Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 11

หอบาเบล

1 ครั้งนั้นทั้งโลกใช้ภาษาเดียวกัน ใช้ถ้อยคำเหมือนกัน

2 เมื่อมนุษย์ย้ายถิ่นฐานไปทางทิศตะวันออกพวกเขาพบที่ราบในดินแดนชินาร์จึงตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นั่น

3 พวกเขาพูดกันว่า “มาเถิด ให้เราทำอิฐและเผาจนสุก” พวกเขาใช้อิฐแทนหินและใช้ยางมะตอยแทนปูน

4 แล้วพวกเขาพูดว่า “มาเถิด ให้เราสร้างเมืองที่มีหอสูงขึ้นถึงฟ้าสำหรับพวกเรา เพื่อเราจะได้สร้างชื่อให้กับตนเองและไม่ต้องกระจายไปทั่วทั้งโลก”

5 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จลงมาเพื่อทอดพระเนตรเมืองและหอคอยซึ่งพวกเขากำลังสร้าง

6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “คนเหล่านี้เป็นชนชาติเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน ยังริเริ่มทำงานได้ถึงเพียงนี้ ต่อไปถ้าเขาวางแผนจะทำอะไรก็จะทำได้ทุกอย่าง

7 มาเถิด ให้เราลงไปทำให้เขามีภาษาสับสนแตกต่างกันออกไป เพื่อเขาจะได้ไม่เข้าใจกัน”

8 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายจากที่นั่นออกไปทั่วทั้งโลก และพวกเขาก็หยุดสร้างเมืองนั้น

9 ด้วยเหตุนี้เมืองนั้นจึงได้ชื่อว่าบาเบลเพราะที่นั่นเป็นที่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้ภาษาของโลกสับสนแตกต่างกันออกไปองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปอาศัยอยู่ทั่วทั้งโลก

จากเชมถึงอับราม

10 นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเชม

สองปีหลังจากน้ำท่วม เมื่อเชมอายุได้ 100 ปีก็มีบุตรชายชื่ออารปัคชาด

11 หลังจากนั้นเชมมีชีวิตต่อไปอีก 500 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

12 เมื่ออารปัคชาดอายุได้ 35 ปีก็มีบุตรชายชื่อเชลาห์

13 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

14 เมื่อเชลาห์อายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อเอเบอร์

15 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

16 เมื่อเอเบอร์อายุได้ 34 ปีก็มีบุตรชายชื่อเปเลก

17 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 430 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

18 เมื่อเปเลกอายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อเรอู

19 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 209 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

20 เมื่อเรอูอายุได้ 32 ปีก็มีบุตรชายชื่อเสรุก

21 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 207 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

22 เมื่อเสรุกอายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อนาโฮร์

23 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 200 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

24 เมื่อนาโฮร์อายุได้ 29 ปีก็มีบุตรชายชื่อเทราห์

25 หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 119 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

26 หลังจากที่เทราห์อายุ 70 ปี เขาก็มีบุตรชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน

27 นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเทราห์

เทราห์มีบุตรชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน ฮารานมีบุตรชายชื่อโลท

28 ขณะที่เทราห์บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ฮารานได้สิ้นชีวิตลงที่เมืองเออร์ของชาวเคลเดียซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา

29 ทั้งอับรามและนาโฮร์แต่งงานมีครอบครัว ภรรยาของอับรามชื่อซาราย ภรรยาของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์ ซึ่งเป็นบุตรีของฮารานผู้เป็นบิดาของทั้งมิลคาห์และอิสคาห์

30 นางซารายนั้นไม่มีบุตรเพราะเป็นหมัน

31 เทราห์พาบุตรชายชื่ออับราม หลานชายชื่อโลทซึ่งเป็นบุตรชายของฮาราน และบุตรสะใภ้ชื่อซาราย ซึ่งเป็นภรรยาของอับรามบุตรชายของเขา ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียเพื่อไปคานาอัน แต่เมื่อมาถึงเมืองฮารานก็ตั้งถิ่นฐานที่นั่น

32 เทราห์มีชีวิตอยู่ 205 ปี แล้วเขาก็ตายที่เมืองฮาราน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/11-66f44a23f45ae8f89176d1b9b56e20ca.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 12

พระเจ้าทรงเรียกอับราม

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้าเพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า

2 “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่

และเราจะอวยพรเจ้า

เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ

และเจ้าจะเป็นพร

3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า

และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า

ทุกชนชาติทั่วโลก

จะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

4 ดังนั้นอับรามจึงไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา โลทก็ไปด้วย อับรามออกจากเมืองฮารานเมื่ออายุ 75 ปี

5 เขานำซารายผู้เป็นภรรยาและโลทผู้เป็นหลานชาย พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดและบริวารที่พวกเขาได้มาเมื่อยังอยู่ที่เมืองฮาราน ออกเดินทางมาจนถึงดินแดนคานาอัน

6 อับรามเดินทางอยู่ในดินแดนนั้นไปไกลจนถึงสถานบูชาต้นไม้ใหญ่แห่งโมเรห์ในเมืองเชเคม ครั้งนั้นชาวคานาอันอาศัยอยู่ที่นั่น

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสว่า “เราจะมอบดินแดนนี้แก่เชื้อสายของเจ้า” ดังนั้นเขาจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรากฏแก่เขา

8 จากนั้นเขาเดินทางไปยังแถบเนินเขาด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล และตั้งเต็นท์ขึ้นโดยมีเบธเอลอยู่ทางตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทางตะวันออก เขาได้ก่อแท่นบูชาขึ้นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ที่นั่น

9 จากนั้นอับรามก็ออกเดินทางต่อไปยังเนเกบ

อับรามในอียิปต์

10 เวลานั้นเกิดการกันดารอาหารในดินแดนคานาอัน อับรามจึงอพยพลงไปอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เพราะการกันดารอาหารรุนแรงมาก

11 ขณะที่กำลังจะเข้าเขตแดนอียิปต์ อับรามพูดกับซารายผู้เป็นภรรยาว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นคนสวยมาก

12 เมื่อชาวอียิปต์เห็นเจ้า เขาจะพูดกันว่านี่คือ ‘ภรรยาของชายคนนี้’ แล้วพวกเขาจะฆ่าฉัน แต่จะไว้ชีวิตเจ้า

13 ขอให้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวของฉัน เพื่อเขาจะปฏิบัติต่อฉันอย่างดีเพราะเห็นแก่เจ้า และเขาจะไว้ชีวิตฉันเพราะเจ้า”

14 เมื่ออับรามมาถึงอียิปต์ ชาวอียิปต์ก็เห็นว่าซารายสวยมาก

15 และเมื่อข้าราชสำนักของฟาโรห์เห็นนางก็ทูลยกย่องนางต่อฟาโรห์ นางจึงถูกพาตัวไปยังพระราชวัง

16 ฟาโรห์ปฏิบัติต่ออับรามอย่างดีเพราะเห็นแก่นาง และประทานแพะ แกะ วัว ลาตัวผู้และตัวเมีย อูฐ และข้าทาสชายหญิงแก่อับราม

17 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคร้ายแก่ฟาโรห์และราชวงศ์ เพราะเหตุนางซารายภรรยาของอับราม

18 ดังนั้นฟาโรห์จึงเรียกอับรามเข้าเฝ้าและตรัสว่า “ทำไมเจ้าทำกับเราอย่างนี้? ทำไมเจ้าไม่บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า?

19 ทำไมเจ้าจึงพูดว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพระบาท’? เราจึงนำนางมาเพื่อเป็นสนม นี่ไง ภรรยาของเจ้า จงรับนางคืนแล้วจงไปเสีย!”

20 ฟาโรห์จึงตรัสสั่งคนของพระองค์เรื่องของอับราม และพวกเขาส่งอับรามไปตามทางของเขาพร้อมกับภรรยาและทุกสิ่งที่เขามี

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/12-8ecce66d0626a84218d144b587bab60f.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 13

อับรามแยกทางกับโลท

1 อับรามจึงอพยพจากอียิปต์ขึ้นไปเนเกบพร้อมด้วยภรรยาและทุกสิ่งที่เขามี โลทก็ไปด้วย

2 อับรามกลายเป็นคนร่ำรวยมาก มีทั้งฝูงสัตว์และเงินทองมากมาย

3 เขาเดินทางรอนแรมจากเนเกบต่อไปถึงเบธเอล จนมาถึงสถานบูชาระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ซึ่งเขาเคยตั้งเต็นท์

4 และได้สร้างแท่นบูชาเป็นครั้งแรก อับรามนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ที่นั่น

5 ฝ่ายโลทซึ่งมากับอับรามก็มีฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และเต็นท์ด้วย

6 แต่ที่ดินนั้นไม่เพียงพอให้อับรามกับโลทอยู่ร่วมกัน เพราะต่างก็มีทรัพย์สินมากมาย

7 คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทก็ทะเลาะกัน เวลานั้นชาวคานาอันและชาวเปริสซียังอาศัยอยู่ในดินแดนนั้นด้วย

8 อับรามจึงกล่าวกับโลทว่า “อย่าให้เรากับเจ้าหรือคนของเรากับคนของเจ้าทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน

9 ที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ? เราแยกทางกันเถอะ ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา ถ้าเจ้าไปทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย”

10 โลทเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ และเห็นว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดตามทิศที่จะไปยังเมืองโศอาร์นั้นมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ดี ดั่งสวนขององค์พระผู้เป็นเจ้าดั่งแผ่นดินอียิปต์ (ขณะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์)

11 โลทจึงเลือกเอาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นของตนและรอนแรมไปทางตะวันออก เขาทั้งสองจึงแยกทางกัน

12 อับรามอาศัยอยู่ในดินแดนคานาอัน ส่วนโลทไปอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆ ในที่ราบจอร์แดน และตั้งเต็นท์ของเขาใกล้เมืองโสโดม

13 ชาวโสโดมนั้นชั่วร้ายและทำบาปมหันต์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

14 เมื่อโลทแยกทางไปแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ มองไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก

15 เราจะมอบดินแดนทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นให้แก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้าตลอดไป

16 เราจะให้เชื้อสายของเจ้ามีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนดุจผงธุลีบนแผ่นดินโลก ถ้าใครสามารถนับผงธุลีได้ก็จะสามารถนับเชื้อสายของเจ้าได้

17 ไปเถิด เดินไปให้ตลอดความกว้างความยาวของดินแดนนี้ เพราะเราจะยกให้เจ้า”

18 ดังนั้นอับรามจึงย้ายเต็นท์ไปอยู่ใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเรที่เมืองเฮโบรน และได้สร้างแท่นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/13-4833ce0d28e30f0f316abc63a0c8065f.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 14

อับรามช่วยโลท

1 ครั้งนั้นกษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์กษัตริย์อารีโอคแห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม และกษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม

2 รวมทัพไปรบกับกษัตริย์เบราแห่งโสโดม กษัตริย์บิรชาแห่งโกโมราห์ กษัตริย์ชินาบแห่งอัดมาห์ กษัตริย์เชเมเบอร์แห่งเศโบยิม และกษัตริย์แห่งเบลา (คือเมืองโศอาร์)

3 กษัตริย์ทั้งห้าองค์หลังนี้รวมกำลังกันที่หุบเขาสิดดิม (คือทะเลตาย)

4 กษัตริย์ห้าองค์นี้ยอมขึ้นกับกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์เป็นเวลาสิบสองปี แต่ในปีที่สิบสามก็กบฏ

5 ในปีที่สิบสี่ กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์กับกษัตริย์พันธมิตรจึงยกทัพมารบและชนะชาวเรฟาอิมในอัชเทโรทคารนาอิม ชาวศูซิมในเขตฮาม ชาวเอมิมในชาเวห์คีริยาธาอิม

6 ชาวโฮรีในแถบภูเขาเสอีร์ ไกลถึงเอลปารานใกล้ทะเลทราย

7 แล้ววกกลับมาเอนมิชปัท (คือคาเดช) พวกเขาพิชิตดินแดนทั้งหมดของชาวอามาเลขกับชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ในฮาซาโซนทามาร์

8 แล้วกษัตริย์ทั้งห้า คือกษัตริย์แห่งโสโดม กษัตริย์แห่งโกโมราห์ กษัตริย์แห่งอัดมาห์ กษัตริย์แห่งเศโบยิม และกษัตริย์แห่งเบลา (คือโศอาร์) ยกออกไปตั้งแนวรบที่หุบเขาสิดดิม

9 สู้กับกษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์แห่งเอลาม กษัตริย์ทิดาลแห่งโกยิม กษัตริย์อัมราเฟลแห่งชินาร์ และกษัตริย์อารีโอคแห่งเอลลาสาร์ กษัตริย์สี่องค์รบกับกษัตริย์ห้าองค์

10 ขณะนั้นหุบเขาสิดดิมมีบ่อยางมะตอยหลายแห่ง เมื่อกองทัพของกษัตริย์แห่งโสโดมและกษัตริย์แห่งโกโมราห์แตกหนีมา บางคนตกลงไปในบ่อนั้น และที่เหลือก็หนีไปยังเนินเขา

11 ฝ่ายกษัตริย์ทั้งสี่ริบเอาทรัพย์สมบัติและเสบียงทั้งหมดของโสโดมและโกโมราห์ แล้วยกทัพกลับไป

12 พวกเขาจับตัวโลทหลานชายของอับรามซึ่งอาศัยในโสโดม พร้อมทั้งทรัพย์สมบัติของเขาไปด้วย

13 มีคนหนึ่งหนีรอดมาได้และนำความมาบอกอับรามชาวฮีบรู ขณะนั้นเขาอาศัยอยู่ใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเรชาวอาโมไรต์ผู้เป็นพี่น้องอับรามได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับมัมเรและพี่น้องของเขาคือเอชโคล์และอาเนอร์

14 เมื่ออับรามได้ยินว่าพี่น้องของเขาถูกจับไปเป็นเชลย จึงระดมบ่าวไพร่ชำนาญศึกที่เกิดในครัวเรือนของเขา 318 คน ไล่ตามพวกเขาไปถึงเมืองดาน

15 คืนวันนั้นอับรามจึงแบ่งบ่าวไพร่เข้าโจมตีจนได้ชัยชนะ และรุกไล่ข้าศึกไปถึงเมืองโฮบาห์ทางเหนือของเมืองดามัสกัส

16 เขาตามเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกริบไปกลับคืนมาได้ รวมทั้งนำโลทผู้เป็นญาติ ทรัพย์สมบัติของโลท พวกผู้หญิงและคนอื่นๆ กลับมาด้วย

17 เมื่ออับรามกลับจากการทำศึกชนะเคโดร์ลาโอเมอร์และกษัตริย์พันธมิตร กษัตริย์แห่งโสโดมออกมาพบเขาที่หุบเขาชาเวห์ (คือหุบเขากษัตริย์)

18 และกษัตริย์เมลคีเซเดคแห่งซาเลมผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด ได้นำอาหารและเหล้าองุ่นออกมาให้

19 แล้วอวยพรอับรามว่า

“ขอให้อับรามได้รับพรจากพระเจ้าสูงสุด

พระผู้สร้างสวรรค์และโลก

20 สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุด

ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน”

แล้วอับรามจึงมอบหนึ่งในสิบของทุกสิ่งที่ริบมาแด่เมลคีเซเดค

21 กษัตริย์แห่งโสโดมกล่าวกับอับรามว่า “ขอมอบประชาชนคืนให้เรา ส่วนข้าวของนั้น ท่านจงเก็บไว้เองเถิด”

22 แต่อับรามตอบกษัตริย์แห่งโสโดมว่า “ข้าพเจ้าได้ยกมือขึ้นสาบานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าสูงสุด พระผู้สร้างสวรรค์และโลกไว้ว่า

23 ข้าพเจ้าจะไม่รับสิ่งใดๆ ที่เป็นของท่าน แม้แต่ด้ายหรือสายรัดรองเท้าสักเส้นเดียว เพื่อท่านจะไม่สามารถพูดได้เลยว่า ‘เราทำให้อับรามร่ำรวย’

24 ข้าพเจ้าไม่ขอรับสิ่งใดเว้นแต่เสบียงที่คนของข้าพเจ้าได้รับประทานไป กับส่วนแบ่งสำหรับอาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเรซึ่งไปกับข้าพเจ้า ให้เขารับส่วนแบ่งของเขาเถิด”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/14-75eaf981c61e5112830c04d5feecccd9.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 15

พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราม

1 ต่อมาองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสมาถึงอับรามทางนิมิตว่า

“อย่ากลัวเลย อับรามเอ๋ย

เราเป็นโล่ของเจ้า

เป็นบำเหน็จยิ่งใหญ่ของเจ้า”

2 แต่อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์จะประทานบำเหน็จให้แก่ข้าพระองค์ไปทำไมในเมื่อข้าพระองค์ยังไม่มีลูกเลย และผู้ที่จะรับมรดกของข้าพระองค์ก็คือเอลีเยเซอร์แห่งดามัสกัส?”

3 และอับรามทูลว่า “พระองค์ไม่ได้ประทานลูกให้ข้าพระองค์เลย ฉะนั้นคนรับใช้ในครัวเรือนจะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์”

4 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระดำรัสมาถึงอับรามว่า “ชายผู้นี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่ลูกที่เกิดจากตัวเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า”

5 พระองค์ทรงนำเขาออกมาข้างนอกและตรัสว่า “จงเงยหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วนับดวงดาว หากเจ้าสามารถนับได้” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เผ่าพันธุ์ของเจ้าจะเป็นเช่นนั้นแหละ”

6 อับรามเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงนับว่าเขาเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อนี้

7 พระองค์ตรัสกับเขาด้วยว่า “เราคือพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้นำเจ้าออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อจะยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า”

8 แต่อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าดินแดนนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าพระองค์?”

9 ดังนั้นพระยาห์เวห์ จึงตรัสกับเขาว่า “จงนำวัวตัวเมีย แพะ และแกะผู้ ซึ่งแต่ละอย่างมีอายุสามปี พร้อมกับนกเขาและนกพิราบรุ่นอย่างละตัวมาให้เรา”

10 อับรามนำสัตว์เหล่านี้มาถวาย โดยผ่าเป็นสองซีก แต่ละซีกวางไว้ตรงข้ามกัน ส่วนนกนั้นเขาไม่ได้ผ่า

11 แล้วฝูงเหยี่ยวโฉบมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น แต่อับรามไล่มันไปเสีย

12 ขณะดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า อับรามหลับสนิท ความมืดทึบอันน่าหวาดกลัวแผ่ปกคลุมเขา

13 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงรู้แน่เถิดว่า ลูกหลานของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในต่างแดน และจะตกเป็นทาสถูกกดขี่ข่มเหงสี่ร้อยปี

14 แต่เราจะลงโทษชนชาติที่เขาเป็นทาสรับใช้ และหลังจากนั้นเขาจะออกมาพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย

15 ส่วนเจ้าจะตามบรรพบุรุษไปอย่างสงบสุขและถูกฝังเมื่อชรามากแล้ว

16 ในชั่วอายุที่สี่ ลูกหลานของเจ้าจะกลับมาที่นี่ เพราะขณะนี้บาปของชาวอาโมไรต์ยังไม่ถึงที่สุดที่เราจะลงโทษพวกเขา”

17 เมื่อดวงอาทิตย์ลับไปและความมืดเข้ามาปกคลุม ก็มีกระถางไฟควันโขมงและคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงปรากฏขึ้น และเคลื่อนผ่านสัตว์เหล่านั้น

18 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เราจะมอบดินแดนนี้แก่ลูกหลานของเจ้า ตั้งแต่ลำน้ำแห่งอียิปต์จดแม่น้ำใหญ่คือยูเฟรติส

19 คือดินแดนของชาวเคไนต์ ชาวเคนัส ชาวคัดโมไนต์

20 ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเรฟาอิม

21 ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาชี และชาวเยบุส”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/15-660705078d7d081335abd75139688333.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 16

ฮาการ์กับอิชมาเอล

1 นางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้แก่อับราม แต่นางมีสาวใช้ชาวอียิปต์ชื่อฮาการ์

2 นางจึงกล่าวกับอับรามว่า “ดูสิองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมให้ฉันมีลูก จงไปนอนกับสาวใช้ของฉัน บางทีฉันจะมีลูกผ่านทางนาง”

อับรามก็ฟังคำของนางซาราย

3 ฉะนั้นหลังจากที่อับรามอาศัยอยู่ที่คานาอันได้สิบปี นางซารายภรรยาของเขาจึงนำนางฮาการ์สาวใช้ชาวอียิปต์มาให้สามีของนาง ให้เป็นภรรยาของเขา

4 เขาก็หลับนอนกับฮาการ์และนางก็ตั้งครรภ์

เมื่อนางรู้ว่าตนตั้งครรภ์แล้วก็เริ่มดูถูกนายหญิง

5 ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “ท่านต้องรับผิดชอบต่อเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับฉัน ฉันมอบสาวใช้ของฉันไว้ในอ้อมอกของท่าน พอนางท้อง ท่านก็ปล่อยให้นางดูถูกฉัน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินความระหว่างท่านกับฉันว่าใครผิดใครถูก”

6 อับรามจึงตอบว่า “สาวใช้ของเจ้าก็อยู่ในมือของเจ้า จงทำกับนางตามที่เจ้าเห็นควรเถิด” นางซารายจึงกดขี่ข่มเหงฮาการ์ ดังนั้นนางฮาการ์จึงหลบลี้หนีหน้าไป

7 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าพบนางฮาการ์ในทะเลทรายใกล้บ่อน้ำพุซึ่งอยู่ริมทางที่จะไปเมืองชูร์

8 และทูตนั้นพูดว่า “ฮาการ์ สาวใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปที่ไหน?”

นางตอบว่า “ข้าพเจ้ากำลังหนีนางซารายนายหญิงของข้าพเจ้า”

9 แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางว่า “จงกลับไปหานายหญิงของเจ้าและยอมอยู่ใต้อาณัติของนาง”

10 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวอีกว่า “เราจะเพิ่มลูกหลานของเจ้าให้มากมายจนนับไม่ถ้วน”

11 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับนางอีกว่า

“บัดนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์

และเจ้าจะมีบุตรชาย

เจ้าจะตั้งชื่อเขาว่าอิชมาเอล

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินความทุกข์ระทมของเจ้า

12 เขาจะเป็นดั่งลาป่าในมือมนุษย์

มือของเขาจะต่อสู้กับทุกคน

และมือของทุกคนก็จะต่อสู้กับเขา

และชีวิตของเขาจะต้องประจันหน้า

กับพี่น้องทั้งปวงของเขา”

13 นางเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ตรัสกับนางว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์” และนางพูดว่า “บัดนี้ฉันได้เห็นพระองค์ผู้ทรงเห็นฉัน”

14 บ่อน้ำนั้นจึงได้ชื่อว่าเบเออร์ลาไฮรอยตั้งอยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด

15 ฮาการ์คลอดบุตรชายคนหนึ่งให้แก่อับราม และอับรามตั้งชื่อบุตรที่นางให้กำเนิดว่าอิชมาเอล

16 อับรามอายุ 86 ปีเมื่อฮาการ์ให้กำเนิดอิชมาเอลแก่เขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/16-869ea266f26c1116eaa2724f5b1746ba.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 17

พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต

1 เมื่ออับรามอายุ 99 ปีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในทางของเราและเป็นคนดีพร้อม

2 เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และจะทวีจำนวนพงศ์พันธุ์ของเจ้าอย่างมากมาย”

3 อับรามจึงหมอบกราบซบหน้าลงและพระเจ้าตรัสกับเขาว่า

4 “สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า คือเจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ

5 เขาจะไม่เรียกเจ้าว่าอับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่าอับราฮัมเพราะเราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ

6 เราจะให้เจ้ามีลูกมีหลานมากมาย เราจะให้หลายชนชาติเกิดขึ้นมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายองค์จะสืบเชื้อสายจากเจ้า

7 เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ เป็นพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างเรากับเจ้า และกับลูกหลานของเจ้าทุกชั่วอายุที่จะตามมา เป็นพันธสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลัง

8 เราจะยกดินแดนคานาอันทั้งหมด คือที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในขณะนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ของเจ้ากับลูกหลานสืบไป และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

9 แล้วพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา คือทั้งตัวเจ้าและลูกหลานตลอดทุกชั่วอายุสืบไป

10 นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้าและกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา คือชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัต

11 เจ้าต้องเข้าสุหนัต นี่จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า

12 ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าทุกชั่วอายุที่มีอายุแปดวันจะต้องเข้าสุหนัต รวมทั้งคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือซื้อมาจากคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่วงศ์วานของเจ้า

13 ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือเจ้าซื้อตัวมาก็ต้องเข้าสุหนัต พันธสัญญาของเราที่กายของเจ้าจะเป็นพันธสัญญานิรันดร์

14 ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

15 พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมด้วยว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้า เจ้าจะไม่เรียกนางว่าซารายอีกต่อไป นางจะชื่อว่าซาราห์

16 เราจะอวยพรนางและจะให้นางกำเนิดลูกชายคนหนึ่งแก่เจ้าอย่างแน่นอน เราจะอวยพรให้นางเป็นมารดาของชาติต่างๆ กษัตริย์ของชนชาติต่างๆ จะมาจากนาง”

17 อับราฮัมหมอบกราบซบหน้าลง เขาหัวเราะและพูดกับตนเองว่า “ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้หรือ? และซาราห์จะให้กำเนิดลูกเมื่ออายุเก้าสิบหรือ?”

18 และอับราฮัมทูลพระเจ้าว่า “ขอเพียงแต่พระองค์ทรงอวยพรชีวิตของอิชมาเอล!”

19 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “แต่ซาราห์จะคลอดลูกชายคนหนึ่งให้เจ้า และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิสอัคเราจะสถาปนาพันธสัญญาของเรากับเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์แก่ลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลัง

20 สำหรับอิชมาเอล เราได้ฟังเจ้า เราจะอวยพรเขาอย่างแน่นอน เราจะทำให้เขามีลูกมีหลานและจะให้เขาทวีจำนวนขึ้นมากมาย เขาจะเป็นบิดาของเจ้านายสิบสองคน และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติยิ่งใหญ่

21 แต่พันธสัญญาของเรานั้น เราจะทำกับอิสอัคซึ่งซาราห์จะคลอดให้เจ้าปีหน้าในช่วงเวลานี้”

22 เมื่อตรัสกับอับราฮัมจบแล้ว พระเจ้าก็เสด็จขึ้นไปจากเขา

23 วันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมก็นำอิชมาเอลและชายทุกคนทั้งที่เกิดในครัวเรือนหรือซื้อมาด้วยเงินของเขามาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้

24 เวลานั้นอับราฮัมอายุ 99 ปีเมื่อเข้าสุหนัต

25 และอิชมาเอลบุตรชายของเขาอายุ 13 ปี

26 อับราฮัมกับอิชมาเอลบุตรชายของเขาเข้าสุหนัตในวันเดียวกัน

27 และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม ทั้งคนที่เกิดมาในครัวเรือนหรือซื้อมาจากคนต่างชาติได้เข้าสุหนัตด้วยกันกับเขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/17-d291bbecedc44478aef0b3f4f47dbf1e.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 18

ผู้มาเยือนทั้งสาม

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อับราฮัมใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเร ขณะเขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ช่วงแดดร้อนจัด

2 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นและมองเห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ จึงรีบลุกออกไปต้อนรับและก้มคำนับจนถึงพื้น

3 เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าข้าหากท่านจะกรุณา โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไป

4 ให้ข้าพเจ้าเอาน้ำมาสักหน่อยเพื่อพวกท่านจะได้ล้างเท้าและพักใต้ร่มไม้นี้

5 ข้าพเจ้าจะได้หาอะไรมาให้พวกท่านรับประทาน เพื่อพวกท่านจะได้สดชื่นขึ้น แล้วค่อยเดินทางต่อไป ในเมื่อพวกท่านได้มาหาผู้รับใช้ของพวกท่านแล้ว”

พวกเขาตอบว่า “ดีแล้ว จงไปทำอย่างที่ท่านพูดเถิด”

6 ดังนั้นอับราฮัมจึงรีบกลับเข้าไปในเต็นท์ ไปหาซาราห์และกล่าวว่า “เร็วเข้า เอาแป้งละเอียด 3 ถังมานวดและทำขนมปัง”

7 จากนั้นเขาวิ่งไปที่ฝูงสัตว์ คัดเลือกลูกวัวเนื้อนุ่มรสดีมาตัวหนึ่ง และบอกให้คนใช้รีบจัดแจงปรุงเป็นอาหาร

8 แล้วเขาก็ยกนมเนย กับเนื้อวัวที่ปรุงแล้วมาตั้งต่อหน้าพวกเขา ขณะที่พวกเขารับประทานอาหาร อับราฮัมยืนอยู่ใกล้พวกเขาใต้ต้นไม้นั้น

9 พวกเขาถามว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

เขาตอบว่า “นางอยู่ในเต็นท์”

10 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า“เราจะกลับมาหาเจ้าอีกอย่างแน่นอนในปีหน้าเวลาราวๆ นี้ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง”

ส่วนซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ทางเข้าประตูเต็นท์ข้างหลังเขา

11 ทั้งอับราฮัมกับซาราห์มีอายุมากแล้ว และซาราห์ก็ไม่มีประจำเดือนอีกแล้ว

12 ดังนั้นซาราห์จึงหัวเราะกับตนเองขณะคิดอยู่ในใจว่า “ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว และนายของฉันก็แก่เฒ่าแล้ว ฉันจะยังมีเรื่องยินดีเช่นนี้อีกหรือ?”

13 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์จึงหัวเราะและพูดว่า ‘คนแก่อย่างฉันยังจะมีลูกได้จริงๆ หรือ?’

14 มีอะไรยากเกินไปสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? เราจะกลับมาหาเจ้าตามเวลาที่กำหนดในปีหน้า และซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชาย”

15 ซาราห์กลัวจึงโกหกว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้หัวเราะ”

แต่พระองค์ตรัสว่า “เจ้าหัวเราะจริงๆ”

อับราฮัมวิงวอนเพื่อเมืองโสโดม

16 แล้วคนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นจะจากไป พวกเขามองลงไปทางเมืองโสโดม และอับราฮัมเดินตามไปส่งพวกเขา

17 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะปิดบังสิ่งที่เราจะกระทำไม่ให้อับราฮัมรู้?

18 ในเมื่ออับราฮัมจะเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอย่างแน่นอน และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเขา

19 เพราะว่าเราได้เลือกเขา เพื่อเขาจะสั่งสอนลูกหลานและครัวเรือนของเขาที่จะมีมาภายหลัง ให้รักษาวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมเป็นจริง”

20 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เสียงฟ้องร้องเมืองโสโดมกับโกโมราห์ก็ดังสนั่น และพวกเขาทำบาปมหันต์

21 จนเราต้องลงไปดูว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเลวร้ายอย่างเสียงฟ้องร้องที่ขึ้นมาถึงเราหรือไม่ ถ้าไม่จริง เราก็จะได้รู้”

22 คนเหล่านั้นจึงหันหน้าเดินไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

23 แล้วอับราฮัมเข้าไปหาพระองค์และทูลว่า “พระองค์จะทรงกวาดล้างคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่วหรือ?

24 พระองค์จะทำอย่างไรถ้าหากว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น? พระองค์จะทรงกวาดล้างเมืองนั้นจริงๆ หรือ พระองค์จะไม่ทรงละเว้นชาวเมืองนั้นเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนในนั้นหรือ?

25 พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ พระองค์จะไม่ทรงประหารคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่ว หรือปฏิบัติต่อคนชอบธรรมเช่นเดียวกับคนอธรรมเลย พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ องค์ตุลาการแห่งสากลโลกจะไม่ธำรงความยุติธรรมไว้หรือ?”

26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะละเว้นคนทั้งเมืองนั้นเพราะเห็นแก่พวกเขา”

27 อับราฮัมทูลอีกว่า “ข้าพระองค์ซึ่งเป็นเพียงผงธุลีและขี้เถ้าไม่ควรอาจเอื้อมทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

28 แต่หากคนชอบธรรมขาดไปห้าคนจากห้าสิบคนเล่า? พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะคนห้าคนหรือ?”

พระองค์ตรัสว่า “หากเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

29 อับราฮัมจึงทูลอีกว่า “หากพบเพียงสี่สิบคนเล่าพระเจ้าข้า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่สี่สิบคนนั้น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

30 แล้วอับราฮัมจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีก หากพบเพียงสามสิบคนที่นั่นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย หากเราพบสามสิบคนที่นั่น”

31 อับราฮัมทูลว่า “ในเมื่อข้าพระองค์ก็กล้าอาจเอื้อมกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว หากพบเพียงยี่สิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

32 แล้วอับราฮัมทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกเพียงครั้งเดียว หากพบแต่เพียงสิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เพื่อเห็นแก่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

33 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมจบแล้วก็เสด็จจากไป ส่วนอับราฮัมก็กลับบ้าน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/18-7694a30e56daeb834daa7b2d4d5f929c.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 19

เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ถูกทำลาย

1 ทูตสวรรค์ทั้งสองมาถึงเมืองโสโดมตอนพลบค่ำ และโลทนั่งอยู่ที่ประตูเมือง เมื่อโลทเห็นทูตนั้นจึงลุกขึ้นไปต้อนรับ ก้มคำนับจนหน้าจดพื้น

2 เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญแวะบ้านของผู้รับใช้ของท่าน ท่านจะได้ล้างเท้าและพักสักคืนหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้เช้าจึงค่อยเดินทางต่อไป”

ชายทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างที่ลานเมือง”

3 แต่โลทรบเร้าหนักเข้าจนในที่สุดทูตทั้งสองจึงได้ไปบ้านพร้อมเขา เขาได้จัดเตรียมอาหารสำหรับทั้งสองโดยปิ้งขนมปังไม่ใส่เชื้อ และพวกเขาก็รับประทาน

4 ก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน ชายทุกคนจากทุกมุมเมืองโสโดมทั้งหนุ่มทั้งแก่ก็พากันมาล้อมบ้านหลังนั้น

5 คนเหล่านั้นตะโกนบอกโลทว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าค่ำวันนี้อยู่ที่ไหน? จงพาพวกเขาออกมาเดี๋ยวนี้ เราจะได้หลับนอนกับพวกเขา”

6 โลทจึงออกไปข้างนอก ปิดประตู แล้วพูดกับคนเหล่านั้นว่า

7 “อย่าเลยพี่น้อง อย่าทำสิ่งชั่วช้าเช่นนี้เลย

8 นี่แน่ะ เรามีลูกสาวสองคน ยังไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายเลย เราจะยกให้ท่านทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่อย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขาได้มาพักอยู่ใต้ชายคาของเรา ใต้การคุ้มครองของเรา”

9 พวกนั้นเอ็ดตะโรว่า “ถอยไปให้พ้น เจ้าหมอนี่มาอยู่ในฐานะคนต่างด้าวแล้วยังจะมาตั้งตัวเป็นตุลาการ! เราจะจัดการกับเจ้าให้ยิ่งกว่าสองคนนั้นเสียอีก” แล้วพวกเขาก็กดดันโลทมากขึ้น และรุกเข้ามาเพื่อจะพังประตู

10 แต่ชายทั้งสองที่อยู่ข้างในเอื้อมมือมาดึงโลทกลับเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตู

11 จากนั้นพวกเขาทำให้บรรดาผู้ชายที่ออกันอยู่ที่ประตูทั้งหนุ่มทั้งแก่นั้นตาพร่ามัว คนเหล่านั้นจึงหาประตูไม่พบ

12 ชายทั้งสองกล่าวกับโลทว่า “ท่านมีญาติพี่น้องอื่นอีกบ้างหรือไม่ในเมืองนี้ ไม่ว่าลูกเขย ลูกชาย ลูกสาว หรือคนของท่านที่อยู่ในเมืองนี้? จงพาพวกเขาออกไปจากที่นี่

13 เพราะเราจะทำลายเมืองนี้ เสียงที่ชาวเมืองนี้ฟ้องร้องต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าดังจนพระองค์ทรงส่งเรามาทำลายเมืองนี้”

14 โลทจึงไปบอกบรรดาลูกเขยซึ่งหมั้นหมายกับลูกสาวของเขาว่า “เร็วเข้า รีบออกจากที่นี่เถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทรงทำลายเมืองนี้!” แต่ลูกเขยคิดว่าเขาพูดเล่น

15 พอใกล้รุ่ง ทูตเหล่านั้นจึงเร่งรัดโลทว่า “เร็วเข้า! จงพาภรรยาและลูกสาวทั้งสองของเจ้าออกไปจากที่นี่ มิฉะนั้นเมื่อเมืองนี้ถูกลงโทษ เจ้าจะถูกกวาดล้างไปด้วย”

16 เมื่อโลทยังรีรออยู่ ทูตเหล่านั้นจึงคว้ามือของเขา ทั้งภรรยาและลูกสาวทั้งสอง แล้วพาออกมานอกเมืองโดยปลอดภัย เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาพวกเขา

17 เมื่อออกมาแล้ว ทูตองค์หนึ่งจึงพูดว่า“จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด! อย่าหันกลับมามอง อย่าหยุดอยู่ในที่ราบนี้ จงหนีไปที่ภูเขา มิฉะนั้นเจ้าจะถูกกวาดล้างไปด้วย!”

18 แต่โลทวิงวอนว่า “อย่าเลย นายข้าได้โปรดเถิด!

19 ท่านได้กรุณาผู้รับใช้ของท่าน ท่านได้สำแดงความเมตตาอย่างใหญ่หลวงต่อข้าพเจ้าโดยไว้ชีวิตข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถหนีไปถึงภูเขาก่อนที่หายนะนี้จะมาถึงข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะต้องตาย

20 ดูเถิด มีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้พอที่จะวิ่งไปที่นั่นได้ทัน ให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น มันเล็กมากไม่ใช่หรือ? แล้วข้าพเจ้าจะรอดชีวิต”

21 ทูตนั้นตอบว่า “ก็ได้ เราจะทำตามที่เจ้าร้องขอ เราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดถึง

22 แต่จงรีบหนีไปเพราะเราทำอะไรไม่ได้จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่น” (นี่คือเหตุที่เมืองนั้นได้ชื่อว่าโศอาร์)

23 เมื่อโลทมาถึงโศอาร์ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว

24 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ไฟกำมะถันตกลงมาใส่เมืองโสโดมและโกโมราห์ ไฟนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าตกลงมาจากฟ้าสวรรค์

25 ดังนั้นพระองค์ทรงทำลายเมืองเหล่านั้นและที่ราบลุ่มทั้งหมด รวมทั้งทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้นและพืชพันธุ์ทั้งสิ้นด้วย

26 แต่ภรรยาของโลทเหลียวกลับไปดู นางจึงกลายเป็นเสาเกลือ

27 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมลุกขึ้นและกลับไปยังสถานที่ซึ่งเขาเคยยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

28 เขามองลงไปยังเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์และกวาดสายตาไปทั่วดินแดนในที่ราบ เขามองเห็นควันหนาทึบพลุ่งขึ้นจากดินแดนนั้นเหมือนควันที่ออกจากเตาหลอม

29 ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงทำลายเมืองต่างๆ ในที่ราบนั้น พระองค์ทรงระลึกถึงอับราฮัมและทรงนำโลทออกมาจากภัยพิบัติซึ่งทำลายล้างเมืองต่างๆ ที่โลทได้เคยอาศัยอยู่

โลทกับบุตรสาวทั้งสอง

30 โลทกับบุตรสาวทั้งสองของเขาออกจากเมืองโศอาร์ไปตั้งถิ่นฐานที่ภูเขาเพราะไม่กล้าอยู่ที่โศอาร์ พวกเขาไปอาศัยอยู่ในถ้ำ

31 วันหนึ่งบุตรสาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “พ่อของเราก็แก่แล้ว ไม่มีผู้ชายคนไหนในแถบนี้ที่จะมาแต่งงานกับเราอย่างที่ใครๆ ทั่วโลกเขาทำกัน

32 ให้เรามอมเหล้าพ่อแล้วหลับนอนกับท่าน เพื่อเราจะรักษาเชื้อสายของครอบครัวเราไว้ทางพ่อของเรา”

33 คืนวันนั้นหญิงทั้งสองจึงมอมเหล้าองุ่นบิดา แล้วบุตรสาวคนโตก็เข้าไปหลับนอนกับบิดา โลทไม่รู้สึกตัวว่าลูกเข้ามานอนด้วยหรือลุกออกไปเมื่อใด

34 วันรุ่งขึ้นบุตรสาวคนโตก็พูดกับน้องสาวว่า “เมื่อคืนพี่นอนกับพ่อแล้ว คืนนี้เราจะมอมเหล้าท่านอีก และน้องจงเข้าไปนอนกับพ่อ เพื่อเราจะสามารถรักษาเชื้อสายของครอบครัวเราไว้ทางพ่อของเรา”

35 คืนนั้นทั้งสองก็ทำให้บิดาเมามายอีก แล้วบุตรสาวคนเล็กก็เข้าไปนอนกับบิดา ครั้งนี้ก็เช่นกัน โลทไม่รู้สึกตัวเลยว่าลูกได้เข้ามานอนด้วยหรือลุกออกไปเมื่อใด

36 ดังนั้นบุตรสาวทั้งสองของโลทจึงตั้งครรภ์กับบิดา

37 บุตรสาวคนโตมีบุตรชาย และนางตั้งชื่อเขาว่าโมอับเขาเป็นบรรพบุรุษของชาวโมอับในปัจจุบัน

38 บุตรสาวคนเล็กก็มีบุตรชายคนหนึ่งด้วย นางตั้งชื่อเขาว่าเบนอัมมีเขาเป็นบรรพบุรุษของชาวอัมโมนในปัจจุบัน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/19-41d404792b0828970d5d4d96a5127b5c.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 20

อับราฮัมและอาบีเมเลค

1 อับราฮัมเดินทางจากที่นั่นเข้าไปในเขตเนเกบและตั้งถิ่นฐานอยู่ระหว่างเมืองคาเดชกับเมืองชูร์ เขาพักที่เมืองเกราร์ชั่วระยะหนึ่ง

2 ที่นั่น อับราฮัมบอกใครต่อใครเกี่ยวกับซาราห์ภรรยาของเขาว่า “นางคือน้องสาวของข้าพเจ้า” กษัตริย์อาบีเมเลคแห่งเกราร์จึงส่งคนมารับนางไป

3 แต่ในคืนหนึ่ง พระเจ้าเสด็จมาหาอาบีเมเลคในความฝันและตรัสกับเขาว่า “เจ้าจะต้องตายแน่! เพราะหญิงคนนั้นซึ่งเจ้าพามามีสามีแล้ว”

4 แต่อาบีเมเลคยังไม่ได้เข้าหานางเลย เขาจึงทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงทำลายชนชาติที่ไม่ผิดหรือ?

5 เขาไม่ได้บอกข้าพระองค์หรอกหรือว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า’ และนางเองก็ไม่ได้พูดด้วยหรอกหรือว่า ‘เขาเป็นพี่ชายของข้าพเจ้า’? ข้าพระองค์ทำไปด้วยใจซื่อมือสะอาด”

6 พระเจ้าตรัสกับเขาในความฝันว่า “ถูกแล้ว เรารู้ว่าเจ้าทำไปด้วยใจซื่อ เหตุนี้แหละเราจึงปกป้องเจ้าไว้ไม่ให้ทำบาปต่อเรา นี่เป็นเหตุที่เราไม่ปล่อยให้เจ้าแตะต้องตัวนาง

7 บัดนี้จงคืนภรรยาของชายผู้นั้นกลับไป เพราะเขาเป็นผู้เผยพระวจนะ แล้วเขาจะอธิษฐานเผื่อเจ้า แล้วเจ้าจะรอดชีวิต แต่ถ้าเจ้าไม่ยอมคืนนาง เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่าเจ้ากับคนของเจ้าทั้งหมดจะต้องตาย”

8 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นอาบีเมเลคเรียกประชุมข้าราชสำนักทั้งหมดและแจ้งพวกเขาให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนทั้งปวงก็กลัวยิ่งนัก

9 อาบีเมเลคจึงเรียกอับราฮัมมาถามว่า “ทำไมท่านทำกับเราอย่างนี้? เราทำผิดอะไรต่อท่านหรือ? ท่านจึงนำความผิดใหญ่หลวงมาตกกับเราและอาณาจักรของเรา? ท่านไม่ควรทำกับเราเช่นนี้เลย”

10 อาบีเมเลคถามอับราฮัมว่า “เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้?”

11 อับราฮัมตอบว่า “ข้าพเจ้าบอกตัวเองว่า ‘ผู้คนที่นี่ไม่เกรงกลัวพระเจ้าแน่ๆ พวกเขาจะฆ่าเราเพราะอยากได้ภรรยาของเรา’

12 นอกจากนี้นางก็เป็นน้องสาวของข้าพเจ้าจริงๆ นางเป็นน้องต่างมารดาของข้าพเจ้า และนางได้มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้า

13 เมื่อพระเจ้าให้ข้าพเจ้ารอนแรมออกจากครัวเรือนของบิดา ข้าพเจ้าบอกนางว่า ‘ถ้าเจ้ารักเรา ไม่ว่าไปที่ไหนขอให้เจ้าบอกว่า “เขาเป็นพี่ชายของฉัน” ’ ”

14 อาบีเมเลคจึงยกฝูงแกะ ฝูงวัว และข้าทาสชายหญิงให้แก่อับราฮัม และคืนนางซาราห์ผู้เป็นภรรยาให้แก่เขา

15 อาบีเมเลคกล่าวว่า “ดินแดนของเราอยู่ตรงหน้าท่าน จะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ”

16 แล้วเขากล่าวกับซาราห์ว่า “เราขอมอบเงินหนึ่งพันเชเขลแก่พี่ชายของเจ้า เป็นค่าทำขวัญต่อหน้าทุกคนที่อยู่กับเจ้า เจ้าไม่มีมลทินใดๆ เลย”

17 จากนั้นอับราฮัมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงรักษาอาบีเมเลค ชายา และทาสหญิงของเขา ให้พวกเขาสามารถมีบุตรได้อีกครั้งหนึ่ง

18 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ผู้หญิงทุกคนในครัวเรือนของอาบีเมเลคเป็นหมัน ด้วยเหตุจากนางซาราห์ภรรยาของอับราฮัม

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/20-be5ff208bb0a73a6cb136ce20a94e65f.mp3?version_id=179—