Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 4

คนโคฮาท

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า

2 “จงทำบัญชีรายชื่อคนโคฮาทซึ่งเป็นเชื้อสายหนึ่งของคนเลวีตามตระกูลและตามครอบครัวของเขา

3 จงนับผู้ชายทุกคนซึ่งมีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปีซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

4 “ภารกิจของคนโคฮาทในเต็นท์นัดพบคือ ดูแลสิ่งบริสุทธิ์ที่สุด

5 เมื่อโยกย้ายค่ายพัก อาโรนกับบุตรชายจะเข้าไปปลดม่านกั้นอภิสุทธิสถานลงมาคลุมหีบพันธสัญญา

6 จากนั้นเอาหนังพะยูนคลุมทับม่าน ใช้ผ้าสีน้ำเงินคลุมทับหนังพะยูนอีกชั้นหนึ่ง แล้วสอดคานหามหีบพันธสัญญา

7 “ให้พวกเขาคลี่ผ้าสีน้ำเงินคลุมโต๊ะเครื่องถวายเบื้องพระพักตร์ วางจาน ชาม เหยือก และขนมปังซึ่งต้องตั้งไว้เสมอบนโต๊ะนั้น

8 เอาผ้าสีแดงคลุมทับสิ่งเหล่านั้น แล้วใช้หนังพะยูนคลุมทับไว้ และสอดคานหามเข้าที่ห่วงของโต๊ะ

9 “จากนั้นเอาผ้าสีน้ำเงินคลุมคันประทีป ตะเกียง กรรไกรแต่งไส้ตะเกียง ถาด และภาชนะทั้งหมดสำหรับบรรจุน้ำมันมะกอกเพื่อใช้เติมตะเกียง

10 แล้วใช้หนังพะยูนห่อทับอีกรอบ นำทั้งห่อขึ้นไปวางบนแคร่หาม

11 “จากนั้นคลี่ผ้าสีน้ำเงินคลุมแท่นบูชาทองคำ คลุมด้วยหนังพะยูนอีกชั้น แล้วสอดคานลอดห่วงของแท่น

12 “พวกเขาต้องใช้ผ้าสีน้ำเงินห่อภาชนะเครื่องใช้ทั้งหมดที่ใช้ในสถานนมัสการ คลุมทับด้วยหนังพะยูน แล้วนำไปวางบนแคร่หาม

13 “ให้เขาเอาขี้เถ้าออกจากแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ และใช้ผ้าสีม่วงคลุมแท่น

14 แล้วเอาภาชนะเครื่องใช้ประจำแท่นทั้งหมดได้แก่ ถาดรองไฟ ขอเกี่ยว ทัพพี อ่างประพรม และภาชนะอื่นๆ วางบนผ้านั้น แล้วคลุมด้วยหนังพะยูน เอาคานสอดประจำที่

15 “เมื่ออาโรนและบรรดาบุตรชายคลุมเครื่องตกแต่งอันบริสุทธิ์และเครื่องใช้บริสุทธิ์เหล่านี้ทั้งหมดแล้ว และเมื่อทั้งค่ายพร้อมจะเคลื่อนย้าย คนโคฮาทจะเข้ามาหามสิ่งเหล่านี้ แต่พวกเขาจะแตะต้องสิ่งบริสุทธิ์ไม่ได้ มิฉะนั้นจะต้องตาย งานของคนโคฮาทคือการแบกหามสิ่งต่างๆ ในเต็นท์นัดพบ

16 “ปุโรหิตเอเลอาซาร์บุตรชายของอาโรนจะรับผิดชอบเรื่องน้ำมันเติมประทีป เครื่องหอม ธัญบูชาประจำวัน และน้ำมันเจิม เขามีหน้าที่ตรวจตราดูแลพลับพลาและของทั้งหมดในพลับพลา รวมทั้งเครื่องใช้และเครื่องตกแต่งอันบริสุทธิ์ของพลับพลา”

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า

18 “อย่าปล่อยให้บรรดาคนตระกูลโคฮาทถูกตัดขาดจากเผ่าเลวี

19 เพื่อป้องกันไม่ให้เขาต้องตายเมื่อเข้ามาใกล้สิ่งบริสุทธิ์ เจ้าจงทำดังนี้คือ อาโรนกับบรรดาบุตรชายจะเข้ามาในสถานนมัสการ คอยกำกับว่าให้แต่ละคนทำอะไรและต้องแบกหามสิ่งใดบ้าง

20 แต่คนโคฮาทจะต้องไม่เข้าไปมองสิ่งบริสุทธิ์แม้ชั่วอึดใจ มิฉะนั้นจะต้องตาย”

คนเกอร์โชน

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

22 “จงขึ้นทะเบียนคนเกอร์โชนตามครอบครัวและตามตระกูลของเขา

23 จงนับชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบถึงห้าสิบปี ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

24 “นี่คือหน้าที่ของคนตระกูลเกอร์โชนในการทำงานและขนสัมภาระ

25 พวกเขาจะต้องขนม่านพลับพลา เต็นท์นัดพบ เครื่องคลุมต่างๆ และเครื่องคลุมชั้นนอกที่ทำจากหนังพะยูน ม่านตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

26 ม่านกั้นลานพลับพลาและแท่นบูชา ม่านสำหรับทางเข้า เชือก และอุปกรณ์อื่นๆ คนเกอร์โชนจะต้องรับผิดชอบงานที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

27 อาโรนและบุตรชายต้องกำกับดูแล และมอบหมายงานทุกอย่างไม่ว่าในงานแบกหามหรือ งานอื่นๆ ให้คนเกอร์โชน

28 นี่คืองานของตระกูลเกอร์โชนที่เต็นท์นัดพบ โดยมีปุโรหิตอิธามาร์บุตรชายของอาโรนคอยกำกับดูแล

คนเมรารี

29 “จงนับคนเมรารีตามตระกูลและตามครอบครัวของเขา

30 จงนับชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

31 นี่เป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทำที่เต็นท์นัดพบคือ ขนไม้ฝาของพลับพลา คานขวาง เสา ฐานรองรับ

32 เสาของลานพลับพลาพร้อมทั้งฐานรองรับ หลักหมุด เชือก เครื่องใช้ และเครื่องประกอบอื่นๆ ทั้งหมด จงมอบหน้าที่แบกหามอย่างเจาะจงให้แต่ละคน

33 นี่คืองานรับใช้ของตระกูลเมรารีที่เต็นท์นัดพบ โดยมีปุโรหิตอิธามาร์บุตรชายของอาโรนคอยกำกับดูแล”

การนับจำนวนคนในตระกูลเลวี

34 โมเสส อาโรนและบรรดาผู้นำชุมชนได้นับคนโคฮาทตามตระกูลและตามครอบครัวต่างๆ ของเขา

35 ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

36 นับตามตระกูลได้ 2,750 คน

37 นี่คือยอดรวมจำนวนตระกูลโคฮาทซึ่งรับใช้ในเต็นท์นัดพบ โมเสสกับอาโรนได้นับจำนวนพวกเขาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาผ่านทางโมเสส

38 เขาได้นับคนเกอร์โชนตามตระกูลและตามครอบครัวของเขา

39 ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปีซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

40 นับตามตระกูลและตามครอบครัวได้ 2,630 คน

41 นี่คือยอดรวมจำนวนคนตระกูลเกอร์โชนซึ่งรับใช้ที่เต็นท์นัดพบ โมเสสกับอาโรนนับจำนวนพวกเขาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

42 เขาได้นับคนเมรารีตามตระกูลและตามครอบครัวของเขา

43 ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปี ซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้ในเต็นท์นัดพบ

44 นับตามตระกูลของพวกเขาได้ 3,200 คน

45 นี่คือยอดรวมจำนวนคนตระกูลเมรารี โมเสสกับอาโรนนับจำนวนพวกเขาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาผ่านทางโมเสส

46 ดังนั้นโมเสส อาโรน และบรรดาผู้นำของอิสราเอลได้นับจำนวนคนเลวีทั้งหมดตามตระกูลและตามครอบครัวของพวกเขา

47 ชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่สามสิบปีถึงห้าสิบปีซึ่งมีคุณสมบัติที่จะมารับใช้และขนย้ายเต็นท์นัดพบ

48 รวมทั้งสิ้น 8,580 คน

49 แต่ละคนได้รับมอบหมายหน้าที่และรายการสิ่งที่ต้องขนย้ายตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางโมเสส

ดังนั้นพวกเขาจึงนับจำนวนคนเลวีตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้บัญชาโมเสสไว้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/4-690008a1a1ba7bbbbfa03f0b75929838.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 5

ความบริสุทธิ์ของค่าย

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงสั่งประชากรอิสราเอลให้ส่งคนที่เป็นโรคผิวหนังผู้มีสิ่งที่หลั่งออกหรือผู้ที่เป็นมลทินตามระเบียบพิธีเพราะไปแตะต้องซากศพ ออกไปจากค่าย

3 ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย จงส่งคนเหล่านี้ออกไปนอกค่าย เพื่อไม่ให้เป็นมลทินแก่ค่ายพักซึ่งเราอยู่ท่ามกลางพวกเขา”

4 ชาวอิสราเอลก็ปฏิบัติตามโดยส่งคนเหล่านั้นออกไปนอกค่ายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

การชดใช้เมื่อทำผิด

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

6 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อหญิงหรือชายใดทำผิดต่อคนอื่นอย่างหนึ่งอย่างใด ผู้นั้นย่อมมีความผิดเพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

7 เขาจะต้องสารภาพบาปและชดใช้เต็มจำนวนตามความเสียหาย และชดใช้เพิ่มอีกหนึ่งในห้าให้แก่ผู้เสียหาย

8 แต่หากผู้เสียหายไม่มีญาติสนิทที่จะรับแทน ค่าชดใช้นั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าและต้องนำไปมอบแก่ปุโรหิตพร้อมด้วยแกะตัวผู้สำหรับขออภัยโทษบาปให้เขา

9 ของถวายอันบริสุทธิ์ทั้งหมดที่ประชากรอิสราเอลนำมามอบแก่ปุโรหิตถือเป็นของปุโรหิต

10 ของถวายอันบริสุทธิ์ของแต่ละคนเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเอง แต่สิ่งที่ยกให้ปุโรหิตจะเป็นของปุโรหิต’ ”

ทดสอบภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์

11 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

12 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘ภรรยาของชายคนใดคบชู้และไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา

13 โดยไปนอนกับชายอื่นและยังเป็นความลับ ไม่เป็นที่ประจักษ์ต่อสามี (เพราะว่าไม่มีพยานหลักฐานและจับไม่ได้คาหนังคาเขา)

14 และถ้าสามีรู้สึกหึงหวง และสงสัยในตัวภรรยาของตน ไม่ว่าภรรยาจะทำผิดหรือไม่ก็ตาม

15 เขาจะต้องพาภรรยาและเครื่องบูชาของเธอคือแป้งบาร์เลย์ประมาณ 2 ลิตรมาหาปุโรหิตโดยไม่ต้องเคล้าน้ำมันหรือโรยเครื่องหอม เพราะเป็นธัญบูชาเรื่องความหึงหวง และเป็นเครื่องบูชาที่เตือนให้ระลึกถึงความผิด

16 “ ‘ปุโรหิตจะพานางมายืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

17 จากนั้นเขาจะเอาน้ำบริสุทธิ์บรรจุในภาชนะดินเผา ผสมฝุ่นที่พื้นพลับพลาลงในน้ำนั้น

18 หลังจากปุโรหิตพานางมายืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาจะปล่อยผมของนาง และให้นางถือเครื่องบูชาที่เตือนให้ระลึกถึงความผิดและธัญบูชาเรื่องความหึงหวง ในขณะที่ปุโรหิตถือน้ำขมแห่งคำสาป

19 ปุโรหิตจะให้นางสาบานตนแล้วพูดกับนางว่า “หากไม่มีชายอื่นหลับนอนกับเจ้า และเจ้าไม่ได้หลงผิด และไม่เป็นมลทินขณะอยู่กินกับสามีของเจ้า ขอให้น้ำขมที่นำคำสาปแช่งมานี้ไม่ทำอันตรายเจ้า

20 แต่หากเจ้าหลงผิดขณะที่ยังอยู่กินกับสามี และเจ้าได้ทำตัวให้เป็นมลทินโดยหลับนอนกับชายอื่นที่ไม่ใช่สามี”

21 จากนั้นปุโรหิตจะให้นางสาบานว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ประชากรของเจ้าสาปแช่งและประณามเจ้าเมื่อพระองค์ทำให้เจ้าแท้งลูกและเป็นหมัน

22 ขอให้น้ำนี้นำคำสาปแช่งเข้าสู่ร่างกายของเจ้า ทำให้เจ้าแท้งลูกและเป็นหมัน”

“ ‘แล้วนางต้องกล่าวว่า “อาเมน ขอให้เป็นไปตามนั้นเถิด”

23 “ ‘ปุโรหิตจะเขียนคำสาปแช่งเหล่านี้ลงบนหนังสือม้วน แล้วนำมาล้างออกในน้ำขมนี้

24 แล้วปุโรหิตจะให้นางดื่มน้ำขมแห่งคำสาปแช่ง น้ำนี้จะเข้าไปในตัวนางและทำให้นางทุกข์ทรมาน

25 ปุโรหิตจะรับธัญบูชาเรื่องความหึงหวงจากมือของนาง นำมายื่นถวายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วนำมาที่แท่นบูชา

26 ต่อจากนั้นปุโรหิตจะกอบธัญบูชาขึ้นมากำมือหนึ่ง เป็นเครื่องบูชาส่วนอนุสรณ์ เผาบนแท่นบูชา แล้วให้นางดื่มน้ำนี้

27 หากนางได้ทำตัวให้เป็นมลทินและไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี เมื่อปุโรหิตให้นางดื่มน้ำที่นำการสาปแช่งมา น้ำจะเข้าไปในตัวของนางและทำให้นางทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทำให้นางเป็นหมันหรือแท้งลูกไป นางจะเป็นที่สาปแช่งในหมู่ประชากรของนาง

28 แต่หากนางไม่เป็นมลทินและบริสุทธิ์ ไม่ได้คบชู้ นางจะพ้นผิดและจะสามารถมีลูกได้

29 “ ‘นี่คือบทบัญญัติเรื่องความหึงหวง เมื่อภรรยาได้หลงผิดและทำตัวให้เป็นมลทินโดยนอกใจหรือมีชู้

30 หรือเมื่อสามีรู้สึกหึงหวงและสงสัยในตัวภรรยา ปุโรหิตจะนำนางมายืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและดำเนินการตามที่กล่าวมาแล้ว

31 สามีของนางจะไม่ต้องรับผิดใดๆ แต่นางต้องรับผลเพราะบาปของนาง’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/5-59ac0250696d4c590c6b83ddfe236991.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 6

นาศีร์

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘ชายหรือหญิงคนใดถวายสัตย์ปฏิญาณเป็นพิเศษว่าจะเป็นนาศีร์อุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

3 เขาต้องงดเครื่องดื่มมึนเมาหรือเหล้าองุ่น น้ำองุ่น ผลองุ่นสดหรือลูกเกด และน้ำส้มสายชูที่ได้จากเหล้าองุ่น

4 ตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนาศีร์นั้น เขาจะไม่กินสิ่งใดที่มาจากต้นองุ่น แม้แต่เมล็ดหรือเปลือกองุ่น

5 “ ‘ตลอดช่วงนั้นเขาจะไม่ตัดผม เขาต้องรักษาตนให้บริสุทธิ์ เขาจึงต้องไว้ผมยาว

6 ตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนาศีร์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเขาจะต้องไม่ย่างกรายเข้าใกล้ซากศพ

7 แม้ว่าจะเป็นศพของบิดามารดาหรือพี่น้องชายหญิง เขาจะต้องไม่ทำตัวให้เป็นมลทินตามระเบียบพิธี เพราะสัญลักษณ์แห่งการเป็นนาศีร์อยู่บนศีรษะของเขา

8 ตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนาศีร์ เขาต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์แยกไว้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

9 “ ‘หากมีคนมาตายอยู่ข้างตัวเขาโดยปัจจุบันทันด่วน ทำให้ผมที่เขาถวายปฏิญาณไว้เป็นมลทิน เขาต้องโกนศีรษะในวันชำระตัวคือวันที่เจ็ด

10 ในวันที่แปดเขาต้องนำนกเขาหรือนกพิราบรุ่นสองตัวมามอบแก่ปุโรหิตตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

11 ปุโรหิตจะถวายนกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาเพื่อลบบาปสำหรับผู้นั้น เพราะเขาได้ทำบาปโดยการอยู่ใกล้ซากศพ ในวันเดียวกันนั้นเขาต้องชำระศีรษะถวายอีกครั้ง

12 เขาต้องอุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนาศีร์ และนำแกะผู้อายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาลบความผิด วันอื่นๆ ก่อนหน้านั้นไม่นับ เพราะเขาได้เป็นมลทินตลอดระยะเวลาที่เขาเป็นนาศีร์

13 “ ‘เมื่อครบกำหนดการเป็นนาศีร์ตามกฎของนาศีร์แล้ว เขาจะต้องมาที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ

14 และถวายสัตว์ที่ไม่มีตำหนิแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าคือ ถวายลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวเป็นเครื่องเผาบูชา ลูกแกะตัวเมียอายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และแกะผู้อีกหนึ่งตัวเป็นเครื่องสันติบูชา

15 พร้อมกับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา ขนมปังไม่ใส่เชื้อหนึ่งกระจาดอันได้แก่ ขนมปังที่ทำจากแป้งละเอียดเคล้าน้ำมัน และขนมปังแผ่นบางทาด้วยน้ำมัน

16 “ ‘ปุโรหิตจะยื่นถวายของเหล่านี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วถวายเครื่องบูชาไถ่บาปและเครื่องเผาบูชา

17 จากนั้นเขาจะถวายขนมปังไม่ใส่เชื้อกระจาดนั้น และแกะตัวผู้เป็นเครื่องสันติบูชาพร้อมด้วยธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

18 “ ‘แล้วนาศีร์ต้องโกนผมออกตามที่ปฏิญาณอุทิศตนนั้นที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ และนำผมนั้นไปใส่ในไฟที่เผาเครื่องสันติบูชาอยู่

19 “ ‘เมื่อนาศีร์นั้นโกนผมเสร็จแล้ว ปุโรหิตจะนำโคนขาหน้าของแกะผู้ที่ต้มแล้ว ขนมปังไม่ใส่เชื้อ และขนมปังแผ่นบางไม่ใส่เชื้อจากกระจาดนั้นใส่ไว้ในมือของเขา

20 แล้วปุโรหิตจะยื่นถวายสิ่งเหล่านั้นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย ทั้งหมดนั้นเป็นของบริสุทธิ์ เป็นส่วนของปุโรหิตพร้อมกับเนื้ออกและโคนขาซึ่งยื่นถวายแด่พระองค์ หลังจากนั้นนาศีร์ผู้นั้นจึงดื่มเหล้าองุ่นได้

21 “ ‘ทั้งหมดนี้คือบทบัญญัติของนาศีร์ ผู้ที่ถวายปฏิญาณแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามการอุทิศตัวของเขา นอกจากนี้เขาจะถวายสิ่งอื่นอีกก็ได้ แต่เขาจะต้องทำตามคำปฏิญาณ ตามกฎของนาศีร์ให้สำเร็จ’ ”

พรจากปุโรหิต

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

23 “จงบอกอาโรนกับบุตรชายว่า ‘นี่เป็นวิธีที่เจ้าจะอวยพรชนอิสราเอล จงกล่าวแก่พวกเขาดังนี้

24 “ ‘ “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอำนวยพร

และทรงพิทักษ์รักษาท่าน

25 ขอให้พระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือท่าน

ขอพระองค์ทรงเมตตากรุณาท่าน

26 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปรานท่าน

และประทานสันติสุขแก่ท่าน” ’

27 “ดังนั้นอาโรนกับบุตรชายจะประทับนามของเราเหนืออิสราเอล และเราจะอวยพรพวกเขา”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/6-aa2a79edfb3e0692c46ccdf412d2d28a.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 7

ของถวายเมื่อถวายพลับพลา

1 เมื่อโมเสสสร้างพลับพลาเสร็จแล้ว เขาเจิมและชำระพลับพลากับส่วนประกอบทั้งหมด รวมทั้งแท่นบูชาและภาชนะเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับแท่นบูชา

2 บรรดาผู้นำของอิสราเอลและหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ได้ถวายเครื่องบูชา พวกเขาเป็นหัวหน้าเผ่าต่างๆ ซึ่งรับผิดชอบผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้

3 พวกเขานำเกวียนหกเล่มและวัวสิบสองตัวมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นำสองคนถวายเกวียนเล่มหนึ่งกับวัวคนละตัวตรงหน้าพลับพลา

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

5 “จงรับของถวายจากเขาเถิด และใช้วัวกับเกวียนเหล่านั้นสำหรับงานที่เต็นท์นัดพบ จงมอบของเหล่านั้นให้คนเลวีไว้ใช้ในงานของเขาแต่ละคน”

6 โมเสสจึงนำเกวียนและวัวไปมอบให้คนเลวี

7 เขามอบเกวียนสองเล่มและวัวสี่ตัวให้คนเกอร์โชนเพื่อใช้สอยในงานของเขา

8 มอบเกวียนสี่เล่มพร้อมวัวแปดตัวแก่คนเมรารีเพื่อใช้ในงานของเขา คนเหล่านี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของปุโรหิตอิธามาร์บุตรของอาโรน

9 แต่โมเสสไม่ได้มอบสิ่งใดให้คนโคฮาท เพราะพวกเขาจะต้องหามเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ตามที่พวกเขารับผิดชอบ

10 ในวันที่เจิมแท่นบูชา บรรดาผู้นำได้นำเครื่องบูชามาถวายที่แท่นบูชา

11 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ให้ผู้นำแต่ละคนนำของถวายมาคนละวันเพื่อมอบถวายแท่นบูชา”

12 ในวันแรกนาห์โชนบุตรอัมมีนาดับแห่งเผ่ายูดาห์นำของมาถวาย ได้แก่

13 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัมอ่างประพรม ทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัมทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

14 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

15 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

16 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

17 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัว สำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากนาห์โชนบุตรอัมมีนาดับ

18 วันที่สอง เนธันเอลบุตรศุอาร์ผู้นำเผ่าอิสสาคาร์นำของมาถวาย ได้แก่

19 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

20 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

21 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัว สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

22 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

23 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเนธันเอลบุตรศุอาร์

24 วันที่สาม เอลีอับบุตรเฮโลนผู้นำเผ่าเศบูลุนนำของมาถวาย ได้แก่

25 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

26 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

27 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัว สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

28 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

29 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเอลีอับบุตรเฮโลน

30 วันที่สี่ เอลีซูร์บุตรเชเดเออร์ผู้นำเผ่ารูเบนนำของมาถวาย ได้แก่

31 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

32 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

33 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

34 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

35 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเอลีซูร์บุตรเชเดเออร์

36 วันที่ห้า เชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัยผู้นำเผ่าสิเมโอนนำของมาถวาย ได้แก่

37 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

38 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

39 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัว สำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

40 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

41 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย

42 วันที่หก เอลียาสาฟบุตรเดอูเอลผู้นำเผ่ากาดนำของมาถวาย ได้แก่

43 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

44 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

45 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

46 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

47 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเอลียาสาฟบุตรเดอูเอล

48 วันที่เจ็ด เอลีชามาบุตรอัมมีฮูดผู้นำเผ่าเอฟราอิมนำของมาถวาย ได้แก่

49 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

50 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

51 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

52 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

53 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากเอลีชามาบุตรอัมมีฮูด

54 วันที่แปด กามาลิเอลบุตรเปดาซูร์ผู้นำเผ่ามนัสเสห์นำของมาถวาย ได้แก่

55 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

56 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

57 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

58 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

59 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์

60 วันที่เก้า อาบีดันบุตรกิเดโอนีผู้นำเผ่าเบนยามินนำของมาถวาย ได้แก่

61 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

62 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

63 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

64 แพะตัวผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

65 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากอาบีดันบุตรกิเดโอนี

66 วันที่สิบ อาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยผู้นำเผ่าดานนำของมาถวาย ได้แก่

67 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

68 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

69 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

70 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

71 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากอาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัย

72 วันที่สิบเอ็ด ปากีเอลบุตรโอครานผู้นำเผ่าอาเชอร์นำของมาถวาย ได้แก่

73 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

74 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

75 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

76 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

77 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากปากีเอลบุตรโอคราน

78 วันที่สิบสอง อาหิราบุตรเอนันผู้นำเผ่านัฟทาลีนำของมาถวาย ได้แก่

79 จานเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินหนึ่งใบหนักประมาณ 800 กรัม ทั้งจานและชามใส่แป้งละเอียดเคล้าน้ำมันสำหรับเป็นธัญบูชา

80 จานทองคำหนึ่งใบหนักประมาณ 110 กรัมบรรจุเครื่องหอม

81 วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบหนึ่งตัวสำหรับเป็นเครื่องเผาบูชา

82 แพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

83 วัวผู้สองตัว แกะผู้ห้าตัว แพะผู้ห้าตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบห้าตัวสำหรับเป็นเครื่องสันติบูชา นี่คือของถวายจากอาหิราบุตรเอนัน

84 สิ่งเหล่านี้คือของถวายจากบรรดาผู้นำอิสราเอล เพื่อการถวายแท่นบูชาเมื่อแท่นบูชาได้รับการเจิมคือ จานเงินสิบสองใบ อ่างประพรมทำจากเงินสิบสองใบ และจานทองคำสิบสองใบ

85 จานเงินแต่ละใบหนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม อ่างประพรมทำจากเงินแต่ละใบหนักประมาณ 800 กรัม รวมแล้วหนักประมาณ 28 กิโลกรัม

86 จานทองคำบรรจุเครื่องหอมสิบสองใบแต่ละใบหนักประมาณ 110 กรัม รวมแล้วหนักประมาณ 1.4 กิโลกรัม

87 สัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องเผาบูชาทั้งหมดมีวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สิบสองตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสองตัวพร้อมด้วยเครื่องธัญบูชา มีแพะผู้สิบสองตัวใช้สำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

88 สัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องสันติบูชาทั้งหมดมีวัวผู้ 24 ตัว แกะผู้ 60 ตัว แพะผู้ 60 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบ 60 ตัว ทั้งหมดนี้คือของถวายเพื่อการถวายแท่นบูชาหลังจากแท่นบูชาได้รับการเจิม

89 เมื่อโมเสสเข้าไปในเต็นท์นัดพบเพื่อทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าเขาได้ยินพระสุรเสียงตรัสกับเขาจากพระที่นั่งกรุณาเหนือหีบพันธสัญญาระหว่างเครูบทั้งสอง พระองค์ได้ตรัสกับเขาจากที่นั่น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/7-1ee28e2ca635ef1e78cd9aacb77224f7.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 8

อาโรนตั้งประทีป

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงบอกอาโรนว่า ‘เมื่อท่านจุดตะเกียงทั้งเจ็ดดวง ตะเกียงต้องให้แสงสว่างบริเวณด้านหน้าของคันประทีป’ ”

3 อาโรนก็ปฏิบัติตาม ตั้งตะเกียงบนคันประทีปส่องไปข้างหน้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

4 คันประทีปนี้เคาะแต่งขึ้นจากทองคำตั้งแต่ฐานจนถึงยอด ตามแบบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงแก่โมเสส

แยกคนเลวีไว้เฉพาะ

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

6 “จงแยกคนเลวีจากเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอล และชำระพวกเขาตามระเบียบพิธี

7 จงทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อที่จะชำระพวกเขาคือ พรมน้ำแห่งการชำระเหนือพวกเขา แล้วให้โกนขนทั้งตัวและซักเสื้อผ้า

8 ให้พวกเขานำวัวหนุ่มหนึ่งตัว พร้อมด้วยธัญบูชาคือแป้งละเอียดเคล้าน้ำมัน และให้นำวัวหนุ่มอีกตัวหนึ่งมาสำหรับเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

9 จงพาคนเลวีมาที่หน้าเต็นท์นัดพบต่อหน้าปวงประชากรอิสราเอล

10 จงนำคนเลวีมาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและให้ชาวอิสราเอลวางมือบนพวกเขา

11 อาโรนจะต้องเบิกตัวคนเลวีเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะเป็นเครื่องบูชายื่นถวายจากชนอิสราเอล เพื่อพวกเขาจะพร้อมปฏิบัติงานรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า

12 “แล้วคนเลวีจะวางมือบนหัววัวทั้งสองตัว และถวายวัวตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าอีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องเผาบูชาเพื่อลบบาปให้คนเลวี

13 จากนั้นให้คนเลวีมายืนต่อหน้าอาโรนและบรรดาบุตรชาย และมอบถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

14 เจ้าต้องแยกคนเลวีออกจากประชากรอิสราเอลทั้งหมดด้วยวิธีนี้ และคนเลวีจะเป็นของเรา

15 “หลังจากที่เจ้าได้ชำระคนเลวีให้บริสุทธิ์ และถวายตัวพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายแล้ว พวกเขาจะมาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ

16 พวกเขาคือชนอิสราเอลที่ยกให้เป็นสิทธิ์ขาดของเรา เรารับพวกเขาเป็นตัวแทนบุตรชายหัวปีซึ่งเป็นบุตรชายคนแรกจากครรภ์ของหญิงอิสราเอลทุกคน

17 เพราะลูกหัวปีของอิสราเอลทั้งหมดไม่ว่าคนหรือสัตว์ต้องเป็นของเรา ในคืนที่เราประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นของอียิปต์ เราได้แยกพวกเขาไว้เป็นของเราแล้ว

18 เรารับคนเลวีแทนบุตรชายหัวปีทั้งปวงของอิสราเอล

19 และเราแยกคนเลวีออกจากชนอิสราเอลทั้งหมดและยกให้อาโรนกับบรรดาบุตรชายของเขา คนเลวีจะปฏิบัติหน้าที่ที่เต็นท์นัดพบแทนปวงชนอิสราเอล และทำการลบบาปของพวกเขา เพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติใดๆ แก่ชนอิสราเอลเมื่อเข้ามาใกล้สถานนมัสการ”

20 โมเสส อาโรน และชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจึงถวายคนเลวีตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้

21 คนเลวีได้ชำระตนและซักเสื้อผ้า แล้วอาโรนถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและลบบาปให้พวกเขาเพื่อชำระให้บริสุทธิ์

22 ตั้งแต่นั้นพวกเขามาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบภายใต้การดูแลของอาโรนกับบุตรชายของเขา พวกเขาปฏิบัติต่อคนเลวีตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

24 “ให้ผู้ชายจากเผ่าเลวีที่มีอายุตั้งแต่ยี่สิบห้าปีขึ้นไปมาปฏิบัติงานที่เต็นท์นัดพบ

25 แต่เมื่ออายุครบห้าสิบปีก็ให้พ้นจากหน้าที่ ไม่ต้องทำงานประจำอีก

26 พวกเขาอาจจะช่วยงานพี่น้องที่เต็นท์นัดพบ แต่ไม่ต้องลงมือทำเอง เจ้าจงมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบแก่คนเลวีตามนี้เถิด”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/8-357674ddbf5f4d14493673a4368d95ef.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 9

พิธีปัสกา

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในถิ่นกันดารซีนายในเดือนที่หนึ่งของปีที่สองหลังจากพวกเขาออกจากอียิปต์ว่า

2 “ให้ประชากรอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกาตามเวลาที่กำหนดไว้

3 ให้ฉลองพิธีนี้ตามเวลาที่กำหนดคือ เริ่มตั้งแต่พลบค่ำของวันที่สิบสี่เดือนที่หนึ่ง จงปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ของเราเกี่ยวกับพิธีนี้ทุกประการ”

4 ดังนั้นโมเสสจึงประกาศให้ชนอิสราเอลฉลองเทศกาลปัสกา

5 พวกเขาก็ฉลองในถิ่นกันดารซีนายตั้งแต่พลบค่ำของวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ทำทุกอย่างตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสไว้

6 แต่มีบางคนไม่สามารถฉลองปัสกาในวันนั้นเพราะเป็นมลทินตามระเบียบพิธีในเรื่องศพ ดังนั้นพวกเขาจึงมาหาโมเสสกับอาโรนในวันเดียวกันนั้น

7 และกล่าวกับโมเสสว่า “พวกข้าพเจ้าเป็นมลทินเนื่องจากศพ เหตุใดจึงถูกห้ามไม่ให้ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับพี่น้องอิสราเอลอื่นๆ ตามเวลาที่กำหนด?”

8 โมเสสตอบพวกเขาว่า “จงคอยอยู่ก่อน ดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสสั่งว่าอย่างไรเกี่ยวกับพวกท่าน”

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

10 “จงแจ้งชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อใครในพวกท่านหรือวงศ์วานของท่านเป็นมลทินเพราะศพ หรืออยู่ระหว่างการเดินทางก็ยังฉลองปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้

11 แต่ต้องเป็นเดือนถัดไป คือเริ่มจากตอนพลบค่ำของวันที่สิบสี่ของเดือนที่สอง พวกเขาต้องกินลูกแกะพร้อมกับขนมปังไม่ใส่เชื้อและผักขม

12 อย่าเหลือสิ่งใดค้างไว้จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น และอย่าหักกระดูกแกะแม้สักซี่ เมื่อพวกเขาฉลองปัสกานี้ พวกเขาต้องรักษากฎระเบียบของพิธีนี้ทุกประการ

13 แต่หากผู้ใดไม่ได้เป็นมลทินตามระเบียบพิธีและไม่ได้อยู่ระหว่างการเดินทาง แต่ไม่ฉลองเทศกาลปัสกา จะต้องถูกตัดออกจากหมู่ประชากรของเขา โทษฐานบิดพลิ้วไม่ถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตามเวลาที่กำหนด ผู้นั้นจะต้องรับผลจากบาปของตน

14 “ ‘คนต่างด้าวซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเจ้าที่ต้องการร่วมฉลองปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบเดียวกัน เป็นกฎเกณฑ์สำหรับทั้งคนต่างด้าวและคนอิสราเอลโดยกำเนิด’ ”

เมฆเหนือพลับพลา

15 วันที่พลับพลาซึ่งเป็นเต็นท์แห่งพันธสัญญาถูกตั้งขึ้น มีเมฆปกคลุมเหนือพลับพลาตั้งแต่เย็นจนถึงเช้า แลดูเหมือนไฟ

16 เมฆปกคลุมพลับพลาในเวลากลางวัน และเมฆแลดูเหมือนไฟในเวลากลางคืน จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

17 เมื่อใดก็ตามที่เมฆซึ่งอยู่เหนือเต็นท์นัดพบลอยขึ้น ประชากรอิสราเอลก็ออกเดินทาง ที่ใดก็ตามซึ่งเมฆมาหยุดอยู่ ชนอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น

18 ประชากรอิสราเอลออกเดินทางและตั้งค่ายพักตามพระดำรัสสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าตราบใดที่เมฆยังคงอยู่เหนือพลับพลา เขาก็ตั้งค่ายพักแรมอยู่

19 เมื่อเมฆอยู่เหนือพลับพลาเป็นเวลานาน ชนอิสราเอลก็ทำตามระเบียบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงวางไว้ และไม่ได้ออกเดินทาง

20 บางครั้งเมฆก็อยู่เหนือพลับพลาเพียงไม่กี่วัน พวกเขาจะตั้งค่ายพักอยู่หรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

21 บางครั้งเมฆก็อยู่เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อเมฆลอยขึ้นในเวลาเช้า พวกเขาก็ออกเดินทาง เมื่อใดก็ตามที่เมฆลอยขึ้นไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน พวกเขาก็ออกเดินทาง

22 ไม่ว่าเมฆอยู่เหนือพลับพลาสองวัน หรือหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี ชนอิสราเอลจะคงอยู่ในค่ายพักไม่ออกเดินทาง แต่เมื่อเมฆลอยขึ้น พวกเขาก็ออกเดินทาง

23 ดังนี้แหละพวกเขาตั้งค่ายหรือออกเดินทางตามแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา พวกเขาเชื่อฟังและทำตามระเบียบขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้ผ่านทางโมเสส

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/9-ba4a1f6373072282d96d8b219177ccb5.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 10

แตรเงิน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงทำแตรเงินคู่หนึ่งสำหรับเป่าเรียกชุมนุมและเป็นสัญญาณให้เคลื่อนย้ายค่าย

3 เมื่อเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว ประชากรทั้งหมดจะมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้าตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

4 หากเป่าคันเดียว ให้เฉพาะผู้นำตระกูลต่างๆ ของอิสราเอลมาชุมนุมกันต่อหน้าเจ้า

5 เมื่อเป่าสัญญาณเสียงสั้นเพื่อจะออกเดินทาง ตระกูลที่ตั้งค่ายพักแรมด้านทิศตะวันออกของพลับพลาจะออกเดินทางก่อน

6 เมื่อเป่าสัญญาณเสียงสั้นครั้งที่สอง ตระกูลต่างๆ ด้านทิศใต้จะออกเดินทาง เสียงแตรนี้เป็นสัญญาณออกเดินทาง

7 เมื่อจะเรียกชุมนุมประชากรจงเป่าแตรทั้งสองด้วยเสียงยาว

8 “บรรดาปุโรหิตบุตรของอาโรนเป็นผู้เป่าแตร นี่ต้องเป็นข้อปฏิบัติถาวรสำหรับเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ

9 เมื่อเจ้าสู้รบกับศัตรูที่มาข่มเหงเจ้าในดินแดนของเจ้า จงเป่าแตรทั้งสอง แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจะทรงระลึกถึงเจ้า และช่วยเจ้าให้พ้นจากเหล่าศัตรู

10 จงเป่าแตรทั้งสองในเทศกาลรื่นเริงของเจ้าด้วย ในเทศกาลต่างๆ ตามเวลาที่กำหนดและวันต้นเดือน เพื่อฉลองเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชา เป็นอนุสรณ์ให้นึกถึงเจ้าต่อหน้าพระเจ้าของเจ้า เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”

อิสราเอลเคลื่อนย้ายค่ายจากภูเขาซีนาย

11 เมฆซึ่งอยู่เหนือพลับพลาแห่งพันธสัญญาลอยขึ้นในวันที่ยี่สิบเดือนที่สองของปีที่สอง

12 ชาวอิสราเอลจึงออกจากถิ่นกันดารซีนาย ติดตามเมฆจนเมฆนั้นมาหยุดอยู่ที่ถิ่นกันดารปาราน

13 พวกเขาออกเดินทางเป็นครั้งแรกตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาผ่านทางโมเสส

14 หมู่เหล่าของค่ายยูดาห์ออกเดินทางก่อนภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีนาห์โชนบุตรอัมมีนาดับเป็นผู้นำ

15 ถัดจากนั้นคือเผ่าอิสสาคาร์ นำโดยเนธันเอลบุตรศุอาร์

16 ถัดไปคือเผ่าเศบูลุน นำโดยเอลีอับบุตรเฮโลน

17 เมื่อรื้อพลับพลาลงแล้ว คนเกอร์โชนและคนเมรารีก็นำส่วนประกอบของพลับพลาขึ้นเกวียน แล้วติดตามเป็นกลุ่มต่อไป

18 จากนั้นคือหมู่เหล่าของค่ายรูเบน เคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีเอลีซูร์บุตรเชเดเออร์เป็นผู้นำ

19 ถัดไปคือเผ่าสิเมโอนนำโดยเชลูมิเอลบุตรศูริชัดดัย

20 แล้วถึงเผ่ากาดนำโดยเอลียาสาฟบุตรเดอูเอล

21 จากนั้นคือคนโคฮาทซึ่งแบกของบริสุทธิ์ประจำพลับพลาพลับพลาจะถูกตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วก่อนที่พวกเขาจะไปถึง

22 ถัดไปคือหมู่เหล่าของค่ายเอฟราอิมเคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีเอลีชามาบุตรอัมมีฮูดเป็นผู้นำ

23 แล้วถึงเผ่ามนัสเสห์นำโดยกามาลิเอลบุตรเปดาซูร์

24 และเผ่าเบนยามินนำโดยอาบีดันบุตรกิเดโอนี

25 ท้ายขบวนคือกลุ่มระวังหลัง หมู่เหล่าของค่ายดานเคลื่อนขบวนออกไปภายใต้ธงประจำกองของพวกเขา โดยมีอาหิเยเซอร์บุตรอัมมีชัดดัยเป็นผู้นำ

26 เผ่าอาเชอร์นำโดยปากีเอลบุตรโอคราน

27 และเผ่านัฟทาลีนำโดยอาหิราบุตรเอนัน

28 ลำดับขบวนการเดินทางของชาวอิสราเอลเป็นไปตามนี้

29 ครั้งนั้นโมเสสพูดกับโฮบับบุตรเรอูเอลชาวมีเดียนพ่อตาของโมเสสว่า “เราทั้งหลายจะออกเดินทางไปยังดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เราจะให้เจ้า’ เชิญมาร่วมเดินทางกับเราเถิด เราจะปฏิบัติต่อท่านอย่างดี เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาจะประทานสิ่งดีแก่อิสราเอล”

30 เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ไป ข้าพเจ้าจะกลับภูมิลำเนาไปหาพวกพ้องของข้าพเจ้า”

31 แต่โมเสสกล่าวว่า “อย่าจากเราไปเลย ท่านชำนาญลู่ทางในการตั้งค่ายพักแรมกลางถิ่นกันดาร ท่านจะได้ช่วยเป็นหูเป็นตาให้พวกเรา

32 ถ้าท่านไปกับเรา เราจะแบ่งปันสิ่งดีทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เราให้กับท่าน”

33 ดังนั้นพวกเขาจึงออกเดินทางจากภูเขาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าและเดินทางเป็นเวลาสามวัน ในระหว่างนั้นมีหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้านำหน้าเพื่อหาสถานที่ตั้งค่ายพักสำหรับพวกเขา

34 เมื่อพวกเขาออกเดินทางจากค่าย เมฆขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือพวกเขาในเวลากลางวัน

35 ทุกครั้งที่หีบพันธสัญญานำหน้าไป โมเสสกล่าวว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงลุกขึ้น!

ให้ศัตรูทั้งหลายของพระองค์กระจัดกระจายไป

ให้บรรดาข้าศึกเตลิดหนีไปต่อหน้าพระองค์”

36 และเมื่อวางหีบพันธสัญญาลง เขากล่าวว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเสด็จกลับมา

สู่ประชากรอิสราเอลนับแสนนับล้านนี้เถิด”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/10-d2cd53bbb0c49193aba853009c84fe43.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 11

ไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

1 ครั้งนั้นเหล่าประชากรบ่นถึงความทุกข์ยากลำบากของพวกเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับ แล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านั้นที่รอบนอกของค่าย

2 พวกเขาร้องขอให้โมเสสช่วย เมื่อเขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไฟก็ดับ

3 ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าทาเบราห์เพราะมีไฟจากองค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเผาผลาญพวกเขา

นกคุ่มจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

4 ฝูงชนที่มากับพวกเขาเริ่มร้องหาอาหารอย่างอื่น และชาวอิสราเอลเริ่มคร่ำครวญอีกว่า “อยากกินเนื้อเหลือเกิน!

5 นึกถึงปลาที่เราเคยกินกันในอียิปต์โดยไม่ต้องซื้อ อีกทั้งแตงกวา แตงโม กระเทียมจีน หอมใหญ่ และกระเทียม

6 แต่ขณะนี้เราเบื่ออาหาร เพราะเราไม่เคยเห็นอาหารอย่างอื่นนอกจากมานา!”

7 มานามีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี ดูคล้ายๆ ยางไม้ตะคร้ำ

8 ประชากรเที่ยวเก็บมาตำหรือโม่เป็นแป้ง แล้วต้มและทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมบางอย่างที่ทำจากน้ำมันมะกอก

9 มานานั้นร่วงลงมาพร้อมกับหยาดน้ำค้างในเวลากลางคืน

10 โมเสสได้ยินเสียงคร่ำครวญของผู้คนจากทุกครอบครัว แต่ละคนยืนอยู่หน้าทางเข้าเต็นท์ของเขาองค์พระผู้เป็นเจ้ากริ้วยิ่งนัก โมเสสเองก็ลำบากใจอย่างยิ่ง

11 เขากราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมจึงทรงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เดือดร้อนเช่นนี้? ข้าพระองค์ทำสิ่งใดไม่เป็นที่พอพระทัยหรือ จึงทรงให้ข้าพระองค์แบกภาระทั้งหมดของชนชาตินี้?

12 ข้าพระองค์ตั้งครรภ์คนเหล่านี้หรือ? ข้าพระองค์ให้กำเนิดเขาหรือ? จึงทรงให้ข้าพระองค์ประคบประหงมพวกเขาราวกับพี่เลี้ยงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน กว่าจะไปถึงดินแดนที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา

13 ข้าพระองค์จะไปหาเนื้อจากที่ไหนมาให้คนทั้งหมดนี้? พวกเขาคร่ำครวญกับข้าพระองค์ว่า ‘ให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด!’

14 ข้าพระองค์ตัวคนเดียวหอบหิ้วประชากรทั้งหมดนี้ไปไม่ไหว เป็นภาระหนักเกินทน

15 หากพระองค์จะทรงทำกับข้าพระองค์อย่างนี้ ก็โปรดเมตตาประหารข้าพระองค์เดี๋ยวนี้เถิด ถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ อย่าให้ข้าพระองค์ต้องเผชิญกับความหายนะเลย”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนของอิสราเอลซึ่งเจ้ารู้จักในฐานะผู้นำและเจ้าหน้าที่ในหมู่ประชากรนั้นมาพบเรา ให้พวกเขามายืนอยู่กับเจ้าที่เต็นท์นัดพบ

17 เราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น และจะเอาพระวิญญาณที่อยู่เหนือเจ้ามอบให้อยู่เหนือคนเหล่านั้นด้วย พวกเขาจะช่วยแบกภาระเรื่องประชากรร่วมกับเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องรับงานนี้แต่ลำพัง

18 “จงบอกเหล่าประชากรว่า ‘จงชำระตัวให้บริสุทธิ์ เตรียมพร้อมสำหรับพรุ่งนี้ซึ่งพวกเจ้าจะมีเนื้อกินองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยินที่พวกเจ้าโอดครวญแล้วว่า “เราอยากกินเนื้อเหลือเกิน! อยู่ที่อียิปต์ยังดีเสียกว่า!” บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะให้เจ้ากินเนื้อ

19 ไม่ใช่เพียงวันสองวัน ห้าวัน สิบวันหรือยี่สิบวัน

20 แต่พวกเจ้าจะมีเนื้อกินหนึ่งเดือนเต็ม จนล้นออกมาทางจมูกจนเจ้าเอือม เพราะพวกเจ้าปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกเจ้า และคร่ำครวญต่อพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราต้องจากอียิปต์มา?” ’ ”

21 แต่โมเสสกราบทูลว่า “ข้าพระองค์มีพลเดินเท้าถึงหกแสนคนยืนอยู่ที่นี่ แล้วพระองค์ยังตรัสว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินตลอดหนึ่งเดือนเต็ม!’

22 ต่อให้เอาฝูงแพะ แกะ และวัวทั้งหมดมาฆ่ากินจะพอหรือ? หากจะจับปลาหมดทะเลมาให้พวกเขากินจะเพียงพอหรือ?”

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบโมเสสว่า “มีอะไรที่เกินความสามารถขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? คราวนี้เจ้าจะได้เห็นว่าที่เราพูดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่”

24 ดังนั้นโมเสสจึงออกมาแจ้งพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ประชากรทั้งหลายทราบ และเรียกประชุมผู้อาวุโสเจ็ดสิบคนมายืนเรียงรายรอบพลับพลา

25 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเมฆตรัสกับโมเสส และทรงนำพระวิญญาณที่อยู่เหนือโมเสสประทานให้อยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งเจ็ดสิบคน เมื่อพระวิญญาณประทับอยู่เหนือพวกเขา เขาก็เผยพระวจนะอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เผยพระวจนะอีก

26 แต่มีผู้อาวุโสสองคนในกลุ่มเจ็ดสิบคนคือ เอลดาดและเมดาดยังอยู่ในค่ายพัก ไม่ได้ออกไปที่พลับพลา พระวิญญาณก็เสด็จมาเหนือพวกเขาด้วย และพวกเขาก็เผยพระวจนะอยู่ในค่าย

27 ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้โมเสสทราบว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยพระวจนะอยู่ในค่าย”

28 โยชูวาบุตรนูนซึ่งคอยรับใช้โมเสสมาตั้งแต่หนุ่มๆ ท้วงว่า “โมเสส เจ้านายของข้าพเจ้า โปรดห้ามเขาเถิด!”

29 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านเดือดร้อนแทนเราหรือ? เราอยากให้ประชากรทุกคนขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะและให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระวิญญาณเหนือพวกเขา!”

30 แล้วโมเสสและบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลก็กลับไปยังค่ายพัก

31 ทันใดนั้นมีกระแสลมจากองค์พระผู้เป็นเจ้าพัดพานกคุ่มจากทะเลมาตกอยู่รอบ ค่ายทุกทิศ สูงพ้นพื้นดิน 2 ศอกเป็นรัศมีเท่ากับระยะทางที่เดินได้ในหนึ่งวัน

32 ประชากรพากันออกไปจับนกมาฆ่ากินทั้งวันทั้งคืนและตลอดวันรุ่งขึ้น แต่ละคนจับนกคุ่มได้อย่างน้อยคนละประมาณ 2.2 กิโลลิตรพวกเขาเอาเนื้อนกคุ่มตากไว้รอบค่าย

33 แต่ขณะที่เนื้อยังคาปาก ยังไม่ได้กลืนลงไป พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อประชากร พระองค์ทรงประหารพวกเขาด้วยโรคระบาดอย่างรุนแรง

34 สถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ แปลว่า สุสานแห่งความตะกละ เพราะที่นั่นพวกเขาได้ฝังคนที่ตะกละกินอาหารอื่น

35 พวกเขาเดินทางต่อจากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาถึงฮาเซโรท และพักอยู่ที่นั่น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/11-8428ed84ca966439b18a4477ae836376.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 12

มิเรียมและอาโรนต่อต้านโมเสส

1 มิเรียมกับอาโรนได้กล่าวโจมตีโมเสส เพราะโมเสสได้แต่งงานและมีภรรยาเป็นชาวคูช

2 ทั้งสองพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านโมเสสเท่านั้นหรือ? พระองค์ไม่ได้ตรัสผ่านเราด้วยหรือ?”องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินสิ่งนี้

3 (โมเสสนั้นเป็นคนถ่อมใจมาก ถ่อมใจยิ่งกว่าใครๆ ในโลก)

4 ทันใดนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสส อาโรน และมิเรียมว่า “เจ้าทั้งสามจงออกมาที่เต็นท์นัดพบ” ดังนั้นพวกเขาจึงออกมา

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาในเสาเมฆ ทรงประทับยืนอยู่ตรงทางเข้าพลับพลา พระองค์ทรงเรียกอาโรนกับมิเรียม เมื่อทั้งสองก้าวมาข้างหน้า

6 พระองค์ตรัสว่า “จงฟังถ้อยคำของเรา

“เมื่อผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในหมู่พวกเจ้า

เราสำแดงตัวเองแก่เขาในนิมิต

เราพูดกับเขาในความฝัน

7 แต่กับโมเสสผู้รับใช้ของเราไม่เป็นเช่นนั้น

เขาซื่อสัตย์กว่าใครๆ ในนิเวศของเรา

8 เราพูดกับเขาซึ่งๆ หน้า

อย่างชัดเจนและไม่เป็นปริศนา

เขาได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

ทำไมเจ้าจึงไม่กลัว

ที่จะพูดโจมตีโมเสสผู้รับใช้ของเรา?”

9 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าพลุ่งขึ้นต่ออาโรนและมิเรียม แล้วพระองค์ก็เสด็จไป

10 เมื่อเมฆที่อยู่เหนือพลับพลาลอยขึ้น มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนเป็นด่างขาวดั่งหิมะ อาโรนหันไปเห็นมิเรียมเป็นโรคเรื้อน

11 จึงกล่าวกับโมเสสว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ได้โปรดอย่าถือโทษบาปที่เราทำไปโดยความโง่เขลานี้

12 ขออย่าให้มิเรียมเป็นเหมือนทารกที่แท้งตั้งแต่อยู่ในครรภ์และออกมาด้วยร่างกายที่ถูกกัดกินไปครึ่งหนึ่ง”

13 โมเสสจึงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดรักษานางด้วยเถิด!”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “หากบิดาของนางถ่มน้ำลายใส่หน้านาง นางจะเป็นมลทินไปเจ็ดวันไม่ใช่หรือ? ฉะนั้นจงกักนางไว้นอกค่ายเจ็ดวัน แล้วจึงให้กลับเข้ามาได้”

15 มิเรียมจึงถูกกักไว้นอกค่ายตลอดเจ็ดวัน และประชากรไม่ได้ออกเดินทางจนนางกลับเข้ามาอีก

16 หลังจากนั้นพวกเขาออกเดินทางจากฮาเซโรท มาตั้งค่ายพักแรมในถิ่นกันดารปาราน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/12-982d1d18bcfd3fd66e173363c1b34d29.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 13

สำรวจคานาอัน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงส่งหัวหน้าจากแต่ละเผ่าเข้าไปสำรวจดินแดนคานาอันที่เราจะยกให้ชนอิสราเอล”

3 ดังนั้นโมเสสจึงส่งพวกเขาออกไปจากถิ่นกันดารปารานตามพระดำรัสสั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้นำของชนอิสราเอล

4 มีรายชื่อดังต่อไปนี้

ชัมมูอาบุตรศักเกอร์จากเผ่ารูเบน

5 ชาฟัทบุตรโฮรีจากเผ่าสิเมโอน

6 คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์

7 อิกาลบุตรโยเซฟจากเผ่าอิสสาคาร์

8 โฮเชยาบุตรนูนจากเผ่าเอฟราอิม

9 ปัลทีบุตรราฟูจากเผ่าเบนยามิน

10 กัดดีเอลบุตรโสดีจากเผ่าเศบูลุน

11 กัดดีบุตรสุสีจากเผ่ามนัสเสห์

12 อัมมีเอลบุตรเกมัลลีจากเผ่าดาน

13 เสธูร์บุตรมีคาเอลจากเผ่าอาเชอร์

14 นาห์บีบุตรโวฟสีจากเผ่านัฟทาลี

15 เกอูเอลบุตรมาคีจากเผ่ากาด

16 โมเสสส่งคนเหล่านี้ไปสำรวจดินแดน (โมเสสตั้งชื่อให้โฮเชยาบุตรนูนว่า โยชูวา)

17 เมื่อโมเสสส่งพวกเขาไปสำรวจคานาอัน เขากล่าวว่า “จงขึ้นเหนือผ่านเนเกบไปยังดินแดนเทือกเขา

18 ดูว่าดินแดนนั้นเป็นอย่างไร ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นเข้มแข็งหรืออ่อนแอ มีมากหรือน้อย

19 ดินแดนที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไร? ดีหรือไม่ดี? บ้านเมืองเป็นเช่นใด? มีกำแพงเมืองหรือมีป้อมปราการหรือไม่?

20 เนื้อดินเป็นอย่างไร? ดินดีหรือไม่? มีต้นไม้มากหรือไม่? จงหาทางเก็บพืชผลของดินแดนนั้นกลับมาให้ดูด้วย” (เวลานั้นเป็นฤดูผลองุ่นสุกรุ่นแรก)

21 เขาเหล่านั้นจึงไปสำรวจดินแดนแถบนั้น ตั้งแต่ถิ่นกันดารศินเรื่อยไปจนถึงเรโหบ ทางที่จะไปยังเลโบฮามัท

22 เขาขึ้นไปถึงเนเกบ ถึงเมืองเฮโบรน (ก่อตั้งขึ้นก่อนเมืองโศอันในอียิปต์เจ็ดปี) เป็นที่ซึ่งอาหิมาน เชชัย และทัลมัย เชื้อสายของอานาคอาศัยอยู่

23 เมื่อมาถึงหุบเขาเอชโคล์พวกเขาตัดองุ่นพวงมหึมาพวงหนึ่ง ต้องใช้คนถึงสองคนเอาคานสอดหามมา พร้อมด้วยผลทับทิมและผลมะเดื่อ

24 ที่แห่งนั้นได้ชื่อว่าหุบเขาเอชโคล์เพราะพวงองุ่นที่คนอิสราเอลตัดมาจากที่นั่น

25 หลังจากนั้นสี่สิบวัน พวกเขาก็กลับมาจากการสำรวจ

รายงานการสำรวจ

26 พวกเขากลับมาและรายงานโมเสส อาโรนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่คาเดชในถิ่นกันดารปาราน และนำผลไม้ที่เก็บมาให้ดูด้วย

27 พวกเขารายงานโมเสสว่า “พวกข้าพเจ้าไปถึงดินแดนที่ท่านใช้ให้ไปดู เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง! ดูผลไม้เหล่านี้สิ

28 แต่ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นมีกำลังเข้มแข็งมาก เมืองของเขาก็แสนใหญ่โต มีป้อมกำแพงแน่นหนา มิหนำซ้ำพวกข้าพเจ้ายังเห็นวงศ์วานของอานาคอยู่ที่นั่นด้วย

29 ชาวอามาเลขอาศัยอยู่ในเนเกบ ส่วนชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส และชาวอาโมไรต์อยู่บริเวณเทือกเขาและชาวคานาอันอาศัยอยู่ตามชายฝั่งทะเลและลุ่มแม่น้ำจอร์แดน”

30 แต่คาเลบบอกให้ประชากรเงียบต่อหน้าโมเสสและพูดว่า “เราควรจะขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่”

31 แต่คนอื่นๆ คัดค้านว่า “เราสู้พวกเขาไม่ได้หรอก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรามากนัก”

32 แล้วพวกเขากระจายข่าวในแง่ร้ายในหมู่ชนอิสราเอลเกี่ยวกับดินแดนที่ได้สำรวจมาว่า “ดินแดนที่เราไปสำรวจนั้นกลืนผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น ผู้คนที่เราพบเห็นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่

33 เราเห็นคนเนฟิลที่นั่นด้วย (วงศ์วานของอานาคมาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเป็นเหมือนตั๊กแตนและพวกเขาก็เห็นเช่นนั้นด้วย”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/13-d26b3d020832a57c0496392d131189d6.mp3?version_id=179—