Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 24

1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่จะอวยพรอิสราเอล ก็ไม่ได้ไปเสี่ยงทายเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ตรงไปมองดูถิ่นกันดารทันที

2 เมื่อบาลาอัมมองไปเห็นอิสราเอลแยกตั้งค่ายตามเผ่า พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาอยู่เหนือบาลาอัม

3 เขาจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์

คำทำนายของผู้มีตาสว่าง

4 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้า

ผู้เห็นนิมิตจากองค์ทรงฤทธิ์

ผู้ล้มลง แล้วตาก็เปิดออก

5 “ยาโคบเอ๋ย! เต็นท์ของท่านงามยิ่งนัก

อิสราเอลเอ๋ย ที่พำนักของท่านงามเหลือเกิน

6 “พวกเขาแผ่ขยายออกไปดั่งหุบเขา

ดั่งอุทยานริมแม่น้ำ

ดั่งต้นกฤษณาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูกไว้

ดั่งต้นสนซีดาร์ริมน้ำ

7 น้ำจะไหลล้นจากถังของเขา

เมล็ดพันธุ์ของเขาจะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์

“กษัตริย์ของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าอากัก

ราชอาณาจักรของเขาจะได้รับการเชิดชู

8 “พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกจากอียิปต์

พวกเขาทรงพลังเยี่ยงวัวป่า

พวกเขาเขมือบชนชาติต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรู

หักกระดูกของพวกนั้นเป็นชิ้นๆ

พวกเขาทิ่มแทงคนเหล่านั้นด้วยลูกธนู

9 พวกเขาเอนตัวลงนอนเยี่ยงราชสีห์

เยี่ยงนางสิงห์ ใครจะกล้าไปแหย่พวกเขาได้?

“ขอให้ผู้ที่อวยพรท่านได้รับพร

และให้ผู้ที่แช่งท่านถูกแช่ง!”

10 บาลาคโกรธจัด ทุบกำปั้นและตวาดว่า “เราเรียกให้เจ้ามาแช่งศัตรู แต่เจ้ากลับมาอวยพรพวกมันถึงสามครั้งสามครา

11 ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ กลับบ้านไป! เราคิดจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างงาม แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขัดขวางไว้เสียแล้ว”

12 บาลาอัมตอบบาลาคว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้สื่อสารของท่านหรอกหรือว่า

13 ‘ถึงแม้บาลาคจะยกปราสาทที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดนอกเหนือพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพูดอะไรตามใจชอบไม่ว่าดีหรือร้าย ต้องพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเท่านั้น’?

14 บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปหาพวกพ้อง แต่ขอเตือนถึงสิ่งที่ชนชาตินี้จะทำแก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า”

คำทำนายครั้งที่สี่ของบาลาอัม

15 เขาจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์

คำทำนายของผู้มีตาสว่าง

16 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้า

ผู้มีความรู้จากองค์ผู้สูงสุด

ผู้เห็นนิมิตจากองค์ทรงฤทธิ์

ผู้ล้มลง แล้วตาก็เปิดออก

17 “ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่ขณะนี้

ข้าพเจ้ามองเห็น แต่ไม่ใช่ระยะใกล้

ดาวดวงหนึ่งจะออกมาจากยาโคบ

ธารพระกรจะรุ่งเรืองออกมาจากอิสราเอล

ผู้นั้นจะบดขยี้หน้าผากของโมอับ

และทุบกะโหลกศีรษะพงศ์พันธุ์ของเชท

18 เอโดมจะถูกพิชิต

เสอีร์ศัตรูของเขาก็จะถูกพิชิต

ส่วนอิสราเอลจะเข้มแข็งขึ้น

19 จะมีผู้ครอบครองผู้หนึ่งออกมาจากยาโคบ

และจะทำลายล้างผู้รอดตายของเมืองนั้น”

คำทำนายครั้งสุดท้ายของบาลาอัม

20 จากนั้นบาลาอัมมองดูชาวอามาเลข และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“อามาเลขเป็นประชาชาติหมายเลขหนึ่ง

แต่เขาจะพินาศย่อยยับในที่สุด”

21 แล้วเขามองดูชาวเคไนต์และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“ที่พำนักของเจ้ามั่นคง

รังของเขาอยู่ที่ซอกหิน

22 กระนั้นเจ้าชาวเคไนต์จะถูกทำลายล้าง

เมื่ออัสชูร์มากวาดต้อนเจ้าไปเป็นเชลย”

23 แล้วบาลาอัมกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“อนิจจา ใครเล่าจะรอดชีวิตอยู่ได้เมื่อพระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้?

24 เรือจะมาจากชายฝั่งคิททิม

และพวกเขาจะปราบทั้งอัสชูร์และเอเบอร์

แต่พวกเขาก็จะพินาศย่อยยับเช่นกัน”

25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับไปยังที่อยู่ของตน และบาลาคก็ไปตามทางของเขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/24-0569549e5bd1c389ff51e76866a293a8.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 25

โมอับล่อลวงอิสราเอล

1 ขณะอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ชิทธีม พวกผู้ชายเริ่มทำผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับ

2 ผู้เชื้อเชิญพวกเขาไปร่วมเซ่นสังเวยแก่พระของพวกนาง พวกเขาก็ร่วมงานเลี้ยงและกราบไหว้พระเหล่านั้น

3 อิสราเอลหันไปร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งนัก

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำตัวบรรดาผู้นำของประชาชนเหล่านั้นมาประหาร แล้วแขวนไว้กลางแดดระอุต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะหันเหไปจากอิสราเอล”

5 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งเหล่าตุลาการของอิสราเอลว่า “พวกท่านแต่ละคนจะต้องประหารคนของพวกท่านที่ได้ร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์”

6 ขณะนั้นชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในค่ายพักต่อหน้าต่อตาโมเสสและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งหมดซึ่งยืนร่ำไห้อยู่ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

7 เมื่อฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์บุตรของปุโรหิตอาโรนเห็นเช่นนี้ ก็ละจากชุมนุมประชากรและจับทวน

8 ติดตามชายผู้นั้นเข้าไปในเต็นท์ แล้วพุ่งทวนทะลุร่างของคนทั้งสอง ภัยพิบัติที่เกิดแก่ชนอิสราเอลก็สงบลง

9 แต่ก็มีผู้เสียชีวิตเพราะภัยพิบัติไปแล้วถึง 24,000 คน

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

11 “ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ หลานชายปุโรหิตอาโรน เป็นผู้หันโทสะของเราไปจากชนอิสราเอล เพราะเขาเจ็บแค้นแทนเรา เพื่อปกป้องเกียรติของเรา เราจึงหยุดทำลายล้างอิสราเอลตามที่ตั้งใจไว้

12 ฉะนั้นจงบอกเขาว่าเราได้ตั้งพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับเขา

13 เขากับลูกหลานจะได้ถือพันธสัญญาครองความเป็นปุโรหิตตลอดไป เนื่องจากเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อเกียรติของพระเจ้าของเขา และได้ลบบาปให้ชนอิสราเอล”

14 ชาวอิสราเอลคนที่ถูกประหารพร้อมหญิงชาวมีเดียนนั้นคือศิมรีบุตรของสาลู เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งของตระกูลสิเมโอน

15 หญิงคนนั้นชื่อคสบี บุตรสาวศูร์ซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งของชาวมีเดียน

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

17 “จงตั้งตนเป็นศัตรูกับชาวมีเดียนและประหารพวกเขา

18 เพราะพวกเขาทำตัวเป็นศัตรูโดยหลอกลวงพวกเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เปโอร์ และเรื่องคสบีบุตรสาวผู้นำแห่งมีเดียน หญิงผู้ถูกประหารในคราวภัยพิบัติอันเนื่องมาจากเปโอร์”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/25-ef99a0ca646d3dabb7dab0adc0a0296c.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 26

สำมะโนประชากรครั้งที่สอง

1 หลังจากภัยพิบัติยุติลงแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรปุโรหิตอาโรนว่า

2 “จงทำสำมะโนประชากรชายทุกคนในอิสราเอลที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อสำรวจว่าในแต่ละครอบครัวมีใครบ้างที่สามารถออกรบได้”

3 ดังนั้นโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงแจ้งพวกเขาขณะตั้งค่ายอยู่ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า

4 “จงทำสำมะโนประชากรชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส”

ชนอิสราเอลที่ออกมาจากอียิปต์ ได้แก่

5 วงศ์วานของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอลได้แก่

ตระกูลฮาโนคจากฮาโนค

ตระกูลปัลลูจากปัลลู

6 ตระกูลเฮสโรนจากเฮสโรน

ตระกูลคารมีจากคารมี

7 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของรูเบน นับได้ 43,730 คน

8 บุตรชายของปัลลูคือเอลีอับ

9 และบุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม ดาธานและอาบีรัมนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของชุมชนซึ่งได้กบฏต่อโมเสสและต่ออาโรน และเป็นพรรคพวกของโคราห์เมื่อเขากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

10 พื้นธรณีแยกออกและสูบพวกเขาลงไปพร้อมกับโคราห์ และพรรคพวกของเขา 250 คนถูกไฟคลอกตาย และนั่นเป็นเครื่องเตือนเหล่าประชากร

11 แต่เชื้อสายโคราห์ไม่ได้สูญสิ้นไป

12 วงศ์วานของสิเมโอนแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเนมูเอลจากเนมูเอล

ตระกูลยามีนจากยามีน

ตระกูลยาคีนจากยาคีน

13 ตระกูลเศราห์จากเศราห์

และตระกูลชาอูลจากชาอูล

14 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของสิเมโอน นับได้ 22,200 คน

15 วงศ์วานของกาดแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเศโฟนจากเศโฟน

ตระกูลฮักกีจากฮักกี

ตระกูลชูนีจากชูนี

16 ตระกูลโอสนีจากโอสนี

ตระกูลเอรีจากเอรี

17 ตระกูลอาโรดีจากอาโรดี

และตระกูลอาเรลีจากอาเรลี

18 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของกาด นับได้ 40,500 คน

19 เอร์และโอนันบุตรชายของยูดาห์เสียชีวิตที่คานาอัน

20 วงศ์วานของยูดาห์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเชลาห์จากเชลาห์

ตระกูลเปเรศจากเปเรศ

ตระกูลเศราห์จากเศราห์

21 วงศ์วานของเปเรศ ได้แก่

ตระกูลเฮสโรนจากเฮสโรน

และตระกูลฮามูลจากฮามูล

22 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของยูดาห์ นับได้ 76,500 คน

23 วงศ์วานของอิสสาคาร์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลโทลาจากโทลา

ตระกูลปูวาห์จากปูวาห์

24 ตระกูลยาชูบจากยาชูบ

และตระกูลชิมโรนจากชิมโรน

25 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของอิสสาคาร์ นับได้ 64,300 คน

26 วงศ์วานของเศบูลุน แยกตามตระกูลได้แก่

ตระกูลเสเรดจากเสเรด

ตระกูลเอโลนจากเอโลน

และตระกูลยาเลเอลจากยาเลเอล

27 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเศบูลุน นับได้ 60,500 คน

28 วงศ์วานของโยเซฟแยกตามตระกูลนับตามมนัสเสห์และเอฟราอิมคือ

29 วงศ์วานของมนัสเสห์ ได้แก่

ตระกูลมาคีร์จากมาคีร์

(มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด)

ตระกูลกิเลอาดจากกิเลอาด

30 วงศ์วานของกิเลอาด ได้แก่

ตระกูลอีเยเซอร์จากอีเยเซอร์

ตระกูลเฮเลคจากเฮเลค

31 ตระกูลอัสรีเอลจากอัสรีเอล

ตระกูลเชเคมจากเชเคม

32 ตระกูลเชมิดาจากเชมิดา

และตระกูลเฮเฟอร์จากเฮเฟอร์

33 (เศโลเฟหัดบุตรเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชาย

มีแต่บุตรสาวได้แก่ มาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และทีรซาห์)

34 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของมนัสเสห์ นับได้ 52,700 คน

35 วงศ์วานของเอฟราอิมแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลชูเธลาห์จากชูเธลาห์

ตระกูลเบเคอร์จากเบเคอร์

ตระกูลทาหานจากทาหาน

36 วงศ์วานของชูเธลาห์คือ

ตระกูลเอรานจากเอราน

37 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเอฟราอิมนับได้ 32,500 คน

ทั้งหมดนี้คือวงศ์วานของโยเซฟแยกตามตระกูล

38 วงศ์วานของเบนยามินแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเบลาจากเบลา

ตระกูลอัชเบลจากอัชเบล

ตระกูลอาหิรัมจากอาหิรัม

39 ตระกูลชูฟามจากชูฟาม

และตระกูลหุฟามจากหุฟาม

40 วงศ์วานของเบลาทางอาร์ดและนาอามาน ได้แก่

ตระกูลอาร์ดจากอาร์ด

และตระกูลนาอามานจากนาอามาน

41 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเบนยามิน นับได้ 45,600 คน

42 วงศ์วานของดานแยกตามตระกูลคือ

ตระกูลชูฮัมจากชูฮัม

นี่คือตระกูลของดาน

43 ทั้งหมดล้วนอยู่ในตระกูลชูฮัม รวม 64,400 คน

44 วงศ์วานของอาเชอร์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลอิมนาห์จากอิมนาห์

ตระกูลอิชวีจากอิชวี

ตระกูลเบรียาห์จากเบรียาห์

45 และวงศ์วานของตระกูลเบรียาห์ ได้แก่

ตระกูลเฮเบอร์จากเฮเบอร์

ตระกูลมัลคีเอลจากมัลคีเอล

46 (อาเชอร์มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อเสราห์)

47 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของอาเชอร์นับได้ 53,400 คน

48 วงศ์วานของนัฟทาลีแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลยาเซเอลจากยาเซเอล

ตระกูลกูนีจากกูนี

49 ตระกูลเยเซอร์จากเยเซอร์

ตระกูลชิลเลมจากชิลเลม

50 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของนัฟทาลีนับได้ 45,400 คน

51 รวมพลอิสราเอลทั้งหมดได้ 601,730 คน

52 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า

53 “จงแบ่งดินแดนแก่เผ่าต่างๆ ตามสัดส่วนจำนวนคนที่นับได้

54 เผ่าใหญ่ได้รับที่ดินมาก และเผ่าที่เล็กกว่าได้รับที่ดินน้อยลงตามส่วน และแต่ละกลุ่มจะได้รับมรดกตามจำนวนรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนไว้

55 ให้จับฉลากแบ่งดินแดน แต่ละกลุ่มได้ครองกรรมสิทธิ์ตามจำนวนรายชื่อเผ่าบรรพบุรุษ

56 แบ่งสรรกรรมสิทธิ์โดยจับฉลากตามส่วนเผ่าใหญ่และเผ่าเล็ก”

57 ต่อไปนี้คือเผ่าเลวีนับตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเกอร์โชนจากเกอร์โชน

ตระกูลโคฮาทจากโคฮาท

ตระกูลเมรารีจากเมรารี

58 ต่อไปนี้ก็คือตระกูลของเลวีด้วย ได้แก่

ตระกูลลิบนี

ตระกูลเฮโบรน

ตระกูลมาห์ลี

ตระกูลมูชี

ตระกูลโคราห์

(โคฮาทเป็นบรรพบุรุษของอัมราม

59 ภรรยาของอัมรามชื่อโยเคเบดผู้เป็นเชื้อสายของเลวี ซึ่งเป็นบุตรสาวของชาวเลวีที่เกิดในอียิปต์ อัมรามมีบุตรชายคืออาโรนกับโมเสส และบุตรสาวชื่อมิเรียม

60 อาโรนมีบุตรชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

61 แต่นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตไปเมื่อครั้งจุดไฟที่ไม่ได้รับอนุญาตต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า)

62 จำนวนผู้ชายทั้งหมดในตระกูลเลวีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปนับได้ 23,000 คน แต่ไม่ได้นับรวมเข้าในสำมะโนประชากรของอิสราเอล เพราะชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ดินเหมือนตระกูลอื่นๆ

63 ทั้งหมดนี้คือสำมะโนประชากรซึ่งโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จัดทำขึ้นในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

64 ไม่มีสักคนเดียวในสำมะโนประชากรนี้ที่มีชื่ออยู่ในสำมะโนประชากรคราวก่อนซึ่งโมเสสและปุโรหิตอาโรนทำขึ้นในถิ่นกันดารซีนาย

65 ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่ชาวอิสราเอลเหล่านั้นว่าพวกเขาจะตายในถิ่นกันดารแน่นอน ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/26-fea0d8389b9cd04b648529f558fedf7a.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 27

บุตรสาวของเศโลเฟหัด

1 บุตรสาวของเศโลเฟหัดได้แก่ มาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ เศโลเฟหัดซึ่งอยู่ในตระกูลของมนัสเสห์เป็นบุตร ของเฮเฟอร์บุตรกิเลอาดซึ่งเป็นบุตรมาคีร์บุตรของมนัสเสห์

2 หญิงเหล่านี้มายังบริเวณทางเข้าเต็นท์นัดพบและร้องเรียนต่อโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ หัวหน้าตระกูลต่างๆ และชุมนุมประชากรทั้งหมดว่า

3 “บิดาของพวกเราเสียชีวิตในถิ่นกันดารเพราะบาปของท่านเอง และท่านไม่มีบุตรชาย ท่านไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกโคราห์ที่รวมหัวกันกบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

4 เหตุใดนามของท่านจะต้องถูกลบไปจากตระกูลเพียงเพราะท่านไม่มีบุตรชาย? โปรดให้พวกข้าพเจ้าได้รับกรรมสิทธิ์ร่วมกับญาติพี่น้องของบิดาเถิด”

5 โมเสสจึงกราบทูลเรื่องนี้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า

7 “บุตรสาวของเศโลเฟหัดพูดถูก เจ้าต้องแบ่งที่ดินให้พวกนางเป็นมรดกร่วมกับพี่น้องของบิดา จงยกส่วนแบ่งของบิดาให้แก่พวกนางเถิด

8 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘หากชายใดสิ้นชีวิตไปโดยไม่มีบุตรชาย มรดกของเขาจะยกให้เป็นของบุตรสาว

9 หากคนนั้นไม่มีบุตรสาว มรดกนั้นก็จะยกให้พี่ชายน้องชายของเขา

10 หากเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของบิดาเขา

11 หากบิดาของเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของญาติสนิทที่สุดในตระกูลของเขา นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับชนอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส’ ”

โยชูวารับหน้าที่สืบต่อจากโมเสส

12 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนเทือกเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินที่เรายกให้ชนอิสราเอล

13 เมื่อเจ้าได้ดูแล้ว เจ้าก็จะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าเหมือนอาโรนพี่ชายของเจ้า

14 เพราะเจ้าทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของเรา ไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าชนอิสราเอล เมื่อครั้งที่พวกเขากำเริบเสิบสานเรื่องน้ำในถิ่นกันดารศิน” (นี่เป็นปัญหาเรื่องน้ำซึ่งเกิดที่เมรีบาห์ที่คาเดชในถิ่นกันดารศิน)

15 โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

16 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมวลมนุษยชาติ ขอทรงแต่งตั้งผู้นำของชุมชนนี้

17 เป็นผู้ที่จะนำพวกเขาออกรบ คอยพิทักษ์พวกเขา เพื่อประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่เป็นอย่างแกะที่ปราศจากคนเลี้ยง”

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำโยชูวาบุตรนูนผู้มีพระวิญญาณอยู่ภายในเข้ามา แล้ววางมือบนเขา

19 โดยให้เขายืนอยู่ต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์และชุมนุมประชากรทั้งปวง แล้วแต่งตั้งเขาต่อหน้าคนเหล่านั้น

20 จงมอบสิทธิอำนาจของเจ้าบางส่วนให้เขา เพื่อชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะเชื่อฟังเขา

21 เขาจะยืนอยู่ต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์ผู้ซึ่งทูลขอคำตัดสินให้เขาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยฉลากศักดิ์สิทธิ์แล้วโยชูวาและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงก็จะทำตามคำสั่งของปุโรหิตเอเลอาซาร์”

22 โมเสสก็ปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เขาพาโยชูวามาต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์และชุมนุมประชากรทั้งปวง

23 แล้วโมเสสจึงวางมือบนโยชูวาและแต่งตั้งเขาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/27-ef19f4ca5bd9c56d36018a92b6020b3b.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 28

เครื่องบูชาประจำวัน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘จงใส่ใจที่จะนำเครื่องบูชามาถวายเราตามเวลาที่กำหนด เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่เราพอใจ’

3 จงบอกเขาว่า ‘เครื่องบูชาด้วยไฟที่เจ้านำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นประกอบด้วยลูกแกะอายุหนึ่งขวบซึ่งไม่มีตำหนิ วันละสองตัว เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน

4 ตัวหนึ่งถวายตอนเช้า อีกตัวหนึ่งถวายตอนพลบค่ำ

5 และถวายธัญบูชาควบคู่คือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 2 ลิตรเคล้าน้ำมันมะกอกประมาณ 1 ลิตร

6 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่กำหนดไว้ที่ภูเขาซีนาย ให้ถวายเป็นประจำ เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

7 เครื่องดื่มบูชาที่ถวายควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัวนั้นคือเหล้าประมาณ 1 ลิตร ให้รินเครื่องดื่มบูชานี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานนมัสการ

8 จงถวายลูกแกะตัวที่สองในตอนพลบค่ำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอย่างเดียวกับในตอนเช้า เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

เครื่องบูชาสำหรับวันสะบาโต

9 “ ‘ในวันสะบาโต จงถวายลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว ควบคู่กับเครื่องดื่มบูชาและธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 4.5 ลิตรเคล้าน้ำมัน

10 เป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามปกติ

เครื่องบูชาประจำทุกเดือน

11 “ ‘ทุกวันต้นเดือนจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยใช้วัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

12 เจ้าต้องถวายธัญบูชาคือ ถวายแป้งโม่ละเอียดเคล้าน้ำมันประมาณ 6.5 ลิตรควบคู่กับวัวหนุ่มแต่ละตัว ถวายประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

13 และถวายประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว นี่เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

14 เครื่องดื่มบูชาควบคู่กับวัวคือเหล้าองุ่นประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับแกะคือ เหล้าองุ่นประมาณ 1.2 ลิตรและควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัวคือเหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตร นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่ถวายทุกเดือนในวันขึ้นหนึ่งค่ำตลอดทั้งปี

15 และถวายแพะผู้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาตามปกติควบคู่กับเครื่องดื่มบูชา

เทศกาลปัสกา

16 “ ‘ในวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง จงถือเทศกาลปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ในวันที่สิบห้าของเดือนเดียวกันเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลโดยการรับประทานขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวัน

18 ในวันแรกของเทศกาล จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงานในวันนั้น

19 เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องเผาบูชาคือวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

20 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวแต่ละตัว แป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

21 และแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

22 จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปของเจ้าด้วย

23 เครื่องบูชาเหล่านี้จะถวายเพิ่มเติมจากเครื่องเผาบูชาประจำวันที่ถวายตอนเช้า

24 ทุกวันตลอดสัปดาห์ของเทศกาลนี้ จงเตรียมอาหารเหล่านี้ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เพิ่มเติมจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาประจำวัน

25 ในวันที่เจ็ดให้จัดประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

เทศกาลแห่งสัปดาห์

26 “ ‘ในวันถวายผลแรก เมื่อเจ้านำเครื่องบูชาที่เป็นเมล็ดข้าวใหม่ในช่วงเทศกาลแห่งสัปดาห์มาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

27 จงถวายวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัวเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

28 พร้อมด้วยธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวแต่ละตัว ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

29 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

30 และจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับเจ้า

31 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาที่ถวายเป็นประจำและธัญบูชา จงถวายเครื่องดื่มบูชาด้วย เจ้าต้องแน่ใจว่าสัตว์ที่นำมาถวายนั้นไม่มีตำหนิใดๆ เลย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/28-9da069afd04b34f792cb6dd8205185ff.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 29

เทศกาลเสียงแตร

1 “ ‘ในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ดของทุกปี จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน ให้เจ้าเป่าแตรในวันนี้

2 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

3 ถวายธัญบูชาคือ แป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

4 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

5 และจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปของเจ้า

6 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชา ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำทุกวันและทุกเดือน จงถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวมานี้ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย

วันลบบาป

7 “ ‘ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนั้น จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องบังคับตนและอย่าทำงาน

8 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

9 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

10 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

11 นอกเหนือจากเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาป และเครื่องเผาบูชาที่ถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

เทศกาลอยู่เพิง

12 “ ‘ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน จงฉลองเทศกาลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเจ็ดวัน

13 จงถวายเครื่องเผาบูชาได้แก่ วัวหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

14 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่มแต่ละตัว ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้แต่ละตัว

15 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

16 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

17 “ ‘ในวันที่สองของเทศกาล จงถวายวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

18 ควบคู่กับเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

19 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

20 “ ‘ในวันที่สาม จงถวายวัวหนุ่มสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

21 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

22 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

23 “ ‘ในวันที่สี่ จงถวายวัวหนุ่มสิบตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

24 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

25 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

26 “ ‘ในวันที่ห้า จงถวายวัวหนุ่มเก้าตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

27 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

28 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

29 “ ‘ในวันที่หก จงถวายวัวหนุ่มแปดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

30 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

31 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

32 “ ‘ในวันที่เจ็ด จงถวายวัวหนุ่มเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

33 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

34 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

35 “ ‘ในวันที่แปด จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

36 จงถวายเครื่องเผาบูชาคือ วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

37 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

38 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

39 “ ‘นอกเหนือจากของถวายตามสัตย์ปฏิญาณและเครื่องบูชาตามความสมัครใจของท่าน จงถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา เครื่องดื่มบูชา และเครื่องสันติบูชา จงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในเทศกาลต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ด้วย’ ”

40 โมเสสจึงแจ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดนี้แก่ประชากรอิสราเอล

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/29-4f85eb96ee1733745a4540fee28f8a2b.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 30

คำปฏิญาณ

1 โมเสสแจ้งหัวหน้าเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาดังนี้คือ

2 ผู้ใดถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือลั่นวาจาสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำปฏิญาณให้เขาทำตามที่ลั่นวาจาไว้ทุกประการ

3 “หญิงสาวคนใดที่ยังอยู่ในการปกครองของบิดาและกล่าวปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือกล่าวคำสาบาน

4 และบิดาของนางได้ยินนางกล่าวปฏิญาณหรือคำสาบานนั้น แต่เขาไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการของนางก็ยังมีผลอยู่

5 แต่หากบิดาของนางได้ยินและคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นก็เป็นโมฆะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนางเนื่องจากบิดาของนางคัดค้าน

6 “หากนางแต่งงานหลังจากที่ได้กล่าวปฏิญาณหรือพลั้งปากสาบานโดยไม่ยั้งคิด

7 และสามีของนางได้ทราบคำปฏิญาณนั้นในภายหลังและไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานของนางก็ยังคงมีผลอยู่

8 แต่หากสามีของนางได้ทราบและคัดค้านคำปฏิญาณหรือวาจาพลั้งปากของนางนั้นก็เป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง

9 “แต่คำปฏิญาณหรือคำสาบานของหญิงม่ายหรือหญิงที่ถูกหย่าร้างจะยังมีผลบังคับ

10 “หากหญิงที่อยู่กินกับสามีกล่าวคำปฏิญาหรือคำสาบานผูกมัดตัวเอง

11 และสามีของนางได้ยินคำปฏิญาณนั้น แต่ไม่ได้คัดค้านหรือทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการก็ยังคงมีผลอยู่

12 แต่หากสามีของนางได้ยินแล้วคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานจากปากของนางถือเป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง

13 ฉะนั้นสามีของนางอาจจะรับรองคำปฏิญาณหรือทำให้เป็นโมฆะก็ได้

14 แต่หากเขาไม่ได้พูดอะไรนับตั้งแต่ที่เขาได้ยิน ให้ถือว่าเขาได้รับรองคำปฏิญาณนั้นแล้ว การที่เขาไม่ได้กล่าวทักท้วงใดๆ ให้ถือเป็นการยืนยันรับรองคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นๆ

15 แต่ถ้าเขามากล่าวทักท้วงในภายหลัง เขาจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดของนาง”

16 ทั้งหมดนี้คือระเบียบซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา และบิดากับบุตรสาวในปกครอง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/30-32df4f5810d12d82e4ef6527a8169d64.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 31

การแก้แค้นชาวมีเดียน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแก้แค้นชาวมีเดียนให้ชนอิสราเอล หลังจากนั้นเจ้าจะตาย”

3 ดังนั้นโมเสสจึงกล่าวแก่ประชากรว่า “พวกเจ้าบางคนจะต้องเตรียมอาวุธไปทำสงครามกับชาวมีเดียน เพื่อนำการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปถึงพวกเขา

4 จงเกณฑ์พลอิสราเอลมาเผ่าละหนึ่งพันคน”

5 พวกเขาจึงรวมกำลังพลได้ 12,000 คนจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล และถืออาวุธเข้าสู่สงคราม

6 โมเสสส่งคนที่ได้มาเผ่าละหนึ่งพันคนนั้นไปรบโดยมีฟีเนหัสบุตรของปุโรหิตเอเลอาซาร์นำทัพไป พร้อมด้วยเครื่องใช้จากสถานนมัสการและแตรสัญญาณ

7 พวกเขาสู้รบกับมีเดียนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส และฆ่าผู้ชายทุกคน

8 รวมทั้งกษัตริย์ทั้งห้าของชาวมีเดียนคือ เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา บาลาอัมบุตรเบโอร์ก็ถูกฆ่าตายด้วยดาบ

9 กองทัพอิสราเอลจับกุมผู้หญิงและเด็กชาวมีเดียนมาเป็นเชลย ทั้งกวาดต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดและริบข้าวของมาด้วย

10 แล้วเผาเมืองและค่ายพักของชาวมีเดียนจนหมดสิ้น

11 พวกเขากวาดต้อนคน ฝูงสัตว์ และริบทรัพย์สินทั้งหมด

12 แล้วนำมามอบให้โมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และชุมนุมประชากรอิสราเอลซึ่งตั้งค่ายพักอยู่ในที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

13 โมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และบรรดาผู้นำของชุมชนออกมารอรับพวกเขานอกค่าย

14 โมเสสโกรธนายทหารและแม่ทัพนายกองที่กลับจากการรบเหล่านั้น

15 โมเสสถามพวกเขาว่า “ทำไมจึงปล่อยให้พวกผู้หญิงรอดชีวิตอยู่ได้?

16 คนเหล่านี้แหละที่ทำตามคำแนะนำของบาลาอัม และชักนำชนอิสราเอลให้หันเหจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในเหตุการณ์ที่เปโอร์ เป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติที่ทำลายล้างประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 จงฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนและผู้หญิงทุกคนที่เคยหลับนอนกับผู้ชายแล้ว

18 แต่จงไว้ชีวิตหญิงสาวที่ยังไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายไว้สำหรับพวกเจ้า

19 “พวกเจ้าทุกคนที่ฆ่าคนหรือแตะต้องซากศพ จงออกไปอยู่นอกค่ายพักเป็นเวลาเจ็ดวัน แล้วจงชำระตัวเองและเชลยของเจ้าในวันที่สามและวันที่เจ็ด

20 จงชำระเครื่องนุ่งห่มและทุกสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ ขนแพะ หรือไม้ให้สะอาดด้วย”

21 จากนั้นปุโรหิตเอเลอาซาร์กล่าวกับทหารที่กลับมาจากการรบว่า “นี่คือข้อกำหนดตามบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสส

22 คือทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุก ตะกั่ว

23 และสิ่งใดๆ ซึ่งทนความร้อนได้ จงเอาไปเผาไฟเพื่อชำระ จากนั้นล้างด้วยน้ำชำระมลทิน แต่สิ่งใดที่ไม่ทนความร้อนจะต้องล้างด้วยน้ำ

24 ในวันที่เจ็ดจงซักเสื้อผ้า แล้วท่านจะสะอาด และกลับเข้ามาในค่ายพักได้”

แบ่งของที่ริบมา

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

26 “เจ้าและปุโรหิตเอเลอาซาร์กับหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของแต่ละเผ่า จงนับจำนวนคนและสัตว์ทั้งหมดที่ยึดมาได้

27 แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของคนที่ร่วมรบ อีกส่วนหนึ่งเป็นของประชากรที่เหลือ

28 ให้นำหนึ่งในห้าร้อยจากส่วนของผู้ที่ร่วมรบ ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะหรือแพะมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

29 ส่วนดังกล่าวที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านี้ยกให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์

30 ให้เลือกหนึ่งในห้าสิบจากส่วนที่เป็นของประชากรอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะ แพะ หรือสัตว์อื่นๆ มอบให้คนเลวีซึ่งรับผิดชอบดูแลพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

31 ดังนั้นโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

32 ทรัพย์สินที่ผู้ออกรบยึดมาได้ได้แก่ แกะ 675,000 ตัว

33 วัว 72,000 ตัว

34 ลา 61,000 ตัว

35 และหญิงสาวพรหมจารี 32,000 คน

36 ครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของบรรดาผู้ออกรบคือ

แกะ 337,500 ตัว

37 ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 675 ตัว

38 วัว 36,000 ตัว ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 72 ตัว

39 ลา 30,500 ตัว ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 61 ตัว

40 ผู้คน 16,000 คน ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 32 คน

41 โมเสสมอบส่วนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดนั้นให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

42 หลังจากโมเสสแบ่งส่วนที่ยกให้ผู้ร่วมรบไปแล้ว อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของประชากรอิสราเอล

43 ได้แก่ แกะ 337,500 ตัว

44 วัว 36,000 ตัว

45 ลา 30,500 ตัว

46 และผู้คน 16,000 คน

47 โมเสสมอบหนึ่งในห้าสิบของส่วนข้างต้นนี้ให้คนเลวีผู้รับผิดชอบดูแลพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้

48 จากนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองซึ่งบัญชาการพลรบต่างๆ มาพบโมเสส

49 และเรียนว่า “พวกข้าพเจ้าได้ตรวจนับคนที่ออกรบ ไม่มีล้มหายตายจากไปแม้แต่คนเดียว

50 ดังนั้นพวกเราจึงนำเครื่องทองที่เราริบได้ มาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้แก่ กำไลมือ สร้อยข้อมือ แหวนตรา ตุ้มหู และสร้อยคอ เพื่อขอลบบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า”

51 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์รับเครื่องทองของถวายทั้งหมดนี้จากพวกเขา

52 รวมแล้วได้ทองที่เหล่าแม่ทัพนายกองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าหนักประมาณ 190 กิโลกรัม

53 ทหารแต่ละคนได้ครองทรัพย์สินต่างๆ เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว

54 โมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์รับเครื่องทองเหล่านี้จากเหล่าแม่ทัพนายกอง และนำมาเก็บรักษาไว้ในเต็นท์นัดพบ เป็นอนุสรณ์สำหรับประชากรอิสราเอลต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/31-6c71b8625f302adcb5e8b72faa6dad51.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 32

เผ่าที่อยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

1 คนเผ่ารูเบนและคนเผ่ากาดซึ่งมีฝูงสัตว์เป็นจำนวนมาก เห็นว่าดินแดนยาเซอร์และกิเลอาดเป็นทำเลเหมาะแก่ฝูงสัตว์

2 ดังนั้นจึงพากันมาพบโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และเหล่าผู้นำของชุมชน แล้วกล่าวว่า

3 “อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน

4 ดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปราบต่อหน้าประชากรอิสราเอล เป็นทำเลที่ดีเหมาะสำหรับฝูงสัตว์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

5 หากพวกเราเป็นที่โปรดปรานของท่าน ก็โปรดยกดินแดนส่วนนี้ให้ผู้รับใช้ของท่านแทนดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนนั้นเถิด”

6 โมเสสกล่าวกับคนเผ่ากาดและคนเผ่ารูเบนว่า “จะให้พี่น้องร่วมชาติออกรบขณะที่พวกท่านนั่งอยู่ที่นี่หรือ?

7 เหตุใดพวกท่านบั่นทอนกำลังใจพี่น้องอิสราเอลไม่ให้ข้ามไปยังดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่พวกเขา?

8 บรรพบุรุษของพวกท่านก็ทำเช่นนี้ เมื่อเราส่งพวกเขาจากคาเดชบารเนียไปสำรวจดินแดนนั้น

9 หลังจากพวกเขากลับมาจากหุบเขาเอชโคล์และดูดินแดนนั้นแล้ว พวกเขาก็ทำให้พี่น้องอิสราเอลท้อใจ ไม่ยอมเข้าสู่ดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เขา

10 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธและทรงปฏิญาณว่า

11 ‘เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ติดตามเราอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นจะไม่มีผู้ชายสักคนที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปซึ่งออกมาจากอียิปต์จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ

12 ไม่มีเลยสักคน ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์แห่งเคนัสและโยชูวาบุตรนูนผู้ได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดใจ’

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอล และทรงกระทำให้เขาทั้งหลายเร่ร่อนในถิ่นกันดารตลอดสี่สิบปี ตราบจนคนในชั่วอายุนั้นที่ทำชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ตายหมด

14 “แต่นี่พวกท่านเชื้อไม่ทิ้งแถว เดินตามรอยบรรพบุรุษ ทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งขึ้น

15 หากพวกท่านหันไปจากการติดตามพระเจ้า พระองค์จะทรงปล่อยประชากรทั้งหมดนี้ไว้ในถิ่นกันดารอีก ท่านย่อมจะเป็นต้นเหตุของความย่อยยับของเหล่าประชากร”

16 พวกเขาจึงชี้แจงว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น พวกข้าพเจ้าเพียงแต่จะสร้างคอกให้ฝูงสัตว์เลี้ยง และสร้างบ้านเรือนให้ผู้หญิงกับเด็กอยู่

17 ส่วนพวกข้าพเจ้าจะถืออาวุธนำหน้าชนอิสราเอลอื่นๆ จนกว่าจะได้นำพวกเขาไปยังดินแดนกรรมสิทธิ์ ในขณะที่พวกผู้หญิงกับเด็กของเราจะอาศัยในเมืองป้อมปราการ เพื่อปกป้องพวกเขาให้พ้นจากชาวดินแดนนั้น

18 พวกข้าพเจ้าจะไม่กลับมาบ้านจนกว่าอิสราเอลทุกคนจะได้รับมรดกของเขาเสียก่อน

19 พวกเราจะไม่รับดินแดนใดๆ ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เพราะเราได้รับมรดกของเราที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนี้แล้ว”

20 โมเสสจึงกล่าวว่า “หากท่านจะทำตามคำพูด คือถืออาวุธออกรบฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า

21 และหากทุกคนในพวกท่านจับอาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตราบจนพระองค์ทรงขับไล่เหล่าศัตรูของพระองค์พ้นจากเบื้องพระพักตร์

22 ท่านจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อแผ่นดินนั้นสยบราบคาบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และท่านจะพ้นจากหน้าที่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่ออิสราเอล แล้วดินแดนฟากตะวันออกนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

23 “แต่ถ้าพวกท่านไม่ทำตามที่พูดไว้ ท่านก็ได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจงรู้แน่เถิดว่าบาปนั้นจะตามสนองท่าน

24 จงไปสร้างบ้านเมืองให้ผู้หญิงและเด็กของท่าน สร้างคอกให้ฝูงสัตว์ของท่าน และจงทำตามที่ท่านสัญญาไว้”

25 ชนเผ่ารูเบนและเผ่ากาดตอบว่า “เราผู้รับใช้ของท่านจะทำตามที่เจ้านายของเราสั่ง

26 บุตรหลาน ภรรยา และฝูงสัตว์ของข้าพเจ้าทั้งหลายจะอยู่ที่เมืองต่างๆ ในดินแดนกิเลอาดนี้

27 แต่ผู้รับใช้ของท่านที่เป็นชายทุกคนจะจับอาวุธออกศึก จะข้ามไปสู้รบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่เจ้านายของเราบอก”

28 โมเสสจึงออกคำสั่งแก่ปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน และผู้นำเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ว่า

29 “หากผู้ชายเผ่ากาดและเผ่ารูเบนทุกคนจับอาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนร่วมออกรบกับท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเมื่อปราบดินแดนนั้นได้แล้ว จงยกดินแดนกิเลอาดให้พวกเขาครอบครอง

30 แต่หากพวกเขาไม่ข้ามไปร่วมทัพกับท่าน พวกเขาจะต้องรับดินแดนร่วมกับตระกูลอื่นๆ ในคานาอัน”

31 คนเผ่ากาดและเผ่ารูเบนตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านจะปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

32 เราจะถืออาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่คานาอันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ดินแดนกรรมสิทธิ์ของเราจะอยู่ที่ฟากนี้ของแม่น้ำ”

33 โมเสสจึงกำหนดให้ดินแดนของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ และของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน ทั้งที่ดินและเมืองต่างๆ กับอาณาบริเวณโดยรอบเป็นของเผ่ากาด รูเบน และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ

34 คนเผ่ากาดสร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์

35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์

36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีป้อมปราการและสร้างคอกสำหรับฝูงสัตว์

37 เผ่ารูเบนสร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาธาอิม

38 เนโบ บาอัลเมโอน (ชาวอิสราเอลได้เปลี่ยนชื่อเมืองเหล่านี้) และสิบมาห์ พวกเขาได้ตั้งชื่อเมืองที่สร้างขึ้นใหม่

39 เชื้อสายมาคีร์แห่งเผ่ามนัสเสห์ไปตีเมืองกิเลอาด และขับไล่ชาวอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่นั่นออกไป

40 โมเสสจึงยกเมืองกิเลอาดให้คนมาคีร์ซึ่งเป็นลูกหลานของมนัสเสห์อาศัย และพวกเขาได้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น

41 ยาอีร์แห่งเผ่ามนัสเสห์ได้ยึดถิ่นฐานของพวกเขาและเปลี่ยนชื่อเป็นฮัฟโวทยาอีร์

42 และโนบาห์ได้ยึดเคนาทกับหมู่บ้านโดยรอบ และตั้งชื่อว่าโนบาห์ตามชื่อของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/32-323f09a219a30d44520c8160211a5059.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 33

เส้นทางการเดินทางของอิสราเอล

1 ต่อไปนี้คือเส้นทางออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นหมู่เหล่าภายใต้การนำของโมเสสกับอาโรน

2 โมเสสบันทึกลำดับการเดินทางทุกระยะตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

3 ชนอิสราเอลออกจากเมืองราเมเสสในวันที่สิบห้าเดือนที่หนึ่ง วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีปัสกา พวกเขายกพลออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ต่อหน้าต่อตาชาวอียิปต์

4 ซึ่งยุ่งอยู่กับการฝังศพบรรดาบุตรหัวปีที่ถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าประหาร เนื่องด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษพระต่างๆ ของอียิปต์

5 ชนอิสราเอลออกจากราเมเสสมาตั้งค่ายที่สุคคท

6 จากสุคคทมาตั้งค่ายที่เอธามใกล้ถิ่นกันดาร

7 จากเอธามวกกลับไปที่ปีหะหิโรท ไปยังแถบตะวันออกของบาอัลเซโฟน และตั้งค่ายใกล้ๆ มิกดล

8 ออกจากปีหะหิโรท แล้วข้ามทะเลเข้าไปในถิ่นกันดาร และหลังจากเดินทางเป็นเวลาสามวันในถิ่นกันดาร เอธามก็มาตั้งค่ายที่มาราห์

9 ออกจากมาราห์แล้วมาถึงเอลิม ที่ซึ่งมีธารน้ำพุสิบสองแห่ง และมีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่นั่น

10 จากเอลิม พวกเขามาตั้งค่ายพักริมทะเลแดง

11 และจากทะเลแดงมาตั้งค่ายที่ถิ่นกันดารสิน

12 จากถิ่นกันดารสินมาตั้งค่ายที่โดฟคาห์

13 จากโดฟคาห์มาตั้งค่ายที่อาลูช

14 จากอาลูชมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่ซึ่งไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม

15 จากเรฟีดิม พวกเขามายังถิ่นกันดารซีนาย

16 จากถิ่นกันดารซีนายมาตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์

17 จากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาตั้งค่ายที่ฮาเซโรท

18 จากฮาเซโรทมาตั้งค่ายที่ริทมาห์

19 จากริทมาห์มาตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ

20 จากริมโมนเปเรศมาตั้งค่ายที่ลิบนาห์

21 จากลิบนาห์มาตั้งค่ายที่ริสสาห์

22 จากริสสาห์มาตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์

23 จากเคเฮลาธาห์มาตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์

24 จากภูเขาเชเฟอร์มาตั้งค่ายที่ฮาราดาห์

25 จากฮาราดาห์มาตั้งค่ายที่มักเฮโลท

26 จากมักเฮโลทมาตั้งค่ายที่ทาหัท

27 จากทาหัทมาตั้งค่ายที่เทราห์

28 จากเทราห์มาตั้งค่ายที่มิทคาห์

29 จากมิทคาห์มาตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์

30 จากฮัชโมนาห์มาตั้งค่ายที่โมเสโรท

31 จากโมเสโรทมาตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน

32 จากเบเนยาอะคันมาตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด

33 จากโฮร์ฮักกีดกาดมาตั้งค่ายที่โยทบาธาห์

34 จากโยทบาธาห์มาตั้งค่ายที่อับโรนาห์

35 จากอับโรนาห์มาตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์

36 จากเอซีโอนเกเบอร์มาตั้งค่ายที่คาเดชในถิ่นกันดารศิน

37 จากคาเดชมาตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ตรงชายแดนเอโดม

38 ปุโรหิตอาโรนขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและสิ้นชีวิตที่นั่น ในวันที่หนึ่งเดือนที่ห้าปีที่สี่สิบนับตั้งแต่ชนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์

39 เมื่ออาโรนสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์นั้น เขามีอายุ 123 ปี

40 กษัตริย์ชาวคานาอันแห่งอาราดผู้อาศัยอยู่ในเนเกบที่คานาอันได้ข่าวว่าชนอิสราเอลยกมา

41 จากภูเขาโฮร์มาตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์

42 จากศัลโมนาห์มาตั้งค่ายที่ปูโนน

43 จากปูโนนมาตั้งค่ายที่โอโบท

44 จากโอโบทมาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ

45 จากไอยิมมาตั้งค่ายที่ดีโบนกาด

46 จากดีโบนกาดมาตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม

47 จากอัลโมนดิบลาธาอิมมาตั้งค่ายที่เทือกเขาอาบาริมใกล้เนโบ

48 จากเทือกเขาอาบาริมมาตั้งค่ายในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

49 ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทจดอาแบลชิทธีม

50 ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคนี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า

51 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนคานาอัน

52 จงขับไล่ชาวดินแดนนั้นออกไปให้หมด และทำลายล้างรูปเคารพทั้งปวงของพวกเขา ไม่ว่าหินสลัก รูปเคารพที่หล่อขึ้น และสถานบูชาบนที่สูงของพวกเขา

53 จงเข้ายึดและตั้งถิ่นฐานที่นั่นเพราะเรายกดินแดนนี้ให้เจ้า

54 จงทอดฉลากแบ่งสรรที่ดินกันตามตระกูล ที่ดินผืนใหญ่จะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลใหญ่ ส่วนที่เล็กลงมาจะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลเล็ก สิ่งที่เขาจับฉลากได้ก็จะเป็นของเขา จงแบ่งที่ดินไปตามเผ่าบรรพบุรุษของท่าน

55 “ ‘แต่หากเจ้าทั้งหลายไม่ยอมขับไล่ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นออกไป คนที่เหลืออยู่จะเป็นหอกข้างแคร่และจะเป็นหนามยอกอกของเจ้า พวกเขาจะก่อปัญหาให้กับเจ้าในดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่

56 และเราจะทำกับเจ้าตามที่เราวางแผนไว้ว่าจะทำกับพวกเขา’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/33-c8061320dd7d61798715ebcde54367aa.mp3?version_id=179—