Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 34

เขตแดนคานาอัน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายเข้าสู่คานาอันดินแดนซึ่งจะแบ่งสรรยกให้เป็นมรดกของเจ้านั้นจะมีพรมแดนดังนี้

3 “ ‘ดินแดนทางใต้คือถิ่นกันดารศิน เลียบไปตามพรมแดนเอโดม เขตแดนทางใต้ด้านฝั่งตะวันออกเริ่มจากทะเลตาย

4 ไล่ลงมาผ่านช่องแคบแมงป่องไปยังศิน ลงใต้ไปที่คาเดชบารเนีย เรื่อยมาถึงฮาซารัดดาร์และอัสโมน

5 จากอัสโมนวกไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์และสิ้นสุดลงที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

6 “ ‘พรมแดนตะวันตกของเจ้าคือชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

7 “ ‘พรมแดนด้านเหนือของเจ้าเริ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยไปถึงภูเขาโฮร์

8 ไปยังเลโบฮามัทไปเศดัด

9 เรื่อยไปถึงศิโฟรนจนจดฮาซาเรนัน

10 “ ‘พรมแดนตะวันออกเริ่มจากฮาซาเรนันจนถึงที่เชฟาม

11 เรื่อยลงมาถึงริบลาห์ ด้านตะวันออกของเมืองอายิน ไล่มาตามลาดเขาด้านตะวันออกของทะเลคินเนเรท

12 แล้วเรื่อยมาตามแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลเกลือ

“ ‘นี่จะเป็นดินแดนของพวกเจ้าตามพรมแดนโดยรอบ’ ”

13 โมเสสสั่งชนอิสราเอลว่า “จงจับฉลากแบ่งสรรดินแดนนี้เป็นมรดกองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ให้แบ่งกันในหมู่เก้าเผ่าและอีกครึ่งเผ่า

14 เพราะเผ่ารูเบน กาดและมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้รับมรดกของตนแล้ว

15 สองเผ่าและครึ่งเผ่านี้ได้รับดินแดนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแห่งเยรีโคเป็นมรดก”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

17 “ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผู้ที่จะทำหน้าที่จัดสรรมรดกในดินแดนคือ ปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน

18 และผู้นำซึ่งได้รับแต่งตั้งจากแต่ละเผ่า เพื่อช่วยแบ่งสรรดินแดนนั้น

19 รายชื่อของพวกเขา ได้แก่

คาเลบบุตรเยฟุนเนห์

จากเผ่ายูดาห์

20 เชมูเอลบุตรอัมมีฮูด

จากเผ่าสิเมโอน

21 เอลีดาดบุตรคิสโลน

จากเผ่าเบนยามิน

22 บุคคีบุตรโยกลี

ผู้นำจากเผ่าดาน

23 ฮันนีเอลบุตรเอโฟด

ผู้นำจากเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ

24 เคมูเอลบุตรชิฟทาน

ผู้นำจากเผ่าเอฟราอิมบุตรโยเซฟ

25 เอลีซาฟานบุตรปารนาค

ผู้นำจากเผ่าเศบูลุน

26 ปัลทีเอลบุตรอัสซาน

ผู้นำจากเผ่าอิสสาคาร์

27 อาหิฮูดบุตรเชโลมี

ผู้นำจากเผ่าอาเชอร์

28 เปดาเฮลบุตรอัมมีฮูด

ผู้นำจากเผ่านัฟทาลี”

29 คนเหล่านี้คือผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้จัดสรรมรดกแก่ชนอิสราเอลในดินแดนคานาอัน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/34-f041d22e26ceb23ed99b0f4df1f8730d.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 35

เมืองของพวกเลวี

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า

2 “จงสั่งชนอิสราเอลให้ยกเมืองบางเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบจากมรดกที่ชาวอิสราเอลครอบครองให้แก่ชนเลวี

3 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่พักอาศัยของพวกเขา และทุ่งหญ้าซึ่งอยู่รายรอบสำหรับฝูงสัตว์ของเขา

4 “ทุ่งหญ้าของชนเลวีมีระยะห่างประมาณ 450 เมตรจากกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน

5 ฉะนั้นจะมีอาณาเขตด้านทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกด้านละประมาณ 900 เมตรโดยมีเมืองอยู่ใจกลาง พวกเขาจะได้ใช้พื้นที่นี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์สำหรับเมืองนั้นๆ

เมืองลี้ภัย

6 “เจ้าจงยกเมืองหกแห่งให้แก่คนเลวี เพื่อเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปลี้ภัย นอกจากนั้นจงยกเมืองต่างๆ ให้อีก 42 เมือง

7 เจ้าต้องยกเมืองให้ชนเลวีรวมทั้งหมด 48 หัวเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบ

8 เมืองที่เจ้ายกให้คนเลวีจากดินแดนที่คนอิสราเอลครอบครองจะต้องเป็นไปตามสัดส่วนของมรดกในแต่ละเผ่า คือเผ่าที่มีมากก็ให้มาก แต่เผ่าที่มีน้อยก็ให้น้อย”

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

10 “จงบอกชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่คานาอันแล้ว

11 จงกำหนดเมืองลี้ภัยไว้ เพื่อผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีเข้าไปพักพิง

12 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่หลบหนีจากการแก้แค้นจากญาติของผู้ตาย เพื่อไม่ให้จำเลยตายก่อนที่จะถูกไต่สวนต่อหน้าชุมนุมประชากร

13 เมืองทั้งหกแห่งนี้จะเป็นเมืองลี้ภัย

14 โดยมีสามแห่งตั้งอยู่ในดินแดนคานาอันและอีกสามแห่งอยู่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

15 เมืองลี้ภัยทั้งหกแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่หลบภัยของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่สำหรับคนต่างด้าวและผู้สัญจรอีกด้วย เพื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาจะได้หนีไปที่นั่น

16 “ ‘แต่ผู้ใดใช้เหล็กฟาดผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร

17 หรือหากผู้ใดใช้ก้อนหินทุบผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร

18 หรือหากผู้ใดใช้ไม้ตีผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกร และต้องถูกประหารเช่นกัน

19 ผู้แก้แค้นจะสังหารฆาตกรได้เมื่อพบตัว

20 หากผู้ใดจงใจผลักหรือขว้างสิ่งใดใส่ผู้อื่นด้วยความมุ่งร้าย ทำให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

21 หรือหากผู้ใดชกต่อยผู้อื่นจนตายด้วยความโกรธ เขาเป็นฆาตกร ผู้แก้แค้นจะฆ่าเขาได้เมื่อพบตัว

22 “ ‘แต่หากผู้ใดผลักหรือขว้างปาสิ่งใดใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่ได้ทำด้วยความเกลียดชัง

23 หรือทำก้อนหินตกใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่เห็น และไม่ได้เป็นศัตรูกัน เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

24 ชุมนุมประชากรจะต้องตัดสินความระหว่างบุคคลนั้นกับผู้แก้แค้นตามกฎระเบียบเหล่านี้

25 ชุมนุมประชากรต้องปกป้องผู้ถูกกล่าวหาจากผู้แก้แค้น และส่งเขากลับไปยังเมืองที่เขาไปลี้ภัยนั้น และเขาต้องอยู่ที่นั่นจวบจนมหาปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์สิ้นชีวิตลง

26 “ ‘แต่หากผู้ถูกกล่าวหาหนีออกจากเมืองลี้ภัย

27 และผู้แก้แค้นพบเขานอกเมืองนั้นและฆ่าเขาไม่ถือเป็นการฆาตกรรม

28 เพราะผู้ถูกกล่าวหาต้องพักอยู่ในเมืองลี้ภัยจวบจนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิตเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจึงสามารถกลับภูมิลำเนาเดิมของตน

29 “ ‘นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับเจ้าทั้งหลายสืบไปทุกชั่วอายุ ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ที่ไหน

30 “ ‘ฆาตกรทุกคนจะถูกประหารก็ต่อเมื่อมีพยานมากกว่าหนึ่งปาก หากมีพยานกล่าวหาเพียงปากเดียว จำเลยไม่ต้องถูกประหาร

31 “ ‘อย่ารับค่าไถ่ชีวิตของฆาตกรผู้สมควรตาย เขาจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน

32 “ ‘และอย่ารับค่าไถ่จากผู้ที่หนีไปอยู่ในเมืองลี้ภัย เพื่อให้เขากลับภูมิลำเนาก่อนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิต

33 “ ‘อย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่แปดเปื้อนมลทิน เพราะการฆาตกรรมทำให้แผ่นดินแปดเปื้อน และไม่อาจชำระมลทินให้แผ่นดินได้ นอกจากใช้เลือดของฆาตกร

34 เจ้าอย่าได้สร้างมลทินแก่แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่และที่เราสถิตอยู่ เพราะเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางชนอิสราเอล’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/35-e954382322ddce418fb11828bd264c6f.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 36

มรดกของบุตรสาวเศโลเฟหัด

1 บรรดาหัวหน้าครอบครัวในตระกูลกิเลอาดบุตรมาคีร์ บุตรมนัสเสห์ ผู้ซึ่งอยู่ในตระกูลต่างๆ ที่เป็นลูกหลานของโยเซฟ มาพบโมเสสและพวกผู้นำซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวของอิสราเอล

2 พวกเขาร้องเรียนว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านจัดสรรที่ดินโดยจับฉลากกันในหมู่ประชากรอิสราเอล และให้ยกมรดกของเศโลเฟหัดญาติของเราแก่เหล่าบุตรสาวของเขา

3 แต่หากพวกนางแต่งงานกับชนอิสราเอลเผ่าอื่น ที่ดินมรดกของพวกนางก็จะกลายเป็นของคนเผ่าที่นางแต่งงานด้วย ทำให้ที่ดินรวมของเผ่าของเราลดลงไป

4 เมื่อถึงปีกึ่งศตวรรษของอิสราเอล มรดกของพวกนางก็จะถูกรวมเข้ากับมรดกของเผ่าที่พวกนางแต่งงานด้วย เป็นการเอาที่ดินของพวกนางไปจากส่วนมรดกตามเผ่าที่เป็นของบรรพบุรุษของเรา”

5 โมเสสจึงแจ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าชุมชนอิสราเอลว่า “สิ่งที่เผ่าของลูกหลานโยเซฟร้องเรียนมาก็ถูกต้อง

6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่าบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องเป็นคนในเผ่าของบิดาของพวกนาง

7 มรดกในอิสราเอลจะต้องไม่เปลี่ยนกรรมสิทธิ์จากของเผ่าหนึ่งไปเป็นของอีกเผ่าหนึ่ง เพราะชาวอิสราเอลทุกคนจะต้องรักษาที่ดินของเผ่าซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา

8 หญิงสาวทุกเผ่าของอิสราเอลที่เป็นทายาทรับมรดกจะต้องแต่งงานกับชายเผ่าเดียวกัน เพื่ออิสราเอลจะรักษาที่ดินอันเป็นมรดกของบรรพบุรุษของตน

9 มรดกจะต้องไม่เปลี่ยนกรรมสิทธิ์จากเผ่าหนึ่งไปสู่อีกเผ่าหนึ่ง เพราะว่าชาวอิสราเอลแต่ละเผ่าจะต้องรักษาที่ดินอันเป็นมรดกของตนไว้”

10 บุตรสาวของเศโลเฟหัดจึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

11 บุตรสาวของเศโลเฟหัดทั้งมาห์ลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และโนอาห์ จึงแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องทางสายบิดา

12 พวกนางแต่งงานกับชายในตระกูลต่างๆ ของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ มรดกของพวกนางจึงยังคงอยู่ในตระกูลและเผ่าของบิดา

13 ทั้งหมดนี้คือคำบัญชาและกฎระเบียบซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ประชากรอิสราเอลผ่านทางโมเสสในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/36-36f4b058ff29b6ec0ee9cad90fdab984.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 1

พระบัญชาให้ออกจากโฮเรบ

1 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำซึ่งโมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงในถิ่นกันดารฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน คือที่ราบอาราบาห์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามเมืองสูฟ ที่แห่งนี้อยู่ระหว่างปารานกับโทเฟล ลาบาน ฮาเซโรท และดีซาหับ

2 (การเดินทางจากโฮเรบไปยังคาเดชบารเนียผ่านไปทางภูเขาเสอีร์ ต้องใช้เวลาสิบเอ็ดวัน)

3 ในวันที่หนึ่ง เดือนที่สิบเอ็ด ปีที่สี่สิบ โมเสสประกาศแก่ชนอิสราเอลถึงสิ่งทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสสเกี่ยวกับพวกเขา

4 ในเวลานั้นเขาเพิ่งรบชนะกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ผู้ปกครองเฮชโบน และพวกเขารบชนะกษัตริย์โอกแห่งบาชานผู้ปกครองอัชทาโรทที่เอเดรอี

5 โมเสสเริ่มชี้แจงบทบัญญัติที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนในดินแดนโมอับดังนี้ว่า

6 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสกับเราที่ภูเขาโฮเรบว่า “พวกเจ้าพักอยู่ที่ภูเขานี้นานพอแล้ว

7 จงเลิกค่ายและรุกเข้าไปในแดนเทือกเขาของชาวอาโมไรต์ จงเข้าไปยังชนชาติที่อยู่ใกล้เคียงทั้งปวงในที่ราบอาราบาห์ ในภูเขา ในเชิงเขาทางตะวันตก ในเนเกบและชายฝั่งทะเล ไปยังดินแดนคานาอันและเลบานอน จนจดแม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำยูเฟรติส

8 ดูเถิดเราได้ยกดินแดนนี้ให้เจ้า จงไปครอบครองดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาว่าจะยกให้แก่บรรพบุรุษของเจ้าคืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และกับวงศ์วานของพวกเขา”

การแต่งตั้งผู้นำ

9 ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านว่า “พวกท่านเป็นภาระหนักเกินกว่าข้าพเจ้าจะรับผิดชอบเพียงคนเดียว

10 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงให้ท่านทวีจำนวนขึ้นจนในวันนี้มีมากมายดุจดวงดาวในท้องฟ้า

11 ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกท่านทรงเพิ่มพูนพวกท่านยิ่งขึ้นอีกพันเท่า และทรงอวยพรพวกท่านตามที่ทรงสัญญาไว้!

12 แต่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียวจะรับปัญหา ภาระ และกรณีพิพาททั้งปวงของพวกท่านได้อย่างไร?

13 จงเลือกบางคนจากแต่ละเผ่า ซึ่งเป็นคนเฉลียวฉลาด มีความเข้าใจ และเป็นที่นับถือ ข้าพเจ้าจะแต่งตั้งคนเหล่านั้นให้เป็นผู้นำของพวกท่าน”

14 ท่านตอบข้าพเจ้าว่า “สิ่งที่ท่านเสนอมานั้นดีแล้ว”

15 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงแต่งตั้งบรรดาผู้นำซึ่งเฉลียวฉลาดและเป็นที่นับถือจากเผ่าต่างๆ ให้เป็นผู้บังคับบัญชาคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง และสิบคนบ้าง และให้เป็นเจ้าหน้าที่ประจำเผ่า

16 ข้าพเจ้ากำชับบรรดาตุลาการของท่านในครั้งนั้นว่าให้ฟังความและตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นกรณีพิพาทระหว่างพี่น้องอิสราเอล หรือระหว่างพี่น้องอิสราเอลกับคนต่างด้าว

17 อย่าตัดสินความลำเอียงเข้าข้างใคร จงฟังความทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยเสมอหน้ากัน ไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด เพราะการพิพากษาเป็นของพระเจ้า ข้อพิพาทใดๆ ซึ่งยุ่งยากเกินกำลังก็ให้มาแจ้งข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะฟังความเอง

18 ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้กำชับทุกสิ่งที่พวกท่านต้องทำ

ส่งสายสืบ

19 จากนั้นเราเดินทางออกจากโฮเรบตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชา มุ่งหน้าไปยังแถบเทือกเขาของชาวอาโมไรต์ ผ่านถิ่นกันดารอันกว้างใหญ่และน่าสะพรึงกลัวตามที่ท่านเห็นแล้ว จนมาถึงคาเดชบารเนีย

20 ข้าพเจ้าจึงกล่าวแก่ท่านว่า “พวกท่านมาถึงแดนเทือกเขาของชาวอาโมไรต์ ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจะประทานแก่เรา

21 ดูเถิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ทรงยกดินแดนนี้ให้พวกท่าน จงขึ้นไปยึดครองตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษตรัสไว้กับท่าน อย่ากลัว อย่าท้อแท้เลย”

22 แต่พวกท่านมาหาข้าพเจ้าและกล่าวว่า “ให้เราส่งสายสืบไปในดินแดนนั้นและกลับมารายงานเส้นทางกับเมืองที่เราควรจะเข้าไปยึดครองก่อน”

23 ความคิดนี้ฟังดูเข้าที ข้าพเจ้าจึงเลือกสายสืบสิบสองคนโดยเลือกมาเผ่าละหนึ่งคน

24 คนเหล่านั้นขึ้นไปยังแถบเทือกเขา ไปถึงหุบเขาเอชโคล์และสำรวจดูที่นั่น

25 พวกเขาเก็บผลไม้จากดินแดนนั้นลงมาให้เราและรายงานว่า “ดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรากำลังจะประทานให้เรานั้นอุดมสมบูรณ์”

ขัดขืนพระบัญชา

26 แต่พวกท่านไม่ยอมเข้าไปในดินแดนนั้น พวกท่านฝ่าฝืนพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

27 พวกท่านบ่นอยู่ในเต็นท์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเกลียดเรา จึงทรงนำเราออกจากอียิปต์เพื่อให้ชาวอาโมไรต์ทำลาย

28 เราจะไปไหนได้ พี่น้องของเราทำให้เราขวัญหนีดีฝ่อ เขาบอกว่า ‘ผู้คนแถบนั้นแข็งแรงและสูงใหญ่กว่าเรา เมืองทั้งหลายก็ใหญ่โต กำแพงสูงเสียดฟ้า ทั้งยังเห็นมนุษย์ยักษ์อานาคที่นั่นด้วย’ ”

29 ข้าพเจ้าจึงบอกท่านว่า “อย่าตระหนกตกใจ อย่ากลัวพวกเขาเลย

30 พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงนำหน้าท่าน พระองค์จะทรงต่อสู้เพื่อท่าน เหมือนที่ทรงทำต่อหน้าต่อตาพวกท่านทั้งในอียิปต์

31 และในถิ่นกันดาร ที่นั่นท่านได้เห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงโอบอุ้มท่านดั่งพ่อโอบอุ้มลูกตลอดทางมาจนถึงที่นี่”

32 ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังไม่ไว้วางใจพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน

33 พระองค์ทรงนำหน้าท่านมาตลอดทางด้วยไฟในตอนกลางคืนและด้วยเมฆในตอนกลางวัน เพื่อเสาะหาที่ตั้งค่ายพักและเพื่อชี้แนะทางที่ท่านควรจะไป

34 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินคำบ่นว่าของท่าน ก็ทรงพระพิโรธและทรงสัญญาอย่างหนักแน่นว่า

35 “ไม่มีสักคนเดียวในชั่วอายุอันเลวร้ายนี้จะได้เห็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเราสัญญาว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของเจ้า

36 ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์ เขาจะได้เห็นดินแดนนั้น และเราจะมอบดินแดนที่เขาเหยียบย่างให้แก่เขากับวงศ์วานของเขาเพราะเขาได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดใจ”

37 เพราะพวกท่านเป็นเหตุองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงพระพิโรธข้าพเจ้าด้วยและตรัสว่า “เจ้าก็จะไม่ได้เข้าในดินแดนนั้นเช่นกัน

38 แต่โยชูวาบุตรนูนผู้ช่วยของเจ้าจะได้เข้าไป จงให้กำลังใจเขาเพราะเขาจะนำอิสราเอลเข้ายึดครองดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์

39 และเด็กเล็กๆ ซึ่งเจ้าพูดว่าจะถูกจับเป็นเชลย ลูกหลานของเจ้าผู้ยังไม่รู้ดีรู้ชั่ว พวกเขาจะได้เข้าในดินแดนนั้น เราจะมอบดินแดนนั้นให้เขาครอบครอง

40 แต่ส่วนพวกท่านจงวกกลับข้ามถิ่นกันดารไปยังทะเลแดง”

41 แล้วพวกท่านจึงตอบว่า “เราได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเราจะขึ้นไปต่อสู้ตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา” ดังนั้นท่านทุกคนจึงถืออาวุธพร้อมรบ คิดว่าจะบุกเข้าไปในแถบเทือกเขาได้อย่างง่ายดาย

42 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงบอกพวกเขาว่า ‘อย่าขึ้นไปต่อสู้ เพราะเราจะไม่อยู่กับเจ้า เจ้าจะพ่ายแพ้ศัตรู’ ”

43 ข้าพเจ้าบอกพวกท่าน แต่ท่านไม่ยอมฟัง กลับฝ่าฝืนพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก และบุกขึ้นไปยังแถบเทือกเขาด้วยความหยิ่งผยอง

44 ชาวอาโมไรต์ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบเทือกเขานั้นยกทัพออกมาสู้รบกับท่าน พวกเขารุกไล่ท่านเหมือนฝูงผึ้ง และไล่ตีพวกท่านจากเสอีร์ตลอดทางมาถึงโฮรมาห์

45 พวกท่านกลับมาร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยเสียงร่ำไห้ของท่านและไม่ทรงฟังท่าน

46 ท่านจึงพักอยู่ที่คาเดชเป็นเวลานาน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/1-6cdafde51e75badf98d5606353d70f52.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 2

การเร่ร่อนในถิ่นกันดาร

1 จากนั้นเราวกกลับไปยังถิ่นกันดาร ตามเส้นทางสู่ทะเลแดงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาข้าพเจ้า เรารอนแรมอยู่แถบเทือกเขาเสอีร์เป็นเวลานาน

2 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า

3 “เจ้าทั้งหลายวนเวียนอยู่แถบเทือกเขานี้นานพอแล้ว บัดนี้จงขึ้นไปทางเหนือ

4 จงสั่งประชากรดังนี้ว่า ‘เจ้ากำลังจะผ่านดินแดนของพี่น้องของเจ้าผู้เป็นวงศ์วานของเอซาวซึ่งอาศัยอยู่ในเสอีร์ พวกเขาจะหวาดกลัวเจ้า แต่จงระมัดระวัง

5 อย่ายั่วยุพวกเขาให้ทำสงครามเพราะเราจะไม่ยกดินแดนของเขาให้เจ้าแม้แต่คืบเดียว เราได้ยกดินแดนเทือกเขาเสอีร์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเอซาวแล้ว

6 เจ้าจะต้องจ่ายเงินค่าน้ำค่าอาหารให้แก่เขา’ ”

7 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอวยพรการงานทุกอย่างที่ท่านทำ ทรงดูแลท่านตลอดการเดินทางผ่านถิ่นกันดารอันกว้างใหญ่นี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านสถิตกับท่านตลอดสี่สิบปีมานี้ และท่านไม่ได้ขัดสนสิ่งใดเลย

8 ฉะนั้นเราจึงเดินทางผ่านพี่น้องของเรา คือวงศ์วานเอซาวซึ่งอาศัยในเสอีร์ หันจากเส้นทางอาราบาห์ซึ่งมาจากเอลัทและเอซีโอนเกเบอร์ และเลี้ยวไปตามทางถิ่นกันดารโมอับ

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าไปรบกวนหรือยั่วยุชาวโมอับให้ทำสงคราม เพราะเราจะไม่ยกดินแดนส่วนใดของเขาให้เจ้า เราได้ยกดินแดนอาร์ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่วงศ์วานของโลทแล้ว”

10 (ชาวเอมิมเคยอาศัยอยู่ที่นั่น เป็นชนชาติใหญ่และเข้มแข็ง สูงใหญ่เหมือนมนุษย์ยักษ์อานาค

11 ทั้งชาวเอมิมและชาวอานาคมักจะถูกเรียกว่าเรฟาอิม แต่คนโมอับเรียกพวกเขาว่าเอมิม

12 ชาวโฮรีเคยอาศัยอยู่ในเสอีร์ แต่ถูกวงศ์วานของเอซาวขับไล่ออกไป พวก

เขาทำลายชาวโฮรีและยึดครองดินแดน เหมือนที่อิสราเอลจะยึดครองดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้ายกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา)

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บัดนี้จงลุกขึ้นข้ามหุบเขาเศเรด” เราก็ข้ามไป

14 เราใช้เวลา 38 ปีเดินทางจากคาเดชบารเนียจนเราข้ามหุบเขาเศเรด ถึงตอนนั้นนักรบทั้งหมดในรุ่นนั้นก็ตายหมดค่ายตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้

15 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ต่อสู้พวกเขาจนพวกเขาทั้งหมดถูกกำจัดไปจากค่าย

16 เมื่อนักรบคนสุดท้ายของรุ่นนั้นตายไป

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับข้าพเจ้าว่า

18 “วันนี้พวกเจ้าจงข้ามชายแดนโมอับที่อาร์

19 เมื่อเจ้าเข้าใกล้ชาวอัมโมน อย่ารบกวนหรือยั่วยุพวกเขาให้ทำสงคราม เพราะเราจะไม่ยกดินแดนใดๆ ของเขาให้เจ้า เราได้ยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่วงศ์วานของโลทแล้ว”

20 (ดินแดนนั้นก็เช่นกันเคยเป็นที่อาศัยของพวกมนุษย์ยักษ์เรฟาอิมซึ่งชาวอัมโมนเรียกว่า ศัมซุมมิม

21 คนเหล่านี้เป็นชาติใหญ่และเข้มแข็ง สูงใหญ่เหมือนมนุษย์ยักษ์อานาคองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำลายพวกเขา เมื่อคนอัมโมนขับไล่และยึดครองดินแดนของพวกเขา

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเคยช่วยเหลือวงศ์วานของเอซาวที่อาศัยในเสอีร์เช่นนี้มาก่อน โดยทรงทำลายล้างชาวโฮรีซึ่งพวกเขาขับไล่ออกไปและเข้ายึดครองดินแดนแทนพวกเขาตราบจนทุกวันนี้

23 เช่นเดียวกับเมื่อครั้งชาวดินแดนคัฟโทร์ได้ทำลายและยึดครองดินแดนแทนที่ชาวอัฟวิมผู้อาศัยในหมู่บ้านต่างๆ ไปจนถึงกาซา)

พิชิตกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน

24 “จงข้ามโกรกธารอารโนน ดูเถิด เรากำลังจะยกกษัตริย์สิโหนชาวอาโมไรต์แห่งเฮชโบนกับดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า จงเข้ายึดดินแดนและทำศึกกับเขา

25 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะให้ชนชาติทั้งปวงทั่วใต้ฟ้าครั่นคร้ามหวาดกลัวเจ้า พวกเขาจะได้ยินกิตติศัพท์ของเจ้าและจะหวาดผวาและหวั่นวิตกเพราะเจ้า”

26 จากถิ่นกันดารเคเดโมท ข้าพเจ้าส่งทูตไปเจรจาโดยสันติวิธีกับกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนว่า

27 “ขอให้เราผ่านดินแดนของท่าน เราจะไปตามทางหลวงโดยไม่ออกไปทางขวาหรือทางซ้าย

28 เราจะจ่ายเงินซื้ออาหารและน้ำจากท่าน ขอเพียงแต่ยอมให้เราเดินผ่าน

29 เหมือนที่วงศ์วานของเอซาวที่เสอีร์ และชาวโมอับที่อาร์อนุญาตให้เราผ่านแดน จนเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนเพื่อไปยังดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานให้”

30 แต่กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนไม่ยินยอมให้เราผ่านแดน ทั้งนี้เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำให้จิตใจของเขาแข็งกระด้าง และทำให้ใจของเขาดื้อดึง เพื่อจะมอบเขาไว้ในมือของท่านดังที่เป็นอยู่ขณะนี้

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ดูเถิด เรากำลังจะมอบสิโหนกับดินแดนของเขาไว้ในมือของเจ้า บัดนี้จงเข้าพิชิตและครอบครองดินแดนของเขา”

32 เมื่อสิโหนยกไพร่พลทั้งหมดออกมาสู้กับเราที่ยาฮาส

33 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงมอบเขาไว้ในมือของเรา เราประหารเขากับบรรดาลูกชาย และกองกำลังทั้งหมดของเขา

34 ครั้งนั้นเรายึดเมืองทั้งหมดของเขาและทำลายล้างพวกเขาหมดสิ้น ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก เราไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตเลย

35 แต่เรายึดฝูงสัตว์พร้อมทั้งทรัพย์สินที่ได้จากเมืองต่างๆ มาเป็นของเรา

36 เรารบชนะตั้งแต่อาโรเออร์จากโกรกธารอารโนน รวมหัวเมืองต่างๆ แถบนั้นจนจดกิเลอาด ไม่มีสักเมืองเดียวที่แข็งแกร่งเกินกำลังของเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราประทานเมืองทั้งหมดแก่เรา

37 อย่างไรก็ดีพวกท่านเลี่ยงจากดินแดนของชาวอัมโมน จากดินแดนแถบแม่น้ำยับบอก และดินแดนเทือกเขาตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาไว้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/2-e107de91285e3ede8ffef3801916820a.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 3

พิชิตกษัตริย์โอกแห่งบาชาน

1 ต่อมาเราขึ้นไปตามเส้นทางสู่ดินแดนบาชาน และกษัตริย์โอกแห่งบาชานยกไพร่พลทั้งหมดขึ้นมาสู้กับเราที่เอเดรอี

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ไม่ต้องกลัวเขา เพราะเราได้มอบเขากับไพร่พลทั้งหมดและดินแดนของเขาแก่เจ้าแล้ว จงทำกับเขาเหมือนที่ได้ทำกับกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ผู้ปกครองอยู่ในเฮชโบน”

3 ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงมอบกษัตริย์โอกแห่งบาชานกับไพร่พลทั้งหมดไว้ในมือของเรา เราประหารพวกเขาหมดไม่เหลือรอดสักคน

4 ในเวลานั้นเรายึดหัวเมืองทั้งหกสิบแห่งของเขา คือทั่วภูมิภาคอารโกบซึ่งเป็นอาณาจักรของโอกในบาชาน

5 เมืองเหล่านี้เป็นเมืองป้อมปราการ มีกำแพงสูง ประตูก็ลงดาลแน่นหนา และเราตีหมู่บ้านมากมายหลายแห่งซึ่งไม่มีกำแพงล้อมรอบได้ด้วย

6 เราทำลายล้างพวกเขาหมดสิ้นเหมือนที่ได้ทำแก่กษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบน คือทำลายล้างทุกเมือง ทำลายทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก

7 แต่เรายึดฝูงสัตว์พร้อมทั้งทรัพย์สินที่ได้จากเมืองต่างๆ มาเป็นของเรา

8 ครั้งนั้นเราได้ยึดครองดินแดนทั้งหมดของกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ทั้งสองในฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน จากโกรกธารอารโนนจดภูเขาเฮอร์โมน

9 (ชาวไซดอนเรียกภูเขาเฮอร์โมนว่า สีรีออน ส่วนชาวอาโมไรต์เรียกว่า เสนีร์)

10 เรายึดทุกเมืองบนที่ราบสูงนั้น และกิเลอาดกับบาชานทั้งหมดไปถึงเมืองสาเลคาห์และเมืองเอเดรอีของอาณาจักรโอกในบาชาน

11 (กษัตริย์โอกแห่งบาชานผู้นี้เป็นเรฟาอิมคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ เตียงเหล็กของเขายาว 9 ศอกและกว้าง 4 ศอกเตียงนี้ยังอยู่ที่รับบาห์ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งของชาวอัมโมน)

การแบ่งดินแดน

12 ข้าพเจ้ายกดินแดนที่ยึดมาได้ในครั้งนั้นให้แก่เผ่ารูเบนและเผ่ากาด คือตั้งแต่อาโรเออร์ริมโกรกธารอารโนน ครึ่งหนึ่งของแดนเทือกเขากิเลอาดและหัวเมืองต่างๆ

13 ส่วนดินแดนกิเลอาดที่เหลือและดินแดนบาชานทั้งหมดซึ่งเดิมเป็นอาณาจักรของกษัตริย์โอกมอบให้แก่เผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่า (อารโกบในบาชานนี้เคยได้ชื่อว่า ดินแดนแห่งเรฟาอิม

14 ยาอีร์ซึ่งเป็นวงศ์วานของมนัสเสห์ครอบครองภูมิภาคอารโกบทั้งหมดจนจดชายแดนของชาวเกชูร์และชาวมาอาคาห์ ดินแดนบาชานได้ชื่อตามเขาจึงเรียกกันว่า ฮัฟโวทยาอีร์มาจนถึงทุกวันนี้)

15 ข้าพเจ้ายกดินแดนกิเลอาดให้มาคีร์

16 ส่วนเผ่ารูเบนและเผ่ากาด ข้าพเจ้ายกดินแดนจากกิเลอาดลงไปจดโกรกธารอารโนน (ถือเอาตอนกลางของโกรกธารเป็นพรมแดน) เรื่อยมาถึงแม่น้ำยับบอกซึ่งเป็นพรมแดนของชาวอัมโมน

17 พรมแดนด้านตะวันตกคือแม่น้ำจอร์แดนในอาราบาห์จากคินเนเรทจดทะเลแห่งอาราบาห์ (คือทะเลเกลือ) ใต้ลาดเขาปิสกาห์

18 ครั้งนั้นข้าพเจ้าสั่งเผ่ารูเบน เผ่ากาด และเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านได้ประทานดินแดนฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนให้ท่านยึดครอง แต่ชายฉกรรจ์ทุกคนในพวกท่าน จงจับอาวุธออกรบ นำหน้าพี่น้องอิสราเอลข้ามแม่น้ำไป

19 ส่วนภรรยาของท่าน ลูกๆ และฝูงสัตว์ (ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านมีฝูงสัตว์ใหญ่โต) ให้พักอยู่ในเมืองที่ข้าพเจ้ายกให้

20 ตราบจนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พี่น้องได้พักสงบเหมือนพวกท่าน และได้ยึดครองดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านประทานให้ที่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน เมื่อนั้นพวกท่านแต่ละคนจึงกลับสู่ดินแดนที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์”

ห้ามโมเสสข้ามแม่น้ำจอร์แดน

21 ครั้งนั้นข้าพเจ้ากำชับโยชูวาว่า “ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้วถึงสิ่งทั้งปวงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงกระทำแก่กษัตริย์ทั้งสองนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำอย่างเดียวกันต่ออาณาจักรทั้งปวงที่ฟากข้างโน้นซึ่งท่านกำลังมุ่งไป

22 อย่ากลัวพวกเขา เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเองจะทรงต่อสู้เพื่อท่าน”

23 ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ทูลอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

24 “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงเริ่มสำแดงความยิ่งใหญ่และฤทธิ์อำนาจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว เพราะมีพระเจ้าใดเล่าทั่วฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกที่ได้กระทำการยิ่งใหญ่เกรียงไกรเสมอเหมือนพระองค์?

25 ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้ไปเห็นดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน คือแดนเทือกเขาอันงดงามนั้นกับเทือกเขาเลบานอน”

26 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธข้าพเจ้าเพราะพวกท่านและไม่ทรงฟังข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า “พอแล้ว เลิกพูดเรื่องนี้เสียที

27 จงขึ้นไปบนยอดเขาปิสกาห์และมองไปให้ทั่วทุกทิศ จงมองดูแผ่นดินนั้นให้เต็มตาของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป

28 แต่จงมอบหมายงานให้โยชูวา จงให้กำลังใจเขาและช่วยให้เขาเข้มแข็งขึ้น เพราะเขาจะนำประชากรข้ามไปครอบครองดินแดนที่เจ้าจะเห็น”

29 ฉะนั้นเราทั้งหลายจึงยังคงพักอยู่ในหุบเขาใกล้เบธเปโอร์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/3-5c1854d8d86efb0d5dfbc4b7d67002ac.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 4

บัญชาให้เชื่อฟัง

1 อิสราเอลเอ๋ย บัดนี้จงฟังกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าจะสอน จงปฏิบัติตามเพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเข้าไปครอบครองดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านกำลังยกให้ท่าน

2 อย่าเพิ่มเติมหรือตัดทอนข้อความใดๆ ในบทบัญญัตินี้ แต่จงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านซึ่งข้าพเจ้ามอบให้แก่ท่าน

3 ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้วถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำที่บาอัลเปโอร์ พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงประหารทุกคนที่ติดตามพระบาอัลแห่งเปโอร์

4 แต่ทุกคนที่ยึดมั่นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่ตราบจนทุกวันนี้

5 ดูเถิด ข้าพเจ้าได้สอนกฎหมายและบทบัญญัติตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงบัญชาแก่ท่าน เพื่อท่านจะปฏิบัติตามในดินแดนที่ท่านจะเข้ายึดครอง

6 จงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อแสดงให้ประชาชาติทั้งหลายเห็นถึงสติปัญญาและความเข้าใจของท่าน เมื่อพวกเขาได้ยินถึงกฎหมายเหล่านี้ พวกเขาจะกล่าวว่า “ชนชาติยิ่งใหญ่นี้มีปัญญาและมีความเข้าใจจริงๆ”

7 ชาติใดเล่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดมีพระเจ้าของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดอย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงอยู่ใกล้ชิดเราทุกครั้งที่เราทูลอธิษฐานต่อพระองค์?

8 และมีชาติใดเล่าที่ยิ่งใหญ่ขนาดมีกฎหมายและบทบัญญัติอันชอบธรรมเหมือนบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้ามอบให้พวกท่านในวันนี้?

9 แต่จงรักษาตัวรักษาใจของท่านให้ดีเพื่อท่านจะไม่หลงลืมสิ่งที่ท่านเห็นกับตา ไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เลือนรางจากใจตราบชั่วชีวิต จงสอนลูกหลานสืบต่อกันไป

10 จงรำลึกถึงวันที่ท่านยืนอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายที่ภูเขาโฮเรบ เมื่อพระองค์ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเรียกประชากรมาชุมนุมต่อหน้าเรา เพื่อฟังถ้อยคำของเรา เพื่อเขาจะเรียนรู้ที่จะยำเกรงเราตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้ และเพื่อเขาจะสอนบัญญัติของเราแก่ลูกหลาน”

11 ท่านทั้งหลายได้เข้ามาใกล้และยืนอยู่ที่เชิงเขาซึ่งมีไฟลุกโชติช่วงขึ้นสู่ท้องฟ้า รายรอบด้วยเมฆดำและความมืดทึบ

12 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับท่านจากเปลวไฟ ท่านได้ยินพระดำรัสแต่ไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานของพระองค์ มีแต่พระสุรเสียงเท่านั้น

13 พระองค์ทรงประกาศพันธสัญญาของพระองค์ คือบัญญัติสิบประการซึ่งพระองค์ทรงบัญชาให้ท่านปฏิบัติตาม แล้วทรงจารึกบัญญัตินั้นไว้บนศิลาสองแผ่น

14 ครั้งนั้นเององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสอนกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งท่านจะต้องปฏิบัติตามในดินแดนที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครอง

ห้ามกราบไหว้รูปเคารพ

15 พวกท่านไม่ได้เห็นรูปพรรณสัณฐานใดๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันที่พระองค์ตรัสกับท่านจากไฟที่ภูเขาโฮเรบ ฉะนั้นจงระวังตัวให้ดี

16 เพื่อท่านจะไม่พินาศ โดยสร้างรูปจำลองของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นรูปเคารพในลักษณะใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะมีลักษณะเหมือนผู้ชายหรือผู้หญิง

17 เหมือนสัตว์ต่างๆ ในแผ่นดินหรือนกในอากาศ

18 เหมือนสัตว์เลื้อยคลานหรือสัตว์น้ำ

19 และเมื่อท่านเงยหน้าดูท้องฟ้าและเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวอันเป็นวัตถุในท้องฟ้าทั้งปวง อย่าปล่อยใจไปกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น และนมัสการสิ่งต่างๆ ที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงปล่อยให้ชนชาติอื่นๆ ทั้งปวงทั่วใต้ฟ้าปฏิบัติ

20 แต่ส่วนท่านองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำออกมาจากเตาหลอมเหล็ก คือออกจากอียิปต์เพื่อเป็นประชากรในกรรมสิทธิ์ของพระองค์อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธข้าพเจ้าเพราะพวกท่านและทรงสัญญาอย่างหนักแน่นว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านจะประทานให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน

22 ข้าพเจ้าจะต้องตายในดินแดนฟากนี้ จะไม่ได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไป ส่วนท่านจะข้ามไปยึดครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นั้น

23 จงระวัง อย่าลืมพันธสัญญาที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงกระทำไว้กับท่าน อย่าสร้างรูปเคารพเป็นรูปทรงใดๆ ให้กับตนตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงห้ามไว้

24 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ เป็นพระเจ้าผู้ทรงหึงหวง

25 ในอนาคตเมื่อท่านลงหลักปักฐานในดินแดนนั้นและมีลูกมีหลาน หากท่านเสื่อมทรามจนสร้างรูปเคารพใดๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านและยั่วยุพระพิโรธของพระองค์

26 วันนี้ข้าพเจ้าขอให้ฟ้าดินเป็นพยานว่าไม่ช้าท่านจะพินาศย่อยยับจากดินแดนซึ่งพวกท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปครอบครอง ท่านจะอยู่ที่นั่นได้ไม่นานและจะพินาศไปอย่างแน่นอน

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงขับไล่ท่านให้กระจัดกระจายไปอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ ท่านจะเหลือรอดเพียงไม่กี่คนท่ามกลางประชาชาติเหล่านั้น

28 ที่นั่นท่านจะนมัสการบรรดาเทพเจ้าที่มนุษย์สร้างขึ้นจากไม้และหิน ซึ่งมองก็ไม่เห็น ฟัง กิน หรือดมอะไรก็ไม่ได้

29 แต่หากท่านแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านที่นั่น ท่านจะพบพระองค์หากท่านแสวงหาพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ

30 เมื่อท่านทุกข์ลำเค็ญเพราะสิ่งทั้งปวงนี้เกิดขึ้นแก่ท่านในเวลาต่อมา ท่านจะหวนกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและเชื่อฟังพระองค์

31 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่านทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตา พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้ง หรือทำลายท่าน หรือลืมพันธสัญญาที่ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่านซึ่งพระองค์ทรงยืนยันกับพวกเขาโดยคำปฏิญาณ

พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า

32 จงมองย้อนดูประวัติศาสตร์ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ไว้ในโลก มองจากฟ้าข้างนี้ถึงฟ้าข้างโน้น เคยมีอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อนหรือ? มีใครเคยได้ยินอะไรอย่างนี้ด้วยหรือ?

33 มีคนชาติใดบ้างที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสออกมาจากไฟเหมือนที่ท่านได้ประสบมา?

34 มีพระใดเล่าที่นำชนชาติหนึ่งออกมาจากอีกชนชาติหนึ่งมาเป็นของพระองค์เองโดยการทดสอบ โดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ โดยสงคราม โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก โดยพระราชกิจอันยิ่งใหญ่และน่าครั่นคร้าม เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ต่อหน้าต่อตาท่าน?

35 พระองค์ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า นอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใด

36 จากฟ้าสวรรค์พระองค์ทรงให้ท่านได้ยินพระสุรเสียงเพื่อท่านจะอยู่ในโอวาท ในโลกพระองค์ทรงโปรดให้ท่านเห็นไฟมหึมาของพระองค์ และท่านได้ยินพระดำรัสจากไฟนั้น

37 ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงรักบรรพบุรุษของท่านและทรงเลือกสรรวงศ์วานของเขาเหล่านั้น พระองค์จึงทรงนำท่านออกจากอียิปต์ด้วยพระองค์เองและด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

38 ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ซึ่งยิ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าท่านมากนัก และประทานดินแดนของพวกเขาเหล่านั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่านดังเช่นทุกวันนี้

39 ในวันนี้จงรับรู้และจำใส่ใจว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าทั้งในฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่าง ไม่มีพระเจ้าอื่นใด

40 จงปฏิบัติตามกฎหมายและพระบัญชาของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้ เพื่อท่านกับลูกหลานจะอยู่เย็นเป็นสุข และอาศัยอยู่ยาวนานในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านตลอดไป

เมืองลี้ภัย

41 จากนั้นโมเสสกำหนดเมืองสามเมืองทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

42 สำหรับเป็นเมืองลี้ภัยของผู้ที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาและไม่ได้วางแผนการร้ายไว้ล่วงหน้า เขาจะได้หนีไปเมืองลี้ภัยเมืองใดเมืองหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของตนไว้

43 โดยให้เผ่ารูเบนลี้ภัยไปเมืองเบเซอร์บนที่ราบสูงในถิ่นกันดาร ให้เผ่ากาดไปเมืองราโมทในกิเลอาด และให้เผ่ามนัสเสห์ไปเมืองโกลานในบาชาน

บทนำสู่บทบัญญัติ

44 ต่อไปนี้คือบทบัญญัติซึ่งโมเสสมอบให้ชนอิสราเอล

45 เป็นข้อกำหนด กฎหมาย และบทบัญญัติซึ่งโมเสสให้ไว้เมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์

46 และมาอยู่ที่หุบเขาใกล้เบธเปโอร์ ด้านตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ในดินแดนซึ่งเคยเป็นของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ผู้ครอบครองในเฮชโบน โมเสสและชนชาติอิสราเอลได้พิชิตเขาขณะออกมาจากอียิปต์

47 และยึดครองดินแดนของเขาและของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน กษัตริย์ทั้งสองของชาวอาโมไรต์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

48 ดินแดนนี้เริ่มจากอาโรเออร์ตรงริมโกรกธารอารโนนจดภูเขาสีรีออน(คือเฮอร์โมน)

49 รวมทั้งดินแดนอาราบาห์ทั้งหมดทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนจนถึงทะเลตายแถบลาดเขาปิสกาห์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/4-fa5408241ab9c8947bc5429a9a68f54e.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 5

พระบัญญัติสิบประการ

1 โมเสสเรียกชาวอิสราเอลทั้งปวงมาประชุมและกล่าวว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงฟังกฎหมายและบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าประกาศแก่ท่านวันนี้ จงเรียนรู้และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

2 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงทำพันธสัญญากับเราที่ภูเขาโฮเรบ

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงทำพันธสัญญานี้กับบรรพบุรุษของเรา แต่กับพวกเราทุกคนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ในวันนี้

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสออกมาจากไฟต่อหน้าท่านบนภูเขานั้น

5 (ในครั้งนั้นข้าพเจ้าเป็นคนกลางระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับท่านเพื่อประกาศพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าแก่ท่าน เพราะท่านกลัวไฟและไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขา) และพระองค์ตรัสว่า

6 “เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า ผู้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์ ออกจากแดนทาส

7 “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดต่อหน้าเรา

8 “อย่าสร้างแบบจำลองให้กับตนเอง เป็นรูปสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์เบื้องบน แผ่นดินโลกเบื้องล่าง หรือท้องน้ำเบื้องลึก

9 อย่ากราบไหว้หรือนมัสการสิ่งเหล่านั้น เพราะเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าผู้หึงหวง เราจะลงโทษลูกหลานของผู้ที่เกลียดชังเราไปสามสี่ชั่วอายุเพราะบาปของเขา

10 แต่เราจะรักลูกหลานของผู้ที่รักเราและปฏิบัติตามคำสั่งของเราตลอดพันชั่วอายุคน

11 “อย่ายกพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ามาอ้างอย่างไม่สมควร เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงโทษผู้ที่อ้างพระนามของพระองค์เช่นนั้น

12 “จงรักษาวันสะบาโตโดยการทำให้วันนั้นบริสุทธิ์ตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาไว้

13 จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าในหกวัน

14 แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า อย่าทำงานใดๆ ในวันนั้นไม่ว่าตัวเจ้า บุตรชาย บุตรสาว ทาสชายหญิง วัว ลา สัตว์ใดๆ แม้แต่คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้า เพื่อทาสชายหญิงของเจ้าจะได้พักเช่นเดียวกับเจ้า

15 จงระลึกว่าพวกเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในอียิปต์ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้านำเจ้าออกมาโดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจึงทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต

16 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้าตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนยาวและอยู่เย็นเป็นสุขในดินแดนที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้ากำลังยกให้เจ้า

17 “อย่าฆ่าคน

18 “อย่าล่วงประเวณี

19 “อย่าลักขโมย

20 “อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

21 “อย่าโลภอยากได้ภรรยาของผู้อื่น หรืออยากได้บ้านหรือที่ดิน ทาสชายหญิง วัวหรือลา หรือสิ่งใดๆ ที่เป็นของเพื่อนบ้าน”

22 ทั้งหมดนี้คือบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศด้วยพระสุรเสียงอันดังออกมาจากไฟ เมฆ และความมืดมิดแก่พวกท่านทั้งหมดบนภูเขา และพระองค์ไม่ได้ทรงเพิ่มเติมสิ่งใด จากนั้นพระองค์ทรงจารึกบทบัญญัติไว้บนศิลาสองแผ่นและประทานแก่ข้าพเจ้า

23 เมื่อพวกท่านได้ยินพระสุรเสียงจากความมืดทึบ ขณะที่ภูเขามีไฟลุกโชน บรรดาหัวหน้าเผ่าและผู้อาวุโสของพวกท่านมาหาข้าพเจ้า

24 และพวกเขากล่าวว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงสำแดงพระเกียรติสิริและพระบารมีของพระองค์ และเราได้ยินพระสุรเสียงจากเปลวไฟ วันนี้เราได้เห็นพระเจ้าตรัสกับมนุษย์และมนุษย์ยังมีชีวิตอยู่

25 แต่บัดนี้ทำไมเราจะต้องมาตายเล่า? เปลวไฟอันน่ากลัวนี้คงเผาเราเป็นจุลทีเดียว เราจะต้องตายแน่หากเราได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราต่อไป

26 มนุษย์คนใดหนอสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตรัสจากเปลวไฟเหมือนที่เราได้ยินแล้วยังมีชีวิตรอดอยู่?

27 ท่านจงเข้าไปใกล้และฟังทุกอย่างที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสเถิด แล้วกลับมาบอกเราถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสแก่ท่าน เราจะฟังและปฏิบัติตาม”

28 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินสิ่งที่ท่านพูดกับข้าพเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เราได้ยินสิ่งที่คนเหล่านี้พูดกับเจ้าแล้ว ทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นดีแล้ว

29 เราอยากให้เขามีจิตใจเช่นนี้เสมอไปคือยำเกรงเราและปฏิบัติตามคำบัญชาทั้งปวงของเรา เพื่อทุกอย่างจะเป็นผลดีสำหรับเขาและลูกหลานตลอดไป!

30 “จงไปบอกพวกเขาให้กลับไปยังเต็นท์ของตน

31 ส่วนเจ้าจงอยู่กับเราที่นี่ เพื่อเราจะมอบคำบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติทั้งปวงแก่เจ้า เจ้าจงสั่งสอนเขาให้ปฏิบัติตามในดินแดนที่เรากำลังยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา”

32 ฉะนั้นจงใส่ใจทำตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่านไว้ อย่าออกนอกลู่นอกทาง

33 จงดำเนินชีวิตตามแนวทางทั้งปวงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่านไว้ เพื่อท่านจะมีชีวิตยืนยาวและเจริญรุ่งเรืองในดินแดนซึ่งท่านจะเข้ายึดครอง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/5-c6825a7ee14ec4eb755e0b590507313e.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 6

จงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน

1 ต่อไปนี้คือพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงบัญชาให้ข้าพเจ้าสอนท่านให้ปฏิบัติตามในดินแดนซึ่งท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยึดครอง

2 เพื่อท่านและลูกหลานรุ่นต่อๆ ไปจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านชั่วชีวิต โดยปฏิบัติตามกฎหมายและพระบัญชาทั้งสิ้นของพระองค์ที่ข้าพเจ้ามอบให้ และเพื่อท่านจะชื่นชมกับชีวิตที่ยืนยาว

3 อิสราเอลเอ๋ย จงฟังและใส่ใจปฏิบัติตามเพื่อจะเป็นผลดีแก่ท่าน และท่านจะทวีจำนวนมากขึ้นในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้งตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่านทรงสัญญาไว้กับท่าน

4 อิสราเอลเอ๋ยจงฟังเถิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา พระยาห์เวห์ทรงเป็นหนึ่ง

5 จงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต และสุดกำลังของท่าน

6 จงให้บทบัญญัติทั้งปวงซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน

7 จงพร่ำสอนบทบัญญัติเหล่านี้แก่บุตรหลานของท่าน จงพูดถึงบทบัญญัติเหล่านี้ขณะอยู่ที่บ้าน ขณะเดินไปตามทาง ขณะที่นอนลงหรือลุกขึ้น

8 จงผูกไว้ที่มือเป็นสัญลักษณ์และคาดไว้ที่หน้าผาก

9 จงเขียนไว้ที่วงกบประตูและที่ประตูรั้วของท่าน

10 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพาท่านเข้าสู่ดินแดนซึ่งทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษคืออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ว่าจะประทานแก่ท่าน เป็นดินแดนที่มีเมืองใหญ่รุ่งเรืองซึ่งท่านไม่ได้สร้าง

11 มีบ้านเรือนที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งดีๆ สารพัดซึ่งท่านไม่ได้จัดหา มีบ่อน้ำซึ่งท่านไม่ได้ลงแรงขุด มีสวนองุ่นและดงมะกอกซึ่งท่านไม่ได้ปลูก และเมื่อท่านได้รับประทานจนอิ่มหนำ

12 จงระวังให้ดี อย่าลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงนำท่านออกมาจากอียิปต์ออกจากแดนทาส

13 จงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว และจงสาบานในพระนามของพระองค์

14 อย่าติดตามพระอื่นใดของชนชาติต่างๆ ที่อยู่รอบตัวท่าน

15 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงสถิตท่ามกลางท่านทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าที่หึงหวง พระพิโรธของพระองค์จะเผาผลาญท่านและพระองค์จะทรงกวาดล้างท่านออกไปจากแผ่นดินนี้

16 อย่าลองดีกับพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านเหมือนที่ท่านได้ทำที่มัสสาห์

17 จงปฏิบัติตามพระบัญชา ข้อกำหนด และกฎหมายที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่านอย่างเคร่งครัด

18 จงทำสิ่งที่ถูกต้องและดีงามในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อทุกสิ่งจะเป็นผลดีแก่ท่านและท่านจะได้เข้าไปครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ด้วยคำปฏิญาณกับบรรพบุรุษของท่าน

19 โดยกำจัดศัตรูทั้งปวงที่อยู่ต่อหน้าท่านตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้

20 ในอนาคตเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า “ข้อกำหนด กฎหมาย และบทบัญญัติที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราทรงบัญชาไว้นี้มีความหมายอย่างไร?”

21 จงบอกเขาว่า “พวกเราเคยเป็นทาสของฟาโรห์อยู่ในอียิปต์ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราออกมาจากอียิปต์ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัวแก่อียิปต์ และแก่ฟาโรห์รวมทั้งราชวงศ์ทั้งปวงของพระองค์ต่อหน้าต่อตาเรา

23 แต่พระองค์ทรงนำเราออกมาจากที่นั่นเข้าสู่ดินแดนนี้และประทานดินแดนนี้แก่เราตามที่ทรงสัญญาไว้ด้วยคำปฏิญาณกับบรรพบุรุษของเรา

24 พระยาห์เวห์ทรงบัญชาให้เราปฏิบัติตามกฎหมายทั้งปวงนี้และยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา เพื่อเราจะรุ่งเรืองและมีชีวิตอยู่เหมือนในวันนี้

25 และเราก็จะได้รับความชอบธรรม หากเราใส่ใจปฏิบัติตามบทบัญญัติทั้งปวงต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตามที่ทรงบัญชา”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/6-f0f68b8b60ee0f7f6f5dca01a1b8e848.mp3?version_id=179—

Categories
เฉลยธรรมบัญญัติ

เฉลยธรรมบัญญัติ 7

ขับไล่ชนชาติต่างๆ ออกไป

1 เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านเข้าสู่ดินแดนซึ่งท่านกำลังเข้ายึดครอง และทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ออกไปต่อหน้าท่าน คือชาวฮิตไทต์ ชาวเกอร์กาชี ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส รวมเป็นเจ็ดชนชาติซึ่งใหญ่และเข้มแข็งกว่าท่าน

2 และเมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงมอบพวกเขาให้แก่ท่านและท่านเอาชนะพวกเขาได้แล้ว ท่านต้องทำลายล้างพวกเขาให้หมดสิ้น อย่าทำสนธิสัญญารอมชอมกับเขาหรือแสดงความเมตตาปรานีต่อเขา

3 อย่าแต่งงานข้ามเชื้อชาติ อย่าให้ลูกหลานของท่านไม่ว่าชายหรือหญิงแต่งงานกับลูกหลานของพวกเขา

4 เพราะพวกเขาจะทำให้ลูกหลานของท่านหันจากการติดตามเราไปนมัสการพระอื่นๆ แล้วพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเผาผลาญทำลายท่านอย่างรวดเร็ว

5 จงทำอย่างนี้กับพวกเขา คือรื้อแท่นบูชาของพวกเขาทิ้ง ทุบหินศักดิ์สิทธิ์ โค่นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ และเผารูปเคารพของพวกเขา

6 เพราะท่านเป็นประชากรบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเลือกสรรท่านจากประชาชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลกให้เป็นประชากรของพระองค์ เป็นกรรมสิทธิ์อันล้ำค่าของพระองค์

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกท่านและรักท่าน ไม่ใช่เพราะท่านยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นๆ แท้จริงพวกท่านเป็นชนชาติเล็กที่สุดเสียด้วยซ้ำ

8 แต่เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่านและทรงรักษาคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบรรพบุรุษของท่าน พระองค์จึงทรงนำท่านออกมาด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และทรงไถ่ท่านออกจากแดนทาส จากอำนาจของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์

9 ฉะนั้นจงรู้เถิดว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงซื่อสัตย์ ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักของพระองค์ต่อผู้ที่รักพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน

10 แต่

บรรดาผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบสนองเขาด้วยการทำลายล้าง

พระองค์จะทรงตอบสนองคนเหล่านั้นที่เกลียดชังพระองค์โดยไม่รอช้า

11 ฉะนั้นจงใส่ใจปฏิบัติตามพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าแจ้งท่านในวันนี้

12 หากท่านเอาใจใส่บทบัญญัติเหล่านี้และใส่ใจที่จะปฏิบัติตาม พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักกับท่านตามที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน

13 พระองค์จะทรงรักและอวยพรท่านและทำให้ท่านทวีจำนวนขึ้น พระองค์จะทรงอวยพรลูกหลานของท่านและพืชผลจากแผ่นดินของท่าน ทั้งข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน ลูกวัวและลูกแกะจากฝูงสัตว์ของท่าน ในดินแดนซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะประทานแก่ท่าน

14 ท่านจะได้รับพระพรเหนือกว่าชนชาติอื่นใด จะไม่มีชายหญิงคนใดในพวกท่านที่เป็นหมัน และฝูงสัตว์ของท่านก็เช่นกัน

15 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องท่านจากความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งสิ้น และพระองค์จะไม่ทรงทรมานท่านด้วยโรคร้ายใดๆ เหมือนที่ท่านได้เห็นในอียิปต์ แต่จะให้โรคร้ายนั้นเกิดแก่คนทั้งปวงที่เกลียดชังท่าน

16 จงทำลายประชาชาติทั้งปวงซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงมอบไว้ในมือของท่าน อย่าสงสารเขาและอย่าปรนนิบัติพระต่างๆ ของเขา เพราะนั่นจะเป็นหลุมพรางดักท่าน

17 ท่านอาจจะรำพึงว่า “ชนชาติพวกนี้เข้มแข็งมาก เราจะไปขับไล่ได้อย่างไร?”

18 แต่อย่ากลัวพวกเขาเลย จงระลึกถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงทำแก่ฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั้งปวง

19 ท่านก็ได้เห็นมาแล้วกับตา ทั้งการทดสอบครั้งใหญ่ หมายสำคัญ และปาฏิหาริย์ต่างๆ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงใช้สิ่งเหล่านี้นำท่านออกมา พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงทำแบบเดียวกันนี้กับชนชาติทั้งปวงที่ท่านเกรงกลัวในขณะนี้

20 แม้แต่ผู้รอดชีวิตที่หลบซ่อนจากท่าน พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะส่งฝูงต่อมาไล่ต่อยพวกเขาให้พินาศ

21 อย่ากลัวชนชาติเหล่านี้เลย เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ประทับท่ามกลางท่าน ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม

22 พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะค่อยๆ ขับไล่ชนชาติเหล่านี้ออกไปต่อหน้าท่านทีละเล็กทีละน้อย พระองค์ไม่ได้ทรงอนุญาตให้ท่านกำจัดเขาหมดในคราวเดียว มิฉะนั้นสัตว์ป่ารอบตัวท่านจะทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว

23 แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงมอบพวกเขาให้ท่าน ให้เขาวุ่นวายระส่ำระสายจนถูกทำลายล้างไป

24 พระองค์จะทรงมอบกษัตริย์ของพวกเขาไว้ในมือของท่าน ท่านจะลบชื่อคนเหล่านั้นออกจากใต้ฟ้า ไม่มีผู้ใดสามารถยืนหยัดต่อสู้ท่านได้ ท่านจะทำลายล้างพวกเขา

25 จงเผาแบบจำลองพระต่างๆ ของพวกเขาทิ้ง อย่าโลภเงินทองที่ใช้ทำรูปจำลองเหล่านั้น อย่าเก็บไว้เป็นบ่วงดักตัวท่านเอง เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงรังเกียจมัน

26 อย่านำสิ่งที่น่ารังเกียจเข้าไปไว้ในบ้านของท่าน เกรงว่าท่านจะเป็นเหมือนสิ่งนั้น คือถูกแยกออกมาเพื่อทำลาย จงรังเกียจเดียดฉันท์มันเพราะมันต้องถูกทำลาย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/DEU/7-de0cd512ce98105048bd014cd8732957.mp3?version_id=179—