปลอดภัยเพื่อจะทำสิ่งที่น่าเกลียดชังทั้งปวงเหล่านี้หรือ?

11 นิเวศแห่งนี้ซึ่งใช้ชื่อของเรากลายเป็นซ่องโจรสำหรับเจ้าแล้วหรือ? เรากำลังจับตาดูอยู่!องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 “ ‘บัดนี้จงไปที่ชิโลห์ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีเราใช้เป็นที่สถาปนานามของเรา ไปดูซิว่าเราทำอะไรกับที่แห่งนั้นเนื่องด้วยความชั่วร้ายของชนอิสราเอลประชากรของเรา

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ขณะที่เจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราได้พูดกับเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เจ้าไม่ยอมฟัง เราได้เรียกเจ้า แต่เจ้าไม่ตอบ

14 ฉะนั้นเราได้ทำแก่ชิโลห์อย่างไร บัดนี้เราจะทำอย่างนั้นแก่นิเวศซึ่งใช้ชื่อของเรา แก่พระวิหารซึ่งเจ้าไว้วางใจ แก่สถานที่ซึ่งเรายกให้แก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้าอย่างนั้น

15 เราจะเหวี่ยงเจ้าไปให้พ้นหน้าเรา เหมือนที่เราได้ทำแก่ชนเอฟราอิมพี่น้องของเจ้า’

16 “ดังนั้นอย่าอธิษฐานเผื่อชนชาตินี้ อย่าอ้อนวอนหรือทูลขอเพื่อพวกเขาอีกต่อไป อย่าร้องทูลเราเพราะเราจะไม่ฟังเจ้า

17 เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ทั่วหัวเมืองทั้งหลายของยูดาห์และตามถนนหนทางในเยรูซาเล็ม?

18 พวกเด็กๆ เก็บฟืนมา แล้วผู้เป็นพ่อก็ก่อไฟ ส่วนพวกผู้หญิงนวดแป้งทำขนมเพื่อถวายเทวีแห่งสวรรค์ พวกเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายพระอื่นๆ เพื่อยั่วโทสะเรา

19 แต่เราคือผู้ที่เขากำลังยั่วยุหรือ?องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ พวกเขากำลังทำร้ายตัวเอง สร้างความอัปยศอดสูแก่ตัวเองมากกว่าไม่ใช่หรือ?

20 “ ‘ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราจะระบายความโกรธและความเกรี้ยวกราดของเราเหนือที่แห่งนี้ เหนือมนุษย์และสัตว์ เหนือต้นไม้ในท้องทุ่ง เหนือพืชผลทั้งปวงบนแผ่นดิน เป็นไฟโทสะอันเผาผลาญซึ่งไม่มีใครดับได้

21 “ ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ไปเลย ไปเพิ่มเครื่องเผาบูชานอกเหนือจากเครื่องบูชาทั้งหลายอีก และเอาเนื้อมากินเสียเอง!

22 เพราะเมื่อเราพาบรรพบุรุษของเจ้าออกมาจากอียิปต์และพูดกับเขา เราไม่ได้สั่งเรื่องเครื่องเผาบูชาและของถวายต่างๆ เท่านั้น

23 แต่เรายังสั่งพวกเขาว่า จงเชื่อฟังเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้าและเจ้าจะเป็นประชากรของเรา จงดำเนินตามวิถีทางทั้งปวงซึ่งเราสั่งเจ้า แล้วเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข

24 แต่พวกเขาไม่ฟังและไม่ใส่ใจ กลับทำตามใจชั่วร้ายที่มักจะดื้อดึงของตน เขาถอยหลังเข้าคลองแทนที่จะรุดไปข้างหน้า

25 นับตั้งแต่เมื่อครั้งบรรพบุรุษของเจ้าออกจากอียิปต์จวบจนบัดนี้ เราส่งผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรามาหาพวกเจ้าวันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า

26 แต่พวกเขาไม่ยอมฟังเรา ไม่ยอมใส่ใจ พวกเขาเป็นคนหัวแข็ง ชั่วร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก’

27 “เมื่อเจ้าบอกพวกเขาทุกอย่างตามนี้แล้ว พวกเขาจะไม่ฟังเจ้า เมื่อเจ้าร้องเรียก พวกเขาจะไม่ตอบ

28 ฉะนั้นจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘นี่เป็นชนชาติที่ไม่ยอมเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ไม่ยอมรับการตักเตือนแก้ไข ความจริงพินาศไปแล้ว สูญสิ้นไปจากริมฝีปากของพวกเขา

29 “ ‘จงโกนผมและโยนทิ้งไป จงคร่ำครวญโศกเศร้าบนที่สูงอันโล่งเตียน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปฏิเสธและละทิ้งคนในชั่วอายุนี้ ซึ่งตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระองค์

หุบเขาแห่งการประหัตประหาร

30 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ชนยูดาห์ทำชั่วในสายตาของเรา พวกเขาได้ตั้งเทวรูปอันน่าชิงชังในนิเวศซึ่งใช้ชื่อของเรา และทำให้ที่นั่นเป็นมลทิน

31 พวกเขาได้สร้างสถานบูชาบนที่สูงต่างๆ ของโทเฟทขึ้นในหุบเขาเบนฮินโนม เพื่อเผาลูกชายลูกสาวของตนเป็นเครื่องบูชายัญ นี่เป็นสิ่งที่เราไม่เคยสั่ง ไม่เคยเข้ามาในความคิดของเราเลย

32 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ดังนั้นจงระวัง เพราะจะถึงเวลาที่ผู้คนจะไม่เรียกหุบเขาแห่งนั้นว่าโทเฟทหรือหุบเขาเบนฮินโนมอีกต่อไป แต่เรียกว่า “หุบเขาแห่งการเข่นฆ่า” เพราะพวกเขาจะฝังคนตายในโทเฟทจนไม่มีที่เหลืออีก

33 แล้วซากศพของชนชาตินี้จะเป็นอาหารของนกในอากาศและสัตว์ต่างๆ บนพื้นดิน และไม่มีใครมาไล่พวกมันไป

34 เราจะหยุดเสียงรื่นเริงบันเทิงใจ เสียงสุขหรรษาของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเมืองทั้งหลายของยูดาห์ และตามถนนหนทางในเยรูซาเล็ม เพราะดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นที่ร้าง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/7-9e59e0e986670191a2dc2decd8d5a3af.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 8

1 “‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเมื่อถึงเวลานั้นกระดูกของบรรดากษัตริย์และขุนนางของยูดาห์ กระดูกของเหล่าปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะ และกระดูกของชาวเยรูซาเล็มจะถูกขุดออกมาจากหลุมฝังศพ

2 และถูกทิ้งกระจัดกระจายไว้กลางแจ้งภายใต้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และมวลหมู่ดาวแห่งฟ้าสวรรค์ซึ่งพวกเขารักและปรนนิบัติ ติดตามขอคำปรึกษาและนมัสการ กระดูกของพวกเขาจะไม่ถูกเก็บรวบรวมขึ้นมาอีกหรือถูกฝังไว้ แต่จะเป็นเหมือนขยะที่ทิ้งไว้บนพื้น

3 และบรรดาผู้ที่ยังเหลือรอดอยู่ในหมู่ประชาชาติชั่วร้ายนี้ จะเรียกหาความตายมากกว่ามีชีวิตอยู่ในที่ซึ่งเราจะเนรเทศพวกเขาไปนั้น พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนี้’

บาปและโทษทัณฑ์

4 “จงไปบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้

“ ‘เมื่อคนล้มลง เขาจะไม่ลุกขึ้นหรือ?

เมื่อเขาไปผิดทาง เขาจะไม่ย้อนกลับมาหรือ?

5 แล้วทำไมประชากรเหล่านี้หันไปทางอื่น?

เหตุใดเยรูซาเล็มจึงหันไปทางอื่นเสมอ?

พวกเขายึดติดกับความหลอกลวง

พวกเขาไม่ยอมหันกลับมา

6 เราตั้งใจฟัง

แต่พวกเขาไม่ได้พูดสิ่งที่ถูกต้อง

ไม่มีใครกลับตัวกลับใจจากความชั่วร้ายของตน

และกล่าวว่า “ข้าได้ทำอะไรลงไป?”

แต่ละคนไปตามทางของตนเอง

เหมือนม้าทะยานออกศึก

7 แม้แต่นกกระสาในท้องฟ้า

ยังรู้กำหนดฤดูกาล

เช่นเดียวกับนกพิราบ นกกระเรียน และนกนางแอ่น

ยังรู้จักสังเกตว่าได้เวลาอพยพ

แต่ประชากรของเรา

ไม่รู้ข้อกำหนดต่างๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

8 “ ‘เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า “เราเฉลียวฉลาด

เพราะเรามีบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

ในเมื่อปากกามุสาของเหล่าอาลักษณ์

ได้บิดเบือนบทบัญญัตินั้น?

9 คนฉลาดเหล่านั้นจะต้องอับอายขายหน้า

พวกเขาจะหวาดกลัวท้อแท้และติดกับ

เนื่องจากได้ละทิ้งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เขามีสติปัญญาประเภทไหนกัน?

10 ฉะนั้นเราจะยกภรรยาของพวกเขาให้ชายอื่น

และยกที่นาของพวกเขาให้เจ้าของคนใหม่

ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด

ล้วนโลภมุ่งกำไร

พวกผู้เผยพระวจนะและปุโรหิตก็ไม่ต่างกัน

ล้วนโกหกหลอกลวง

11 พวกเขาทำแผลให้ประชากรของเรา

ราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงเท่าไร

พวกเขากล่าวว่า “สันติสุข สันติสุข”

ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข

12 พวกเขาละอายใจในความประพฤติอันน่าขยะแขยงของตนบ้างหรือเปล่า?

เปล่าเลย พวกเขาไม่ละอายสักนิด

ไม่รู้เลยว่าการมียางอายนั้นเป็นอย่างไร

ฉะนั้นพวกเขาจะล้มลงในหมู่ผู้ที่ล้มลง

เขาจะตกต่ำลงเมื่อเราลงโทษเขา

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

13 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

เราจะริบผลิตผลของเขาไป

จะไม่มีผลองุ่นติดอยู่บนเถา

ไม่มีมะเดื่อบนต้น

ใบของมันจะเหี่ยวเฉาไป

อะไรที่เราให้พวกเขาไว้

จะถูกยึดไป’ ”

14 “เราจะมานั่งรอความตายอยู่ที่นี่ทำไม?

มาเถิด ไปด้วยกัน!

ให้เราหนีไปยังหัวเมืองป้อมปราการต่างๆ

ไปตายเสียที่นั่น!

เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้กำหนดให้เราพินาศย่อยยับแล้ว

และทรงยื่นถ้วยยาพิษให้เราดื่ม

เพราะเราได้ทำบาปต่อพระองค์

15 เรามุ่งหวังสันติสุข

แต่มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

เรามุ่งหวังเวลาแห่งการเยียวยารักษา

ก็มีแต่เพียงความสยดสยอง

16 เสียงหายใจฟืดฟาดของม้าฝ่ายศัตรู

ได้ยินมาจากเมืองดาน

ทั่วทั้งดินแดนสั่นสะท้าน

ด้วยเสียงม้าศึก

ศัตรูกำลังมาเขมือบ

ทั้งดินแดนนี้และทุกสิ่งที่นี่

ไม่ว่านครหรือผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้น”

17 “ดูเถิด เราจะส่งงูพิษมาในหมู่พวกเจ้า

งูพิษซึ่งไม่มีใครสะกดได้

จะมาฉกเจ้า”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

18 โอ ข้าแต่องค์ผู้ทรงปลอบโยนข้าพเจ้าในยามโศกเศร้า

ดวงใจของข้าพเจ้าอ่อนระโหยอยู่ภายในข้าพเจ้า

19 ฟังเสียงร่ำไห้ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า

จากแดนไกลโพ้นเถิด

พวกเขาถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ประทับอยู่ในศิโยนหรือ?

องค์กษัตริย์แห่งศิโยนไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้วหรือ?”

“ทำไมหนอพวกเขาจึงยั่วโทสะเราด้วยรูปเคารพ

และด้วยเหล่าเทวรูปต่างชาติอันไร้ค่า?”

20 “ฤดูเก็บเกี่ยวผ่านพ้นไป

ฤดูร้อนก็หมดไป

และยังไม่มีใครช่วยเราให้รอด”

21 เพราะว่าพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าถูกบดขยี้ ดวงใจของข้าพเจ้าจึงแหลกสลาย

ข้าพเจ้าคร่ำครวญอาดูรและความสยดสยองเกาะกุมข้าพเจ้า

22 ในกิเลอาดไม่มียาหรือ?

ที่นั่นไม่มีแพทย์เลยหรือ?

ทำไมจึงไม่มีการเยียวยาบาดแผล

ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้าให้หาย?

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/8-b4acb98597652dc33cb2dba44767e502.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 9

1 โอ ถ้าศีรษะของข้าพเจ้าเป็นเหมือนแหล่งน้ำ

และตาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนบ่อน้ำพุแห่งน้ำตา!

ข้าพเจ้าจะได้ร่ำไห้ทั้งวันทั้งคืน

เพื่อพี่น้องร่วมชาติซึ่งถูกสังหาร

2 โอ ข้าพเจ้าอยากมีที่พักแรม

สำหรับคนเดินทางในถิ่นกันดารนัก

เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไปให้พ้น

จากพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า

เพราะพวกเขาล้วนเป็นคนล่วงประเวณี

เป็นฝูงชนที่ไม่ซื่อสัตย์

3 “พวกเขาโก่งลิ้นเหมือนคันศร

เพื่อยิงคำโกหกออกมา

ความเท็จจึงมีชัย

เหนือความจริงในแผ่นดิน

พวกเขาทำบาปอย่างหนึ่ง

แล้วก็แล่นไปสู่บาปอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาไม่ยอมรับเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

4 “จงระวังเพื่อนของเจ้า

และอย่าไว้ใจพี่น้องของเจ้า

เพราะว่าพี่น้องทุกคนเป็นคนหลอกลวง

และเพื่อนทุกคนเป็นนักใส่ร้ายป้ายสี

5 เพื่อนหลอกลวงเพื่อน

และไม่มีใครพูดความจริง

พวกเขาฝึกลิ้นตัวเองให้โกหก

ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าด้วยการทำบาป

6 เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางการหลอกลวง

เพราะความหลอกลวงของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมรับเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

7 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะถลุงและทดสอบพวกเขา

เพราะนอกจากนี้เราจะทำสิ่งอื่นใดได้อีก

เนื่องจากบาปที่ประชากรของเราได้ทำ?

8 ลิ้นของพวกเขาเป็นลูกศรคร่าชีวิต

พูดจาตลบตะแลง

ทุกคนพูดอย่างเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านของเขา

แต่ในใจคิดวางแผนเล่นงานเขา

9 ไม่ควรหรือที่เราจะลงโทษพวกเขาเพราะเหตุนี้?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“ไม่ควรหรือที่เราจะแก้แค้น

ชนชาติที่เป็นเช่นนี้?”

10 ข้าพเจ้าจะร้องไห้คร่ำครวญเพื่อภูเขาทั้งหลาย

และเปล่งคำคร่ำครวญเรื่องทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่ถูกทิ้งร้าง

มันถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสัญจรไปมา

ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ร้อง

ทั้งนกในอากาศและสัตว์ทั้งปวง

ก็หนีไปหมด

11 “เราจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นซากปรักหักพัง

เป็นถิ่นที่อยู่ของหมาใน

และเราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้าง

เพื่อจะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น”

12 ใครหนอฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้? ใครบ้างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนและอธิบายได้? เหตุใดดินแดนจึงถูกทำให้ย่อยยับและถูกทิ้งร้างเหมือนถิ่นกันดารที่ไม่มีใครผ่านไปมา?

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ก็เพราะพวกเขาละทิ้งบทบัญญัติของเรา ซึ่งเราตั้งไว้ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังเรา หรือทำตามบทบัญญัติของเรา

14 พวกเขากลับทำตามใจดื้อดึงของตน เขานมัสการพระบาอัลตามที่บรรพบุรุษสอน”

15 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “ดูเถิดเราจะทำให้ชนชาตินี้กินอาหารขมและดื่มน้ำซึ่งมีพิษ

16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามชนชาติต่างๆ ซึ่งพวกเขาเองหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จักมาก่อน เราจะถือดาบไล่ล่าพวกเขาจนกว่าเราจะได้ทำลายล้างพวกเขาให้สิ้น”

17 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“บัดนี้จงพิจารณาดู! จงตามนางร้องไห้มา

เรียกคนที่ชำนาญที่สุดมา

18 จงให้พวกนางรีบมาโดยเร็ว

มาร่ำไห้เพื่อพวกเรา

จนน้ำตาท่วมตาของเรา

และธารน้ำหลั่งรินจากนัยน์ตาของเรา

19 ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังจากศิโยนว่า

‘เราพินาศย่อยยับแล้ว!

เราอัปยศอดสูนัก!

เราต้องทิ้งดินแดนไป

เพราะบ้านเรือนของเราปรักหักพัง’ ”

20 บัดนี้ หญิงเอ๋ย จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

จงเปิดหูฟังพระดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์

จงสอนลูกสาวทั้งหลายของเจ้าให้ร่ำไห้

และจงสอนเพลงคร่ำครวญให้เพื่อนบ้านของตน

21 ความตายได้ปีนเข้ามาทางหน้าต่างของเรา

มันทะลวงป้อมต่างๆ เข้ามา

คร่าเอาเด็กๆ ไปจากท้องถนน

และคร่าคนหนุ่มๆ ไปจากลานเมือง

22 จงบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“ ‘ซากศพจะระเนระนาดเหมือนขยะอยู่ในทุ่งโล่ง

เหมือนข้าวที่ถูกตัดเก็บไว้ข้างหลังผู้เกี่ยว ไม่มีใครมาเก็บรวบรวม’ ”

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“คนฉลาด อย่าโอ้อวดสติปัญญาของตน

คนแข็งแรง อย่าโอ้อวดพละกำลังของตน

คนรวยก็อย่าโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตน

24 แต่ให้ผู้ที่อวดจงอวดเรื่องนี้

คือที่เขามีความเข้าใจและรู้จักเรา

รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ผู้ผดุงความเมตตากรุณา

ความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลกนี้

เพราะเราปีติยินดีในสิ่งเหล่านี้”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษคนทั้งปวงที่เข้าสุหนัตแต่เพียงทางกาย

26 คือชาวอียิปต์ ชาวยูดาห์ ชาวเอโดม ชาวอัมโมน ชาวโมอับ และคนทั้งปวงที่อาศัยในถิ่นกันดารในที่ห่างไกลเพราะชนชาติทั้งหมดนี้ยังไม่ได้เข้าสุหนัตอย่างแท้จริง และแม้แต่พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลก็ไม่ได้เข้าสุหนัตทางใจ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/9-573ee9e0cf6d48555a6904ea580f4bbd.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 10

พระเจ้ากับรูปเคารพ

1 พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลเอ๋ย จงฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเจ้า

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า

“อย่าเอาอย่างวิถีต่างๆ ของประชาชาติทั้งหลาย

และอย่าตกใจกลัวเนื่องด้วยหมายสำคัญต่างๆ ในท้องฟ้า

ดังที่ประชาชาติทั้งหลายหวาดกลัวอยู่นั้น

3 เพราะธรรมเนียมของชนชาติต่างๆ นั้นไร้ค่า

เขาโค่นต้นไม้ต้นหนึ่งจากป่า

ให้ช่างฝีมือใช้สิ่วแกะสลักเป็นรูปทรง

4 พวกเขาตกแต่งด้วยทองและเงิน

จากนั้นใช้ค้อนและตะปูตอกตรึงให้อยู่กับที่อย่างแน่นหนา

เพื่อมันจะไม่โอนเอน

5 เทวรูปเหล่านั้นเหมือนหุ่นไล่กาในสวนแตง

มันพูดไม่ได้

ต้องอาศัยคนยกไป

เพราะมันเดินไม่ได้

อย่าไปกลัวเทพเจ้าเหล่านั้น

เพราะมันทำอะไรไม่ได้

ไม่ว่าทำประโยชน์หรือทำร้าย”

6 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์

พระองค์ทรงยิ่งใหญ่

และพระนามของพระองค์เปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจ

7 ข้าแต่องค์กษัตริย์แห่งประชาชาติ

ใครเล่าจะไม่ยำเกรงพระองค์?

พระเกียรตินี้คู่ควรแด่พระองค์

ท่ามกลางนักปราชญ์ทั้งปวงของบรรดาประชาชาติ

และอาณาจักรทั้งปวงของพวกเขา

ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์

8 พวกเขาล้วนสิ้นคิดและโง่เขลา

พวกเขาถูกสอนโดยเทวรูปไม้อันไร้ค่า

9 เขานำเงินซึ่งเคาะแล้วมาจากเมืองทารชิช

และทองคำมาจากเมืองอุฟาส

แล้วผลงานของช่างฝีมือ ช่างทอง

ก็ได้สวมอาภรณ์สีน้ำเงินและสีม่วง

รูปเคารพเหล่านี้ล้วนแต่เป็นผลงานของ

ช่างที่ชำนาญ

10 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นองค์กษัตริย์ตลอดนิรันดร์กาล

เมื่อพระองค์ทรงพระพิโรธ โลกก็สะเทือนสะท้าน

ประชาชาติทั้งหลายไม่อาจทนต่อพระพิโรธของพระองค์ได้

11 “จงบอกพวกเขาว่า ‘เทพเจ้าเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะพินาศไปจากโลกและจากใต้ฟ้าสวรรค์’ ”

12 แต่พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยฤทธานุภาพ

ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระปรีชาญาณ

และทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจ

13 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ห้วงน้ำในฟ้าสวรรค์ก็ร้องคำราม

พระองค์ทรงให้เมฆลอยขึ้นจากสุดปลายแผ่นดินโลก

ทรงส่งฟ้าแลบให้มากับสายฝน

และทรงนำกระแสลมออกมาจากคลัง

14 มนุษย์ทั้งปวงก็สิ้นคิดและขาดความรู้

ช่างทองทุกคนก็อับอายขายหน้าเพราะรูปเคารพของตน

เทวรูปของเขาเป็นสิ่งจอมปลอม

พวกมันไม่มีลมหายใจ

15 มันเป็นของไร้ค่า เป็นสิ่งที่น่าเยาะเย้ย

เมื่อถึงเวลาพิพากษามันก็พินาศ

16 แต่พระองค์ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือยาโคบไม่เหมือนเทวรูปเหล่านี้

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง

รวมทั้งเผ่าพันธุ์อิสราเอลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

หายนะที่จะมาถึง

17 ประชาชนที่ถูกล้อมเมืองไว้

จงเก็บข้าวของเพื่อเดินทางออกจากดินแดนนั้นเถิด

18 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“บัดนี้เราจะเหวี่ยง

ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ออกไป

เราจะนำความทุกข์ลำเค็ญมายังพวกเขา

เพื่อพวกเขาจะรับรู้ถึงความโกรธของเรา”

19 วิบัติแก่ข้าพเจ้าเนื่องด้วยการบาดเจ็บนี้!

บาดแผลของข้าพเจ้าเยียวยาไม่ได้!

ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็บอกตัวเองว่า

“นี่เป็นความเจ็บป่วยของเราเอง และเราก็ต้องทน”

20 เต็นท์ของข้าพเจ้าถูกทำลายสิ้น

เชือกขึงทั้งหมดก็ขาดผึง

ลูกๆ ไปจากข้าพเจ้าหมด

ไม่เหลือใครอยู่ช่วยกางเต็นท์

หรือสร้างที่พักพิงให้ข้าพเจ้า

21 คนเลี้ยงแกะก็สิ้นคิด

และไม่ได้ทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้นเขาจึงไม่เจริญ

และฝูงแกะของเขาก็กระจัดกระจายไปหมด

22 ฟังเถิด! มีรายงานข่าวมาว่า

เสียงอึกทึกกึกก้องดังมาจากแผ่นดินทางเหนือ

เขาจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ถูกทิ้งร้าง

เป็นถิ่นของหมาใน

คำอธิษฐานของเยเรมีย์

23 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ตระหนักว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง

ไม่ได้เป็นผู้บงการย่างก้าวของตน

24 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงตีสอนข้าพระองค์เถิด แต่ขอทรงโปรดให้ความเป็นธรรม

อย่าทรงทำด้วยพระพิโรธ

มิฉะนั้นข้าพระองค์จะพินาศไป

25 ขอทรงระบายพระพิโรธลงเหนือบรรดาประชาชาติ

ที่ไม่ยอมรับพระองค์

และเหนือชนชาติทั้งหลายที่ไม่ยอมออกพระนามของพระองค์

เพราะพวกเขากลืนกินยาโคบ

พวกเขากลืนกินจนหมดสิ้น

และทำลายล้างถิ่นฐานของยาโคบย่อยยับไปหมด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/10-0cae09444bab2e9e830dedc6bc9bd9f7.mp3?version_id=179—