Categories
โยชูวา

โยชูวา 24

ฟื้นฟูพันธสัญญาที่เชเคม

1 แล้วโยชูวาจึงเรียกอิสราเอลทุกเผ่าที่เชเคม พร้อมทั้งบรรดาผู้อาวุโส ผู้นำ ตุลาการ และเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลมาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระเจ้า

2 โยชูวากล่าวแก่ประชากรทั้งปวงดังนี้ “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘นานมาแล้วบรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งเทราห์บิดาของอับราฮัมและนาโฮร์อาศัยอยู่ฟากข้างโน้นของแม่น้ำยูเฟรติสและนมัสการพระอื่นๆ

3 แต่เราได้พาอับราฮัมบิดาของเจ้าจากดินแดนนั้น ข้ามแม่น้ำยูเฟรติสมายังดินแดนคานาอัน และให้เขามีลูกหลานมากมาย เราให้อิสอัคแก่เขา

4 และเราให้ยาโคบกับเอซาวแก่อิสอัค เรายกดินแดนแถบภูเขาเสอีร์ให้แก่เอซาว ส่วนยาโคบกับลูกๆ ไปยังอียิปต์

5 “ ‘แล้วเราส่งโมเสสกับอาโรนไป เราลงโทษชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติต่างๆ ที่เราทำ และนำพวกเจ้าออกมา

6 เมื่อเรานำบรรพบุรุษของเจ้าออกจากอียิปต์มาถึงทะเลแดงและรถม้าศึกกับเหล่าทหารม้าของชาวอียิปต์ไล่ล่าพวกเขามาจนถึงทะเลนั้น

7 พวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ก็ทรงบันดาลความมืดกั้นระหว่างพวกเจ้ากับชาวอียิปต์ พระองค์ให้ทะเลถาโถมเข้าใส่พวกเขา เจ้าทั้งหลายได้เห็นสิ่งที่เราทำแก่ชาวอียิปต์กับตา จากนั้นพวกเจ้าอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารเป็นเวลานาน

8 “ ‘เราได้นำเจ้าทั้งหลายมายังดินแดนของชาวอาโมไรต์ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน เขาสู้รบกับเจ้า แต่เรามอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า เราทำลายพวกเขาให้พ้นหน้าเจ้า และเจ้าเข้ายึดครองดินแดนของพวกเขา

9 เมื่อบาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับเตรียมสู้รบกับอิสราเอล เขาได้เรียกบาลาอัมบุตรเบโอร์มาแช่งเจ้า

10 แต่เราไม่ฟังบาลาอัม ดังนั้นเขาจึงอวยพรเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และเรากอบกู้เจ้าจากเงื้อมมือของเขา

11 “ ‘จากนั้นเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนมายังเยรีโค ชาวเยรีโคสู้กับเจ้า เช่นเดียวกับชาวอาโมไรต์ เปริสซี คานาอัน ฮิตไทต์ เกอร์กาชี ฮีไวต์ และเยบุส แต่เรามอบเขาไว้ในมือของเจ้า

12 เราส่งฝูงต่อล่วงหน้าเจ้าไป เพื่อขับไล่พวกเขารวมทั้งกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ทั้งสององค์ออกไปให้พ้นหน้าเจ้า เจ้าชนะได้ไม่ใช่ด้วยดาบหรือธนูของเจ้าเอง

13 เรายกที่ดินที่เจ้าไม่ได้ลงแรง ยกเมืองที่เจ้าไม่ได้สร้างให้แก่เจ้า ซึ่งเจ้าอาศัยอยู่ขณะนี้ และกินผลองุ่นและมะกอกที่เจ้าไม่ได้ปลูก’

14 “ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและปรนนิบัติพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ทุกประการ จงกำจัดพระทั้งหลายซึ่งบรรพบุรุษของท่านนมัสการที่ฟากโน้นของแม่น้ำยูเฟรติสและในอียิปต์ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า

15 แต่หากท่านไม่เต็มใจที่จะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จงเลือกในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร จะเป็นพระต่างๆ ซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติที่ฟากข้างโน้นของแม่น้ำยูเฟรติส หรือพระต่างๆ ของชาวอาโมไรต์ในดินแดนซึ่งท่านอาศัยอยู่ขณะนี้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองกับครอบครัวจะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า”

16 ประชากรจึงตอบว่า “ขอให้การนั้นห่างไกลจากเราเถิด เราจะไม่ทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไปปรนนิบัติพระอื่น!

17 พระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา พระองค์เองนี่แหละคือผู้ที่นำเราและบรรพบุรุษของเราออกมาจากอียิปต์ จากดินแดนแห่งความเป็นทาส ทรงกระทำหมายสำคัญอันยิ่งใหญ่เหล่านั้นต่อหน้าต่อตาเรา พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองเราตลอดการเดินทางและจากชนชาติต่างๆ

18 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ชนชาติทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้รวมทั้งชาวอาโมไรต์ออกไป เราก็จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นกันเพราะพระองค์แต่ผู้เดียวเป็นพระเจ้าของเรา”

19 โยชูวาตอบเหล่าประชากรว่า “ท่านไม่สามารถปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้หึงหวง พระองค์จะไม่ทรงอภัยการกบฏและบาปของท่าน

20 หากท่านละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าไปปรนนิบัติพระต่างด้าว พระองค์จะทรงหันกลับและนำภัยพิบัติมาเหนือท่านและทำลายท่านหมดสิ้น แม้ว่าพระองค์ทรงดีต่อท่านตลอดมาก็ตาม”

21 แต่เหล่าประชากรกล่าวกับโยชูวาว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น! เราจะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า”

22 แล้วโยชูวาจึงกล่าวว่า “ท่านเป็นพยานผูกมัดตัวเองแล้วนะว่าท่านเลือกที่จะปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า” เขาตอบว่า “ถูกแล้ว เราเป็นพยาน”

23 โยชูวากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นจงทิ้งพระต่างด้าวทั้งปวงซึ่งอยู่ท่ามกลางท่าน และมอบจิตใจของท่านแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเถิด”

24 เหล่าประชากรกล่าวกับโยชูวาว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราและเชื่อฟังพระองค์”

25 ในวันนั้น โยชูวาจึงทำพันธสัญญาสำหรับเหล่าประชากร และเขาเขียนกฎหมายและบทบัญญัติให้พวกเขาที่เชเคม

26 โยชูวายังได้บันทึกสิ่งเหล่านี้ลงในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลิ้งหินก้อนใหญ่มาตั้งขึ้นใต้ต้นโอ๊กข้างสถานบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

27 โยชูวากล่าวกับประชากรทั้งปวงว่า “ดูเถิด! หินก้อนนี้จะเป็นพยานผูกมัดเรา หินก้อนนี้ได้ยินทุกคำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเรา ฉะนั้นมันจะเป็นพยานผูกมัดท่าน หากท่านไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของท่าน”

การฝังศพในดินแดนแห่งพันธสัญญา

28 จากนั้นโยชูวาจึงให้ประชากรแยกย้ายกันกลับไปยังดินแดนตามกรรมสิทธิ์ของตน

29 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ โยชูวาบุตรนูนผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตลงเมื่ออายุได้ 110 ปี

30 และเขาถูกฝังไว้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของเขาที่ทิมนาทเสราห์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิมทางเหนือของภูเขากาอัช

31 อิสราเอลปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดช่วงอายุของโยชูวา และบรรดาผู้อาวุโสซึ่งอายุยืนกว่าโยชูวา และผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเพื่ออิสราเอล

32 กระดูกของโยเซฟซึ่งชนอิสราเอลได้นำออกมาจากอียิปต์ถูกฝังไว้ที่เชเคม ในที่ดินซึ่งยาโคบซื้อมาจากบุตรของฮาโมร์บิดาของเชเคม ในราคาเงินหนึ่งร้อยแผ่นซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหลานเผ่าโยเซฟ

33 และเอเลอาซาร์บุตรของอาโรนก็สิ้นชีวิต และถูกฝังไว้ที่เมืองกิเบอาห์ ซึ่งแบ่งสรรให้แก่ฟีเนหัสบุตรของเขาในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JOS/24-23839df5298d55b897f1c01be046ea25.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 1

อิสราเอลต่อสู้กับชาวคานาอันที่เหลือ

1 หลังจากที่โยชูวาสิ้นชีวิตแล้ว ชนอิสราเอลทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ใครควรออกทำศึกกับชาวคานาอันก่อน?”

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ให้ยูดาห์ไปก่อน เราได้มอบดินแดนนั้นไว้ในมือของพวกเขาแล้ว”

3 ชนเผ่ายูดาห์กล่าวกับพี่น้องเผ่าสิเมโอนว่า “โปรดมาช่วยเรารบกับชาวคานาอันในดินแดนซึ่งเป็นของเราตามที่ได้แบ่งสรรแล้ว และเราจะไปช่วยเมื่อถึงคราวของท่านบ้าง” ฉะนั้นชาวสิเมโอนจึงไปสมทบกับชาวยูดาห์

4 เมื่อยูดาห์เข้าโจมตีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบชาวคานาอันและชาวเปริสซีไว้ในมือพวกเขา พวกเขาฆ่าคนเหล่านั้นไปหนึ่งหมื่นคนที่เบเซก

5 พวกเขาพบอาโดนีเบเซกที่นั่นและสู้รบกับเขา จนชาวคานาอันกับชาวเปริสซีแตกพ่ายไป

6 อาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาไล่ตามและจับกุมตัวไว้ได้ แล้วตัดนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วหัวแม่เท้าของเขา

7 แล้วอาโดนีเบเซกกล่าวว่า “เราเคยตัดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วหัวแม่เท้ากษัตริย์เจ็ดสิบองค์ และให้พวกเขากินเศษอาหารจากใต้โต๊ะของเรา บัดนี้พระเจ้าทรงแก้แค้นในสิ่งที่เราได้ทำแล้ว” พวกเขานำตัวอาโดนีเบเซกไปยังเยรูซาเล็ม และเขาสิ้นชีวิตที่นั่น

8 ชาวยูดาห์โจมตีเยรูซาเล็มและยึดเมืองได้ พวกเขาประหารชาวเมืองนั้น แล้วจุดไฟเผาเมือง

9 หลังจากนั้นคนของยูดาห์ลงไปรบกับชาวคานาอันซึ่งอยู่ในดินแดนเทือกเขาในเนเกบและแถบเชิงเขาทางตะวันตก

10 แล้วไปสู้รบกับชาวคานาอันในเฮโบรน (เดิมเรียกว่า คีริยาทอารบา) และพิชิตเชชัย อาหิมาน และทัลมัย

11 จากนั้นพวกเขาบุกเข้าโจมตีชาวเมืองเดบีร์ (เดิมเรียกว่า คีริยาทเสเฟอร์)

12 และคาเลบประกาศว่า “ใครบุกเข้าโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์ลูกสาวของเราให้เป็นภรรยา”

13 โอทนีเอลบุตรชายของเคนัสซึ่งเป็นน้องชายของคาเลบยึดเมืองได้ ดังนั้นคาเลบจึงยกอัคสาห์ลูกสาวของเขาให้เป็นภรรยา

14 วันหนึ่งเมื่อนางมาหาโอทนีเอล นางรบเร้าเขาให้ขอที่ดินจากบิดาของนาง เมื่อนางลงจากหลังลา คาเลบถามนางว่า “พ่อจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง?”

15 นางตอบว่า “ขอพ่อเมตตาลูกเป็นพิเศษ ในเมื่อพ่อได้ยกที่ดินในเนเกบให้ลูกแล้ว โปรดยกน้ำพุให้ลูกด้วยเถิด” คาเลบจึงยกน้ำพุบนและน้ำพุล่างให้นาง

16 ชาวเคไนต์ซึ่งเป็นลูกหลานของพ่อตาของโมเสสได้ย้ายจากเยรีโคเมืองแห่งต้นอินทผลัม ติดตามคนยูดาห์มาอาศัยอยู่กับคนในถิ่นกันดารแห่งยูดาห์ในเนเกบใกล้อาราด

17 แล้วชนยูดาห์สมทบกับคนสิเมโอนไปโจมตีชาวคานาอันที่เศฟัท ทำลายล้างหมดทั้งเมือง เมืองนั้นจึงได้ชื่อว่าโฮรมาห์

18 ชนยูดาห์ยังได้ยึดกาซา อัชเคโลน และเอโครน พร้อมทั้งอาณาเขตของเมืองนั้นๆ ด้วย

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับชนยูดาห์ พวกเขายึดครองดินแดนเทือกเขาได้ แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองออกไปจากที่ราบเพราะพวกนั้นมีรถรบเหล็ก

20 เมืองเฮโบรนยกให้คาเลบตามที่โมเสสสัญญาไว้ คาเลบขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกไป

21 แต่เผ่าเบนยามินไม่สามารถขับไล่ชาวเยบุสซึ่งอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มได้ ชาวเยบุสยังคงอาศัยอยู่ที่นั่นกับชาวเบนยามินตราบจนทุกวันนี้

22 ตระกูลโยเซฟเข้าโจมตีเบธเอล และองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา

23 เมื่อพวกเขาส่งคนไปดูลาดเลาที่เบธเอล (เดิมเรียกว่า ลูส)

24 สายสืบเห็นชายคนหนึ่งกำลังจะออกมานอกเมือง จึงกล่าวกับเขาว่า “จงบอกทางเข้าเมืองแก่เรา และเราจะปรานีเจ้า”

25 ชายผู้นั้นจึงชี้ช่องทางให้ พวกเขาก็เข้าไปประหารประชากรทั้งหมด ยกเว้นชายผู้นั้นกับครอบครัวของเขา

26 ต่อมาชายผู้นั้นย้ายเข้าไปในดินแดนของชาวฮิตไทต์ สร้างเมืองขึ้นที่นั่น และตั้งชื่อเมืองนั้นว่าลูส ซึ่งยังคงเรียกกันจนถึงทุกวันนี้

27 แต่มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในเบธชาน ทาอานาค โดร์ อิบเลอัม เมกิดโด พร้อมทั้งหมู่บ้านโดยรอบ เพราะชาวคานาอันยังยืนกรานที่จะอยู่ในดินแดนนั้น

28 เมื่ออิสราเอลแข็งแกร่งขึ้น ก็บีบบังคับชาวคานาอันให้ทำงานหนัก แต่ไม่เคยขับไล่คนเหล่านั้นออกไปจากดินแดน

29 เอฟราอิมก็ไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเกเซอร์ คนเหล่านี้ยังคงอยู่ท่ามกลางพวกเขา

30 เศบูลุนก็ไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขาในคิทโรนหรือนาหะโลล แต่เกณฑ์แรงงานคนเหล่านั้น

31 อาเชอร์ก็ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค ไซดอน อาห์ลาบ อัคซิบ เฮลบาห์ อาเฟค หรือเรโหบ

32 ด้วยเหตุนี้ชาวอาเชอร์จึงอาศัยอยู่ร่วมกับชาวคานาอันซึ่งเป็นคนถิ่นนั้น

33 นัฟทาลีก็ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมชหรือชาวเบธอานาทออกไป แต่ชาวนัฟทาลีอาศัยอยู่ท่ามกลางชาวคานาอันและเกณฑ์แรงงานจากชาวเบธเชเมชและเบธอานาทเช่นกัน

34 ชาวอาโมไรต์บังคับชาวดานให้อยู่แต่ในดินแดนเทือกเขา ไม่ยอมให้ลงมายังที่ราบเลย

35 ชาวอาโมไรต์ยังคงปักหลักอยู่ที่ภูเขาเฮเรส อัยยาโลน และ ชาอัลบิม แต่เมื่อพงศ์พันธุ์ของโยเซฟมีกำลังเข้มแข็งขึ้น ก็บีบบังคับเกณฑ์แรงงานพวกเขา

36 พรมแดนของชาวอาโมไรต์เริ่มจากช่องแคบแมงป่องไปสู่เสลาและเหนือขึ้นไป

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/1-93bcaed6bb6404710625323e7616168f.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 2

ทูตของพระเจ้าที่โบคิม

1 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากกิลกาลมายังโบคิมและกล่าวว่า “เรานำเจ้าออกมาจากอียิปต์เข้าสู่ดินแดนนี้ซึ่งเราสาบานไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า เรากล่าวไว้ว่า ‘เราจะไม่ล้มล้างพันธสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า

2 และเจ้าจะต้องไม่ทำพันธสัญญากับชาวดินแดนนี้ แต่เจ้าจะต้องทำลายแท่นบูชาทั้งหลายของพวกเขา’ แต่เจ้าไม่เชื่อฟังเรา เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้?

3 ดังนั้นในคราวนี้ เราจึงลั่นวาจาว่าเราจะไม่ขับไล่พวกเขาออกไปให้พ้นหน้าเจ้า เขาจะเป็นหอกข้างแคร่ทิ่มแทงเจ้า และพระของเขาจะเป็นกับดักของเจ้า”

4 เมื่อทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถ้อยคำเช่นนี้ต่อปวงชนอิสราเอลจบแล้ว พวกเขาก็ร้องไห้เสียงดัง

5 เขาจึงเรียกที่นั่นว่าโบคิมพวกเขาถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่นด้วย

การไม่เชื่อฟังและความพ่ายแพ้

6 หลังจากที่โยชูวาให้ชนอิสราเอลแยกย้ายกันไป พวกเขาก็ไปครอบครองดินแดนตามกรรมสิทธิ์ของตน

7 ประชาชนได้ปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชั่วชีวิตของโยชูวาและตลอดชีวิตของเหล่าผู้อาวุโสซึ่งมีอายุยืนยาวกว่าโยชูวาและได้เห็นพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่ออิสราเอล

8 โยชูวาบุตรนูนผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 110 ปี

9 และเขาถูกฝังไว้ในที่ดินกรรมสิทธิ์ของเขาที่ทิมนาทเฮเรสในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ทางเหนือของภูเขากาอัช

10 หลังจากคนในชั่วอายุนั้นสิ้นชีวิตหมดแล้ว คนรุ่นต่อมาก็ไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่รู้ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่ออิสราเอล

11 ชนชาติอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและไปปรนนิบัติพระบาอัล

12 พวกเขาละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขาผู้ทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์ พวกเขาหันไปกราบไหว้นมัสการพระต่างๆ ของชนชาติเพื่อนบ้าน ยั่วยุพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

13 เพราะพวกเขาละทิ้งพระองค์ไปปรนนิบัติพระบาอัลและพระอัชโทเรท

14 ด้วยพระพิโรธต่ออิสราเอลองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้พวกเขาพ่ายแพ้ศัตรูซึ่งปล้นพวกเขา พระองค์ทรงขายพวกเขาให้แก่ศัตรูรอบด้านซึ่งเขาไม่อาจรับมือได้อีกต่อไป

15 เมื่อใดก็ตามที่อิสราเอลออกรบ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ต่อสู้กับพวกเขา ทำให้เขาพ่ายแพ้ตามที่พระองค์ทรงปฏิญาณไว้แล้ว เหล่าประชากรเป็นทุกข์แสนสาหัส

16 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งผู้วินิจฉัยให้ช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของผู้ที่มาปล้น

17 กระนั้นอิสราเอลก็ไม่ยอมฟังผู้วินิจฉัย แต่ขายตัวให้พระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น พวกเขาประพฤติแตกต่างจากบรรพบุรุษของพวกเขา พวกเขาหันเหจากวิถีทางแห่งการเชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างรวดเร็ว

18 เมื่อใดก็ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งผู้วินิจฉัยขึ้นมาเพื่อพวกเขา พระองค์ก็สถิตกับผู้วินิจฉัย และช่วยเหล่าประชากรให้พ้นจากเงื้อมมือของศัตรูตลอดชีวิตของผู้วินิจฉัยคนนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาสงสารเหล่าประชากร เมื่อเขาคร่ำครวญเพราะคนที่มากดขี่ข่มเหงและทำให้พวกเขาทุกข์ยาก

19 แต่เมื่อผู้วินิจฉัยสิ้นชีวิตลง เหล่าประชากรก็กลับไปสู่หนทางที่เลวร้ายยิ่งกว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเสียอีก พวกเขาหันไปติดตามปรนนิบัติและนมัสการพระต่างๆ พวกเขาไม่ยอมละทิ้งการกระทำอันชั่วร้ายและทางแห่งความดื้อดึงของตน

20 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งนักและตรัสว่า “เนื่องจากชนชาตินี้ละเมิดพันธสัญญาที่เราให้ไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขาและไม่ยอมฟังเรา

21 ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่ขับไล่ชนชาติต่างๆ ที่โยชูวายังไม่ได้ปราบเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่

22 แต่เราจะใช้ชนชาติเหล่านี้ทดสอบอิสราเอลดูว่าเขาจะดำเนินตามทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าและทำตามบรรพบุรุษของพวกเขาหรือไม่”

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้ชนชาติทั้งหลายคงอยู่ในดินแดนนั้น ไม่ได้ทรงขับไล่พวกเขาออกไปให้หมดในคราวเดียว หรือมอบไว้ในมือของโยชูวา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/2-82f0f0fc4d4416436a33ea437e1604e9.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 3

1 ต่อไปนี้คือชนชาติต่างๆ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ทิ้งไว้ เพื่อทดสอบชนชาติอิสราเอลซึ่งไม่เคยร่วมรบในคานาอัน

2 (พระองค์ทรงทำเช่นนี้เพื่อที่จะสอนลูกหลานอิสราเอลซึ่งไม่เคยผ่านการรบ ให้เรียนรู้การทำสงคราม)

3 ได้แก่ ประมุขทั้งห้าของชาวฟีลิสเตีย ชาวคานาอันทั้งปวง ชาวไซดอน และชาวฮีไวต์ซึ่งอาศัยอยู่แถบภูเขาเลบานอน จากภูเขาบาอัลเฮอร์โมนถึงเลโบฮามัท

4 ชนชาติเหล่านี้เป็นเครื่องทดสอบชนอิสราเอล เพื่อดูว่าพวกเขาจะเชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขาผ่านทางโมเสสหรือไม่

5 ชาวอิสราเอลจึงอาศัยอยู่ท่ามกลางชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเปริสซี ชาวอาโมไรต์ และชาวเยบุส

6 ชาวอิสราเอลรับหญิงสาวของพวกเขามาเป็นภรรยา หญิงอิสราเอลก็แต่งงานกับหนุ่มชาติต่างๆ เหล่านั้น และเหล่าประชากรได้ไปปรนนิบัติพระของพวกเขา

โอทนีเอล

7 ชนอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าพวกเขาหลงลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาและได้ปรนนิบัติพระบาอัลและเจ้าแม่อาเชราห์

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลอย่างมาก ถึงกับทรงขายพวกเขาไว้ในมือของกษัตริย์คูชันริชาธาอิมแห่งอารัมนาหะราอิมอิสราเอลตกอยู่ใต้อำนาจของเขาเป็นเวลาแปดปี

9 แต่เมื่อพวกเขาร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ก็ทรงตั้งโอทนีเอลบุตรเคนัสน้องชายของคาเลบให้ช่วยกู้พวกเขา

10 พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือโอทนีเอล เขาจึงเป็นผู้วินิจฉัยของอิสราเอลและออกรบองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์คูชันริชาธาอิมแห่งอารัมไว้ในมือของโอทนีเอล ซึ่งรบชนะเขา

11 ดังนั้นดินแดนนี้จึงมีความสงบสุขอยู่สี่สิบปี จนกระทั่งโอทนีเอลบุตรเคนัสสิ้นชีวิต

เอฮูด

12 แล้วประชากรอิสราเอลก็หวนกลับไปทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีกองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงให้กษัตริย์เอกโลนแห่งโมอับมีอำนาจเหนืออิสราเอล

13 เมื่อกษัตริย์เอกโลนได้ชาวอัมโมนและชาวอามาเลขมาสมทบ ก็ยกมาโจมตีอิสราเอล และยึดครองเมืองแห่งต้นอินทผลัมได้

14 ชาวอิสราเอลต้องขึ้นกับกษัตริย์เอกโลนแห่งโมอับเป็นเวลาสิบแปดปี

15 อิสราเอลร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง และพระองค์ประทานผู้กอบกู้คือเอฮูดซึ่งเป็นคนถนัดซ้าย เอฮูดเป็นบุตรเกราชาวเบนยามิน ชนอิสราเอลให้เขานำส่วยไปมอบแก่กษัตริย์เอกโลนแห่งโมอับ

16 เอฮูดได้เตรียมดาบสองคมยาว 1 ศอกเล่มหนึ่งเหน็บไว้ที่ต้นขาขวาใต้เสื้อผ้า

17 เขานำส่วยไปมอบให้กษัตริย์เอกโลนแห่งโมอับซึ่งเป็นคนที่อ้วนมาก

18 หลังจากเอฮูดมอบส่วยเสร็จแล้ว เขาก็ให้ผู้คนที่แบกหามส่วยมานั้นกลับไป

19 เมื่อมาถึงที่ตั้งรูปเคารพต่างๆใกล้กิลกาล เอฮูดก็กลับมาหาเอกโลนและทูลว่า “ข้าแต่กษัตริย์ ข้าพระบาทมีความลับจะกราบทูล”

เอกโลนกล่าวว่า “จงเงียบ!” คนของเอกโลนก็ออกไปหมด

20 เอฮูดเดินเข้าไปหากษัตริย์เอกโลนซึ่งประทับนั่งอยู่เพียงลำพังในห้องชั้นบนของพระราชวังฤดูร้อนแล้วทูลว่า “ข้าพระบาทมีพระดำรัสจากพระเจ้าสำหรับฝ่าพระบาท” เอกโลนจึงลุกขึ้น

21 เอฮูดยื่นมือซ้ายชักดาบจากต้นขาขวาออกมาและแทงหน้าท้องของกษัตริย์เอกโลน

22 ดาบจมมิดด้ามทะลุหลัง เอฮูดไม่ได้ชักดาบกลับ ไขมันอาบดาบ

23 แล้วเอฮูดออกไปทางเฉลียงเขาปิดประตูห้องชั้นบนและลั่นกุญแจไว้

24 หลังจากเขาไปแล้ว เหล่าบริวารมาเห็นประตูห้องชั้นบนลั่นกุญแจไว้ พวกเขาจึงกล่าวว่า “พระราชาคงจะปลดทุกข์อยู่ที่ห้องชั้นใน”

25 พวกเขาคอยอยู่นานจนรู้สึกวุ่นวายใจ แต่กษัตริย์เอกโลนก็ไม่ได้เปิดประตูออกมา พวกเขาจึงหากุญแจมาเปิด ก็พบเจ้านายของตนนอนสิ้นชีวิตอยู่ที่พื้น

26 ขณะที่พวกเขารออยู่นั้น เอฮูดได้หลบหนีผ่านที่ตั้งรูปเคารพมาถึงเสอีราห์

27 เมื่อมาถึงที่นั่น เอฮูดก็เป่าแตรเขาสัตว์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ชนอิสราเอลก็ลงมาจากภูเขาต่างๆ โดยมีเอฮูดนำหน้า

28 เขาบัญชาว่า “จงตามข้าพเจ้ามา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบชาวโมอับศัตรูของท่านไว้ในมือของท่านแล้ว” พวกเขาจึงตามเอฮูดลงไปยึดท่าข้ามแม่น้ำจอร์แดนซึ่งนำไปสู่โมอับ สกัดไม่ให้ผู้ใดข้ามไปมา

29 ครั้งนั้นพวกเขาสังหารชาวโมอับนับหมื่นคนซึ่งล้วนแต่แข็งแรงและมีกำลัง ไม่ปล่อยให้เล็ดลอดไปแม้สักคนเดียว

30 โมอับจึงขึ้นกับอิสราเอลนับตั้งแต่นั้นมา แล้วแผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาแปดสิบปี

ชัมการ์

31 ถัดจากเอฮูดคือชัมการ์บุตรอานาท เขาใช้ประตักวัวอันเดียวฆ่าชาวฟีลิสเตียหกร้อยคน เขาก็เป็นผู้กอบกู้อิสราเอลเช่นเดียวกัน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/3-ad31ba3a210dfe72fe56c5e2d80d6307.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 4

เดโบราห์

1 หลังจากเอฮูดสิ้นชีวิตแล้ว ชนอิสราเอลทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงขายพวกเขาให้กษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันผู้ปกครองในฮาโซร์ แม่ทัพของกษัตริย์ยาบินคือสิเสราซึ่งอาศัยอยู่ที่ฮาโรเชธฮาโกยิม

3 อิสราเอลได้ร้องทูลขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยพวกเขาเพราะว่ากษัตริย์ยาบินมีรถรบเหล็กเก้าร้อยคัน และได้กดขี่ข่มเหงอิสราเอลอย่างโหดร้ายอยู่ถึงยี่สิบปี

4 ผู้นำของอิสราเอลในครั้งนั้นคือ ผู้เผยพระวจนะหญิงเดโบราห์ภรรยาของลัปปิโดท

5 นางเปิดศาลตัดสินอยู่ใต้ต้นอินทผลัมแห่งเดโบราห์ ซึ่งอยู่ระหว่างรามาห์กับเบธเอลในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ชาวอิสราเอลพากันมาให้นางตัดสินข้อพิพาท

6 เดโบราห์ส่งคนไปตามตัวบาราคบุตรอาบีโนอัมจากเคเดชในเขตนัฟทาลีมาพบ นางกล่าวกับบาราคว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลทรงบัญชาท่านว่า ‘จงยกพลหนึ่งหมื่นคนจากเผ่านัฟทาลีกับเผ่าเศบูลุนไปยังภูเขาทาโบร์

7 เราจะล่อสิเสราแม่ทัพของกษัตริย์ยาบินพร้อมด้วยรถม้าศึกและกองทหารของเขามาที่แม่น้ำคีโชน และมอบเขาไว้ในมือของเจ้า’ ”

8 บาราคตอบว่า “ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไป แต่หากท่านไม่ไปกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะไม่ไป”

9 เดโบราห์จึงตอบว่า “ตกลง เราจะไปกับท่าน แต่เพราะท่านเลือกวิธีนี้ท่านจะไม่ได้รับเกียรติ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบสิเสราไว้ในมือผู้หญิงคนหนึ่ง” ดังนั้นนางกับบาราคจึงเดินทางไปเคเดช

10 บาราคเกณฑ์ชายหนึ่งหมื่นคนจากเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลีที่เคเดชให้ติดตามเขาไปและเดโบราห์ก็ไปด้วย

11 ฝ่ายเฮเบอร์ชาวเคไนต์ ซึ่งเป็นลูกหลานของโฮบับพี่น้องของภรรยาของโมเสส ได้แยกออกจากวงศ์วานของตน มาตั้งเต็นท์อยู่ที่ต้นไม้ใหญ่แห่งศาอานันนิมใกล้เคเดช

12 เมื่อสิเสราได้ข่าวว่าบาราคบุตรอาบีโนอัมมาที่ภูเขาทาโบร์

13 สิเสราก็รวมพลทั้งหมดและรถรบเหล็กเก้าร้อยคันจากฮาโรเชธฮาโกยิมมายังแม่น้ำคีโชน

14 เดโบราห์จึงกล่าวแก่บาราคว่า “จงไปเถิด! วันนี้เป็นวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงมอบสิเสราไว้ในมือของท่านองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำหน้าท่านไปไม่ใช่หรือ?” ดังนั้นบาราคจึงนำพลหนึ่งหมื่นคนลงจากภูเขาทาโบร์เข้าประจัญบาน

15 ขณะบาราคเคลื่อนทัพไปข้างหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรุกไล่สิเสรากับรถม้าศึกและกองทัพของเขาด้วยดาบ สิเสราทิ้งรถรบของตนแล้ววิ่งหนีไป

16 แต่บาราครุกไล่ศัตรูและรถม้าศึกไปไกลถึงฮาโรเชธฮาโกยิม ทหารของสิเสราถูกฆ่าตายหมด ไม่รอดชีวิตแม้สักคนเดียว

17 แต่สิเสราก็หนีมาถึงเต็นท์ของยาเอลภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคไนต์ ทั้งนี้เพราะกษัตริย์ยาบินแห่งฮาโซร์กับตระกูลเฮเบอร์ชาวเคไนต์เป็นมิตรกัน

18 ยาเอลออกมาต้อนรับสิเสราและกล่าวว่า “เชิญเจ้านายของข้าพเจ้าเข้ามาในเต็นท์เถิด อย่ากลัวเลย” ดังนั้นเขาก็เข้าไปในเต็นท์ นางจึงคลี่ผ้าห่มคลุมตัวเขาไว้

19 เขากล่าวว่า “เรากระหายน้ำ ขอน้ำเราดื่มหน่อย” นางจึงเอานมมาให้เขาดื่ม และเอาผ้าคลุมตัวเขาไว้ดังเดิม

20 เขาสั่งนางว่า “จงยืนอยู่ที่ประตูเต็นท์ ถ้ามีใครผ่านมาและถามเจ้าว่า ‘มีใครอยู่ที่นี่หรือไม่?’ จงตอบว่า ‘ไม่มี’ ”

21 แต่ขณะที่สิเสรานอนหลับอยู่ด้วยความอ่อนเพลีย ยาเอลก็หยิบหลักหมุดเต็นท์และค้อน ย่องเข้ามาเงียบๆ แล้วตอกหลักหมุดเข้าที่ขมับของเขาทะลุดิน เขาก็ตาย

22 เมื่อบาราคไล่ล่าสิเสรามาถึงที่นี่ ยาเอลก็ออกไปพบและกล่าวว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ท่านดูคนที่ท่านกำลังตามหา” เขาจึงตามนางเข้าไปในเต็นท์ พบสิเสรานอนตายอยู่ที่นั่นมีหลักหมุดทะลุขมับ

23 ในวันนั้นพระเจ้าทรงทำให้กษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันพ่ายแพ้ชาวอิสราเอล

24 และตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลก็เริ่มเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถทำลายกษัตริย์ยาบินแห่งคานาอันได้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/4-fb42411d1ec55d40105d1b8fe21bb087.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 5

บทเพลงของเดโบราห์

1 ในวันนั้นเดโบราห์กับบาราคบุตรอาบีโนอัมร้องเพลงบทนี้ว่า

2 “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า!

เมื่อเหล่าเจ้านายในอิสราเอลนำหน้า

เมื่อเหล่าประชากรเต็มใจอุทิศตน

3 “ฟังเถิด กษัตริย์ทั้งหลาย! ฟังเถิด บรรดาเจ้านาย!

ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าจะขับร้อง

จะบรรเลงเพลงถวายพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล

4 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จออกมาจากเสอีร์

เมื่อทรงยาตราจากดินแดนเอโดม

โลกก็สั่นสะท้าน ท้องฟ้าหลั่งริน

เมฆเทฝนลงมา

5 ภูเขาสะเทือนเลื่อนลั่นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

แม้แต่ภูเขาซีนายก็สั่นคลอนต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล

6 “ในยุคของชัมการ์บุตรอานาท

ในสมัยของยาเอลถนนหนทางถูกทิ้งร้าง

ผู้สัญจรไปมาใช้เส้นทางคดเคี้ยว

7 วิถีชาวบ้านในอิสราเอลก็หยุดลง

หยุดจนกระทั่งข้าพเจ้าเดโบราห์ขึ้นมา

ดั่งมารดาคนหนึ่งของอิสราเอล

8 เมื่อพวกเขาเลือกพระอื่นๆ

สงครามก็มาประชิดประตูเมือง

และไม่มีโล่ไม่มีหอกให้เห็นเลย

ท่ามกลางชายฉกรรจ์สี่หมื่นคนในอิสราเอล

9 จิตใจของข้าพเจ้าชื่นชมบรรดาเจ้านายของอิสราเอล

และเหล่าอาสาสมัครในหมู่ประชาชน

สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า!

10 “ท่านผู้ขี่ลาสีขาว

นั่งอยู่บนอานพรม

และท่านผู้เดินตามถนน

จงใคร่ครวญ

11 เสียงของเหล่านักร้องที่แหล่งน้ำ

เขาเล่าขานถึงพระราชกิจอันชอบธรรมขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ถึงพันธกิจอันชอบธรรมของนักรบของพระองค์ในอิสราเอล

“แล้วชนชาติขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ลงมาที่ประตูเมือง

12 ‘ตื่นเถิดเดโบราห์เอ๋ย ตื่นขึ้นเถิด!

ตื่นเถิด ตื่นขึ้น เปล่งเสียงร้องเพลง!

บาราคเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด!

บุตรแห่งอาบีโนอัมเอ๋ย จงนำเชลยของท่านไป’

13 “ครั้งนั้นบรรดาผู้ที่เหลืออยู่

ลงมาต่อสู้เหล่าเจ้านาย

ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มาร่วมกับข้าพเจ้าต่อสู้ผู้เกรียงไกร

14 บางคนมาจากเอฟราอิมซึ่งเคยเป็นดินแดนของชาวอามาเลข

เบนยามินอยู่กับเหล่าประชากรที่ติดตามท่าน

เหล่าแม่ทัพลงมาจากมาคีร์

บรรดาผู้ถือคทาของแม่ทัพมาจากเศบูลุน

15 เจ้านายแห่งอิสสาคาร์ไปกับเดโบราห์

อิสสาคาร์สมทบกับบาราค

เร่งรุดติดตามเขาเข้าสู่หุบเขา

แต่ในแว่นแคว้นแห่งรูเบน

พากันใคร่ครวญอย่างหนัก

16 ทำไมท่านจึงพำนักอยู่รอบกองไฟ

เพื่อฟังเสียงผิวปากเรียกฝูงแกะ?

แต่ในแว่นแคว้นแห่งรูเบน

พากันใคร่ครวญอย่างหนัก

17 กิเลอาดอยู่ฟากข้างโน้นของแม่น้ำจอร์แดน

และดานทำไมยังมัวอ้อยอิ่งอยู่ข้างๆ เรือ?

อาเชอร์เอ้อระเหยอยู่ที่ชายฝั่ง

นั่งเฉยอยู่ริมทะเล

18 ประชากรของเศบูลุนเสี่ยงชีวิตของตน

นัฟทาลีก็อยู่ในสมรภูมิเช่นเดียวกัน

19 “เหล่ากษัตริย์มาสู้รบกัน

เหล่ากษัตริย์แห่งคานาอันได้สู้รบกัน

ที่ทาอานาค ใกล้ห้วงน้ำแห่งเมกิดโด

แต่ไม่ได้ริบเงินริบข้าวของใดๆ เลย

20 ดวงดาวจากฟ้าสวรรค์

ออกจากวงโคจรมาต่อสู้สิเสรา

21 แม่น้ำคีโชน แม่น้ำสายโบราณ

กวาดล้างพวกเขาออกไป

จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงเดินหน้าต่อไป จงเข้มแข็งเถิด!

22 และแล้วเสียงเกือกม้าก็ดังกระหึ่ม

ม้าศึกของเขาควบห้อออกไป

23 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘จงสาปแช่งเมโรส

สาปแช่งชาวเมืองนั้นอย่างหนัก

เพราะเขาไม่ได้มาช่วยองค์พระผู้เป็นเจ้า

ช่วยองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อสู้ผู้เกรียงไกร’

24 “หญิงผู้น่ายกย่องมากที่สุดคือยาเอล

ภรรยาของเฮเบอร์ชาวเคไนต์

เป็นผู้ที่น่าชมเชยที่สุดของบรรดาหญิงที่อาศัยอยู่ในเต็นท์

25 เขาร้องขอน้ำ นางก็ให้น้ำนม

นางนำนมข้นใส่ชามที่ใช้กับเหล่าเจ้านายมาให้เขา

26 นางเอื้อมมือหยิบหลักหมุดเต็นท์

มือขวาคว้าค้อนของช่างไม้

ตอกทะลุขมับของสิเสรา หัวเขาแหลกเหลว

นางตอกหลักหมุดทะลุขมับของเขา

27 เขาทรุดลงที่เท้าของนาง

เขาล้มลงตรงที่เขานอนอยู่

เขาฟุบลงแทบเท้าของนาง

เขาล้มลงตายตรงนั้น

28 “มารดาของสิเสรา

เฝ้ามองลอดลูกกรงหน้าต่างและร่ำร้องว่า

‘ทำไมรถรบของเขาจึงมาช้า?

ทำไมล้อของรถม้าศึกของเขาแล่นช้านัก?’

29 ผู้ฉลาดที่สุดในหมู่สตรีของนางก็ตอบนาง

อันที่จริงนางเฝ้าบอกตัวเองว่า

30 ‘พวกเขายังหาและแบ่งของเชลยกันไม่เสร็จหรือไร?

แต่ละคนได้หญิงสาวหนึ่งคนบ้าง สองคนบ้าง

สิเสราริบได้เสื้อผ้า

ปักสีสดสวย

ผ้าพันคอปักลวดลายสำหรับฉัน

ทั้งหมดนี้เป็นของที่ริบมา’

31 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า! ขอให้ศัตรูทั้งปวงของพระองค์พินาศไปเช่นนั้น

แต่ขอให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์เป็นเช่นดวงอาทิตย์

ที่โผล่ขึ้นด้วยพลัง”

แล้วแผ่นดินก็สงบสุขอยู่ตลอดสี่สิบปี

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/5-9ef11c4430e1e69a9ff9930ef9c100ae.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 6

กิเดโอน

1 ต่อมาชนอิสราเอลก็ทำชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก และพระองค์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของชาวมีเดียนเป็นเวลาเจ็ดปี

2 เพราะว่าชาวมีเดียนมีกำลังเข้มแข็งและโหดร้าย จนชาวอิสราเอลต้องหนีไปหาที่หลบซ่อนอยู่ในโพรงตามภูเขา ในถ้ำ และที่มั่นต่างๆ

3 เมื่อใดก็ตามที่ชนอิสราเอลหว่านพืช ชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชนชาติอื่นๆ ทางตะวันออกจะพากันมาบุกรุกพื้นที่

4 พวกเขามาตั้งค่ายและทำลายพืชพันธุ์ตลอดทางไปถึงกาซา ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตสักอย่างเดียวให้ชนอิสราเอล ไม่ว่าแกะ วัว หรือลา

5 พวกเขากรูเข้ามาพร้อมกับฝูงสัตว์ เต็นท์ของเขาเหมือนตั๊กแตนฝูงมหึมา ทั้งคนทั้งอูฐนับไม่ถ้วน พวกเขาบุกรุกเข้ามาเพื่อทำลายล้างดินแดน

6 ชาวมีเดียนทำให้ชนอิสราเอลสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องร้องทูลให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วย

7 เมื่อชนอิสราเอลร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะคนมีเดียน

8 พระองค์ทรงส่งผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาแจ้งว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้นำเจ้าออกมาจากอียิปต์ ออกจากแดนทาส

9 เรากอบกู้เจ้าจากอำนาจของอียิปต์ จากเงื้อมมือของบรรดาผู้ที่กดขี่ข่มเหงเจ้า เราขับไล่ศัตรูออกไปต่อหน้าเจ้า ยกดินแดนของเขาให้เจ้า

10 เราบอกเจ้าว่า ‘เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า อย่ากราบไหว้พระต่างๆ ของชาวอาโมไรต์ในดินแดนซึ่งเจ้าอาศัยอยู่’ แต่เจ้าก็ไม่ฟังเรา”

11 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ามานั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊กในโอฟราห์ ซึ่งเป็นที่ดินของโยอาชตระกูลอาบีเอเซอร์ กิเดโอนบุตรโยอาชกำลังนวดข้าวสาลีอยู่ในบ่อย่ำองุ่น เพื่อให้พ้นจากสายตาชาวมีเดียน

12 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนและกล่าวว่า “นักรบผู้เกรียงไกรเอ๋ยองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน”

13 กิเดโอนตอบว่า “ท่านขอรับ หากองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกข้าพเจ้า ทำไมเหตุการณ์ทั้งปวงนี้จึงเกิดขึ้นกับพวกข้าพเจ้าเล่า? ไหนล่ะการอัศจรรย์ทั้งปวงซึ่งบรรพบุรุษเคยเล่าให้ฟัง พวกเขาพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำพวกเราออกมาจากอียิปต์ไม่ใช่หรือ?’ แต่บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเรา และมอบเราไว้ในเงื้อมมือของชาวมีเดียน”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหันมาหาเขาและตรัสว่า “จงไปช่วยอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียนด้วยกำลังที่เจ้ามีอยู่ เราใช้เจ้าไปไม่ใช่หรือ?”

15 แต่กิเดโอนทูลถามว่า “พระองค์เจ้าข้าข้าพระองค์นี่หรือจะไปช่วยกู้อิสราเอล? ตระกูลของข้าพระองค์อ่อนแอที่สุดในเผ่ามนัสเสห์ และข้าพระองค์ก็เป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในครอบครัว”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้า เจ้าจะฟาดฟันชาวมีเดียนทั้งหมด”

17 กิเดโอนทูลตอบว่า “หากพระองค์ทรงโปรด ขอทรงให้หมายสำคัญเพื่อแสดงว่าเป็นพระองค์จริงๆ ที่กำลังตรัสกับข้าพระองค์อยู่

18 โปรดอย่าเพิ่งเสด็จไปไหนจนกว่าข้าพระองค์จะกลับมาและนำเครื่องบูชามาถวายพระองค์”

และพระองค์ตรัสว่า “เราจะรอจนเจ้ากลับมา”

19 กิเดโอนกลับเข้าไปจัดแจงปรุงลูกแพะตัวหนึ่ง และทำขนมปังไม่ใส่เชื้อจากแป้งประมาณ 22 ลิตรจากนั้นนำเนื้อใส่กระจาดและน้ำแกงใส่หม้อมาถวายทูตองค์นั้นที่ใต้ต้นโอ๊ก

20 ทูตของพระเจ้ากล่าวกับกิเดโอนว่า “จงวางเนื้อและขนมปังไม่ใส่เชื้อไว้บนหินก้อนนี้ และเอาน้ำแกงราด” กิเดโอนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง

21 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายื่นปลายไม้เท้าแตะเนื้อและขนมปังไม่ใส่เชื้อนั้น ไฟก็ลุกขึ้นจากก้อนหิน เผาเนื้อและขนมปังจนหมด แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็หายตัวไป

22 เมื่อกิเดโอนตระหนักว่าเป็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ร้องว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต! ข้าพระองค์ได้เห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าต่อตา!”

23 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “จงมีสันติสุขเถิด! อย่ากลัวเลย เจ้าจะไม่ตาย”

24 กิเดโอนจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและขนานนามว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นสันติสุข” แท่นนี้อยู่ที่โอฟราห์ ในที่ดินของตระกูลอาบีเอเซอร์ตราบจนทุกวันนี้

25 ในคืนนั้นเององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งกิเดโอนว่า “จงนำวัวผู้ตัวที่สองอายุเจ็ดปีจากฝูงสัตว์ของบิดาของเจ้ามา และรื้อแท่นบูชาพระบาอัลของบิดาและฟันเสาเจ้าแม่อาเชราห์ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วย

26 จากนั้นจงสร้างแท่นบูชาที่เหมาะสมสำหรับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าขึ้นบนยอดเนินเขาแห่งนั้น ใช้ไม้ที่ฟันจากเสาเจ้าแม่อาเชราห์ เป็นฟืนเผาวัวผู้ตัวที่สองเป็นเครื่องเผาบูชา”

27 กิเดโอนจึงพาคนรับใช้สิบคนมาด้วย และทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เขาไม่กล้าทำในเวลากลางวันเพราะกลัวสมาชิกในครอบครัวและชาวเมืองนั้น เขาจึงแอบทำในเวลากลางคืน

28 เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อชาวเมืองตื่นขึ้นมาพบว่าแท่นบูชาพระบาอัลถูกรื้อทำลาย เสาเจ้าแม่อาเชราห์ข้างแท่นถูกโค่น และมีวัวผู้ตัวที่สองเผาบูชาบนแท่นที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่!

29 ผู้คนต่างถามกันว่า “ใครทำอย่างนี้?”

เมื่อเขาสืบเสาะอย่างถี่ถ้วนก็ได้รับคำบอกเล่าว่า “กิเดโอนบุตรของโยอาชเป็นคนทำ”

30 คนในเมืองนั้นเรียกร้องกับโยอาชว่า “เอาตัวลูกชายของเจ้าออกมา เขาต้องตายที่บังอาจมารื้อแท่นบูชาของพระบาอัล แล้วยังฟันเสาเจ้าแม่อาเชราห์ทิ้งอีก”

31 แต่โยอาชตอบฝูงชนที่กำลังโกรธแค้นซึ่งห้อมล้อมเขาว่า “พวกท่านจะช่วยออกโรงแทนพระบาอัลหรือ? จะพยายามช่วยพระบาอัลหรืออย่างไร? ใครสู้แทนพระบาอัลจะต้องถูกฆ่าตายภายในเช้าวันนี้! ถ้าบาอัลเป็นเทพเจ้าจริงๆ เขาย่อมดูแลปกป้องตัวเองได้เวลาที่มีคนมารื้อแท่นของเขา”

32 ตั้งแต่วันนั้นมาเขาเรียกกิเดโอนว่าเยรุบบาอัลโดยกล่าวว่า “ให้พระบาอัลต่อสู้กับเขา” เพราะเขาได้ทำลายแท่นบูชาของพระบาอัล

33 ครั้งนั้นบรรดาชาวมีเดียน ชาวอามาเลข และชนชาติอื่นๆ ทางตะวันออก ผนึกกำลังกันยกข้ามแม่น้ำจอร์แดนมาตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขายิสเรเอล

34 แล้วพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือกิเดโอน เขาก็เป่าแตรเรียกคนตระกูลอาบีเอเซอร์ให้ติดตามเขา

35 เขายังส่งผู้สื่อสารไปทั่วเขตมนัสเสห์ อาเชอร์ เศบูลุน และนัฟทาลีอีกด้วย เพื่อเรียกรวบรวมกำลังพลและพวกเขาก็ตอบรับ

36 กิเดโอนกราบทูลพระเจ้าว่า “หากพระองค์จะทรงใช้ข้าพระองค์กอบกู้อิสราเอลจริงๆ ตามที่ทรงสัญญาไว้

37 ดูเถิด ข้าพระองค์จะวางขนแกะไว้ที่ลานนวดข้าว หากขนแกะเปียกน้ำค้างแต่พื้นดินแห้ง ข้าพระองค์ก็จะรู้ได้ว่าพระองค์จะทรงกอบกู้อิสราเอลด้วยมือของข้าพระองค์อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้”

38 แล้วก็เป็นเช่นนั้น วันรุ่งขึ้นเมื่อกิเดโอนตื่นแต่เช้า เขาก็บิดขนแกะมีน้ำค้างไหลออกมาเต็มชาม

39 กิเดโอนจึงกราบทูลพระเจ้าว่า “ขออย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์จะทูลขออีกครั้งเดียว ขอข้าพระองค์ได้ทดสอบกับขนแกะอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ขอให้ขนแกะแห้ง ส่วนพื้นดินรอบๆ เปียกน้ำค้าง”

40 คืนนั้นพระเจ้าทรงทำตามที่เขาทูลขอ ขนแกะแห้งอยู่ แต่พื้นดินมีน้ำค้างชุ่มไปหมด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/6-254992b53430204e8d07c489e29f6081.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 7

รบชนะชาวมีเดียน

1 ในเวลาเช้าตรู่เยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) และคนของเขาทั้งหมดออกมาตั้งค่ายที่น้ำพุฮาโรด ค่ายของชาวมีเดียนตั้งอยู่ทางเหนือของพวกเขาในหุบเขาซึ่งใกล้เนินเขาโมเรห์

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เจ้ามีกำลังพลมากเกินไป เราจะไม่ให้เจ้าชนะชาวมีเดียนด้วยคนมากมายขนาดนี้ เพื่อชาวอิสราเอลจะได้ไม่อวดอ้างกับเราว่าพวกเขากอบกู้ตนเองโดยอาศัยกำลังของพวกเขา

3 จงประกาศแก่คนทั้งปวงว่า ‘ผู้ใดหวาดกลัว จงหันกลับและไปจากภูเขากิเลอาดเถิด’ ” ฉะนั้นจึงมี 22,000 คนกลับบ้าน เหลืออยู่หนึ่งหมื่นคน

4 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “ยังมีคนมากเกินไป จงพาพวกเขาลงไปที่แหล่งน้ำ เราจะเลือกพวกเขาที่นั่น ถ้าเราบอกว่า ‘คนนี้จะไปกับเจ้า’ เขาก็จะไป แต่ถ้าเราบอกว่า ‘คนนี้จะไม่ไปกับเจ้า’ เขาก็จะไม่ไป”

5 ฉะนั้นกิเดโอนจึงนำคนของเขาลงมาที่ริมน้ำองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาที่นั่นว่า “จงแยกคนที่เลียน้ำกินเหมือนสุนัขออกจากคนที่คุกเข่าลงดื่มน้ำ”

6 มีเพียงสามร้อยคนที่เอามือวักน้ำขึ้นเลียนอกนั้นคุกเข่าลงดื่มน้ำ

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เราจะช่วยกู้เจ้าและมอบชาวมีเดียนไว้ในเงื้อมมือของเจ้าด้วยคนสามร้อยคนนี้ ให้คนอื่นกลับบ้านไปให้หมด”

8 ดังนั้นกิเดโอนจึงส่งชาวอิสราเอลที่เหลือกลับไปยังเต็นท์ของตน แต่เอาสามร้อยคนและเอาเสบียงอาหารกับแตรของคนที่กลับบ้านไว้

ฝ่ายชาวมีเดียนตั้งค่ายพักอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง

9 ในคืนนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “จงลุกขึ้น จงไปต่อสู้กับค่ายนั้น เพราะว่าเรากำลังจะมอบเขาไว้ในมือของเจ้า

10 แต่หากเจ้าหวาดกลัว ไม่กล้าโจมตี จงลงไปที่ค่ายของชาวมีเดียนพร้อมกับปูราห์คนรับใช้ของเจ้า

11 แล้วจงฟังสิ่งที่พวกเขากำลังพูดกัน หลังจากนั้นเจ้าจะมีกำลังใจที่จะเข้าโจมตีค่าย” ฉะนั้นกิเดโอนกับปูราห์คนรับใช้ของเขาจึงลงไปยังที่มั่นรอบนอกค่าย

12 คนมีเดียน คนอามาเลข และชนชาติอื่นทั้งหมดทางด้านตะวันออก ตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาอย่างหนาแน่นดั่งฝูงตั๊กแตน อูฐของเขามีมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนทรายที่ชายทะเล

13 กิเดโอนมาถึงพอดีกับที่ชายคนหนึ่งกำลังเล่าความฝันให้เพื่อนฟังว่า “ข้าพเจ้าฝันว่ามีขนมปังบาร์เลย์กลมๆ ก้อนหนึ่งกลิ้งเข้ามาในค่ายของชาวมีเดียนและกระแทกเต็นท์อย่างแรงจนเต็นท์ของเราพังราบลงมา”

14 เพื่อนของเขาตอบว่า “นี่ไม่ใช่อื่นไกล เป็นดาบของกิเดโอนบุตรโยอาชชาวอิสราเอล พระเจ้าทรงมอบชาวมีเดียนและค่ายทั้งค่ายไว้ในมือของเขาแล้ว”

15 เมื่อกิเดโอนได้ยินความฝันและความหมายก็ก้มกราบนมัสการพระเจ้า จากนั้นกลับไปยังค่ายพักของอิสราเอล แล้วร้องว่า “ลุกขึ้นเถิด!องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบค่ายของชาวมีเดียนไว้ในมือของท่านแล้ว”

16 กิเดโอนแบ่งคนสามร้อยคนออกเป็นสามกลุ่ม แจกจ่ายแตรกับหม้อดินเปล่าๆ ที่บรรจุคบเพลิงไว้ข้างในให้กับทุกคน

17 เขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “จงตามข้าพเจ้ามาและเฝ้าดู เมื่อข้าพเจ้าไปถึงริมค่าย จงทำตามข้าพเจ้าทุกประการ

18 ทันทีที่ข้าพเจ้าและคนในกลุ่มของข้าพเจ้าเป่าแตร ท่านจงเป่าแตรรอบค่ายและโห่ร้องว่า ‘เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อกิเดโอน’ ”

19 ราวสี่ห้าทุ่ม หลังจากที่ทหารรักษาการณ์เพิ่งผลัดเวรกัน กิเดโอนและคนหนึ่งร้อยคนที่ไปกับเขามาถึงรอบนอกค่ายทันใดนั้นกิเดโอนกับพวกก็เป่าแตรและทุบหม้อในมือทิ้ง

20 ทั้งสามกลุ่มเป่าแตรและทุบหม้อ มือซ้ายถือคบเพลิง มือขวาถือแตร และโห่ร้องว่า “ดาบนี้เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อกิเดโอน!”

21 จากนั้นพวกเขาก็เพียงแต่ยืนอยู่รอบค่าย ดูชาวมีเดียนทั้งหมดวิ่งพล่าน ร้องตะโกนขณะที่หนีเตลิดไป

22 เมื่อคนสามร้อยคนนั้นเป่าแตรองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้คนมีเดียนทั้งค่ายหันมาสู้รบและฆ่าฟันกันเอง แล้วกองทัพมีเดียนเตลิดหนีไปเบธชิทธาห์ ซึ่งเป็นทางไปเศเรราห์และหนีไปถึงเขตแดนอาเบลเมโฮลาห์ใกล้ทับบาท

23 ชนอิสราเอลจากนัฟทาลี อาเชอร์ และมนัสเสห์ทั้งหมดถูกเรียกออกมา พวกเขารุกไล่ชาวมีเดียน

24 กิเดโอนส่งผู้สื่อสารไปทั่วแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิมและกล่าวว่า “จงลงมาต่อสู้กับชาวมีเดียนและยึดน่านน้ำจอร์แดนไปจนถึงเบธบาราห์ก่อนหน้าพวกเขา”

ดังนั้นคนเอฟราอิมทั้งหมดจึงถูกเรียกออกมา และพวกเขายึดน่านน้ำจอร์แดนไปจนถึงเบธบาราห์

25 พวกเขาจับผู้นำมีเดียนสองคน คือโอเรบและเศเอบ พวกเขาฆ่าโอเรบที่ศิลาแห่งโอเรบและฆ่าเศเอบที่บ่อย่ำองุ่นแห่งเศเอบ พวกเขาตามล่าชาวมีเดียนและนำศีรษะของโอเรบกับเศเอบมามอบให้กิเดโอนซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำจอร์แดน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/7-4a1bd0b283102e31fef06b6801374e34.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 8

เศบาห์และศัลมุนนา

1 คนเผ่าเอฟราอิมมาถามกิเดโอนว่า “ทำไมจึงทำกับเราอย่างนี้? ทำไมท่านไม่เรียกเราเมื่อไปรบกับชาวมีเดียน?” แล้วพวกเขาก็ต่อว่ากิเดโอนอย่างรุนแรง

2 แต่เขาตอบคนเหล่านั้นว่า “ความสำเร็จของข้าพเจ้าเทียบกับสิ่งที่ท่านทำได้หรือ? ผลองุ่นที่เอฟราอิมเก็บตกได้ก็ยังดีกว่าผลองุ่นที่อาบีเอเซอร์เก็บได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่หรือ?

3 พระเจ้าทรงมอบโอเรบและเศเอบซึ่งเป็นผู้นำมีเดียนไว้ในมือของท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าทำเทียบกับท่านได้หรือ?” เมื่อได้ฟังดังนั้น พวกเขาจึงค่อยหายขุ่นเคือง

4 กิเดโอนกับคนของเขาสามร้อยคนข้ามแม่น้ำจอร์แดน พวกเขาต่างก็อ่อนเพลีย แต่ยังคงรุกไล่ชาวมีเดียนอยู่

5 กิเดโอนกล่าวกับชาวเมืองสุคคทว่า “โปรดให้เสบียงแก่ทหารของข้าพเจ้าบ้างเถิด พวกเขาอิดโรยมาก และข้าพเจ้าก็ยังตามล่ากษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาของชาวมีเดียนอยู่”

6 แต่เจ้าหน้าที่ของเมืองสุคคทกล่าวว่า “ท่านจับตัวกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรที่เราจะต้องให้เสบียงแก่ทหารของท่านเล่า?”

7 กิเดโอนจึงตอบว่า “ถ้าท่านกล่าวเช่นนี้แล้ว เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาไว้ในมือของเรา เราจะฉีกเนื้อพวกท่านด้วยหนามทะเลทราย”

8 จากที่นั่นกิเดโอนขึ้นไปที่เปนีเอลและขอเสบียงอาหารเช่นกัน แต่ได้รับคำตอบอย่างเดียวกับที่ได้รับจากชาวเมืองสุคคท

9 เขาจึงกล่าวกับชาวเปนีเอลว่า “เมื่อเรารบชนะกลับมา เราจะรื้อหอคอยนี้ทิ้ง”

10 ขณะนั้นกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาและกองทหารที่เหลือราว 15,000 คนอยู่ที่คารโคร์ ซึ่งเป็นจำนวนคนที่เหลือทั้งหมดจากทัพพันธมิตรของฟากตะวันออก เพราะพลดาบถูกฆ่าตายถึง 120,000 คน

11 กิเดโอนขึ้นไปตามเส้นทางของคนเร่ร่อนทางตะวันออกของโนบาห์และโยกเบฮาห์ บุกโจมตีโดยที่ศัตรูไม่คาดคิด

12 กษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาแห่งมีเดียนหลบหนีไป แต่กิเดโอนตามจับตัวมาได้ และรุกไล่กองกำลังทั้งหมดแตกพ่ายไป

13 จากนั้นกิเดโอนบุตรโยอาชกลับจากทำศึกผ่านทางช่องแคบเฮเรส

14 เขาจับกุมตัวชายหนุ่มชาวสุคคทได้คนหนึ่งและไต่สวนเขา และให้ชายหนุ่มคนนี้จดรายชื่อเจ้าหน้าที่ทั้ง 77 คนซึ่งเป็นผู้อาวุโสของเมืองนั้น

15 แล้วกิเดโอนกลับมายังสุคคท และกล่าวกับชาวเมืองว่า “นี่คือกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาซึ่งพวกท่านเคยหยามน้ำหน้าข้าพเจ้าไว้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘ท่านจับตัวกษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนาได้อย่างนั้นหรือ? เรื่องอะไรที่เราจะต้องให้เสบียงแก่ทหารที่อ่อนล้าของท่านเล่า?’ ”

16 กิเดโอนก็จับตัวผู้อาวุโสของเมืองนั้นมาหวดด้วยหนามทะเลทราย เป็นบทเรียนสั่งสอนชาวเมืองสุคคท

17 เขาทลายหอคอยของเมืองเปนีเอลและฆ่าชาวเมืองนั้นด้วย

18 กิเดโอนกล่าวกับกษัตริย์เศบาห์และกษัตริย์ศัลมุนนาว่า “คนที่ท่านสังหารที่ทาโบร์นั้นมีลักษณะท่าทางอย่างไร?”

เขาตอบว่า “ก็คล้ายๆ กับท่าน แต่ละคนมีลักษณะท่าทางเป็นเจ้านาย”

19 กิเดโอนตอบว่า “พวกเขาเป็นพี่น้องร่วมมารดาของเราองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด หากท่านไว้ชีวิตพวกเขา เราจะไม่ฆ่าท่านฉันนั้น”

20 แล้วเขาจึงหันมาสั่งเยเธอร์บุตรหัวปีของเขาว่า “ฆ่าพวกเขาเสีย!” แต่เยเธอร์ไม่ได้ชักดาบออกมาเพราะเขายังเด็กและหวาดกลัว

21 กษัตริย์เศบาห์กับกษัตริย์ศัลมุนนากล่าวว่า “ท่านก็ลงมือเองสิ ‘ยิ่งหนุ่มแน่นมากเท่าใดก็มีกำลังมากเท่านั้น’ ” กิเดโอนจึงตรงเข้าประหารกษัตริย์ทั้งสององค์นั้นและริบเอาเครื่องประดับคออูฐของพวกเขาไว้

เอโฟดของกิเดโอน

22 ชาวอิสราเอลกล่าวกับกิเดโอนว่า “เชิญท่านและลูกหลานมาปกครองเราเถิด เพราะท่านได้ช่วยกอบกู้เราให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวมีเดียน”

23 แต่กิเดโอนตอบว่า “ข้าพเจ้าหรือลูกๆ จะไม่ปกครองท่านองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกครองท่าน”

24 แล้วเขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอท่านอย่างหนึ่ง คือให้แต่ละคนมอบตุ้มหูที่ริบมาได้นั้นแก่ข้าพเจ้า” (เป็นประเพณีของเชื้อสายอิชมาเอลที่จะสวมตุ้มหูทองคำ)

25 พวกเขาตอบว่า “เรายินดีมอบให้” ดังนั้นพวกเขาจึงคลี่เสื้อตัวหนึ่งออก เพื่อให้ทุกคนโยนตุ้มหูที่ริบมาได้กองรวมกัน

26 ตุ้มหูทองคำที่ได้หนักประมาณ 19.5 กิโลกรัมไม่รวมเครื่องประดับ จี้ และผ้าสีม่วงซึ่งเป็นเครื่องทรงของกษัตริย์แห่งมีเดียน หรือสายสร้อยคล้องคออูฐ

27 กิเดโอนใช้ทองนี้ทำเอโฟด ตั้งไว้ที่โอฟราห์เมืองของเขา อิสราเอลทั้งปวงพากันเล่นชู้โดยการนมัสการเอโฟด สิ่งนี้จึงกลายเป็นกับดักของกิเดโอนกับครอบครัวของเขา

กิเดโอนสิ้นชีวิต

28 ดังนั้นพวกมีเดียนพ่ายแพ้อิสราเอลและไม่อาจฟื้นตัวได้อีกเลย แผ่นดินก็สงบสุขเป็นเวลาสี่สิบปี ตลอดชีวิตของกิเดโอน

29 เยรุบบาอัลบุตรโยอาชกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน

30 เขามีบุตรชายถึงเจ็ดสิบคน เพราะเขามีภรรยาหลายคน

31 ภรรยาน้อยของเขาคนหนึ่งซึ่งอาศัยที่เมืองเชเคมได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา เขาตั้งชื่อว่าอาบีเมเลค

32 กิเดโอนบุตรของโยอาชสิ้นชีวิตเมื่อชรามากแล้ว และถูกฝังไว้ที่อุโมงค์ฝังศพของโยอาชบิดาของเขาในเมืองโอฟราห์ของตระกูลอาบีเอเซอร์

33 เมื่อกิเดโอนสิ้นชีวิตได้ไม่นาน ชนอิสราเอลก็หวนกลับไปเล่นชู้กับพระบาอัลอีก พวกเขาตั้งพระบาอัลเบรีทเป็นเทพเจ้าของพวกเขา

34 และไม่ได้ระลึกถึงพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา ผู้ทรงกอบกู้พวกเขาจากเงื้อมมือของศัตรูทั้งหมดที่อยู่รอบด้าน

35 ทั้งพวกเขาไม่ทำดีต่อครอบครัวของเยรุบบาอัล (คือกิเดโอน) ทั้งๆ ที่เขาได้ทำสิ่งดีงามนานัปการเพื่อพวกเขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/8-a2b42e43dea8c6c70bf644245b003a9e.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 9

อาบีเมเลค

1 อาบีเมเลคบุตรเยรุบบาอัลไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องฝ่ายมารดาที่เชเคม และกล่าวกับพวกเขาพร้อมทั้งคนในตระกูลของมารดาว่า

2 “จงถามชาวเมืองเชเคมทั้งปวงว่า ‘สำหรับท่านแล้วอะไรจะดีกว่ากันระหว่างการให้บุตรชายของเยรุบบาอัลทั้งเจ็ดสิบคนปกครอง หรือให้ชายเพียงคนเดียวปกครองท่าน?’ อย่าลืมว่าข้าพเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน”

3 เมื่อญาติพี่น้องเล่าคำกล่าวนี้แก่ชาวเมืองเชเคม พวกเขาก็เอนเอียงอยากติดตามอาบีเมเลคเพราะพวกพี่น้องกล่าวว่า “เขาเป็นพี่น้องของเรา”

4 พวกเขานำเงินหนัก 70 เชเขลจากวิหารของพระบาอัลเบรีทมามอบแก่อาบีเมเลค ซึ่งนำเงินไปว่าจ้างนักเลงไว้ติดตามตน

5 อาบีเมเลคไปยังบ้านของบิดาที่โอฟราห์ และเขาได้สังหารพี่น้องร่วมบิดาทั้งเจ็ดสิบคนบนศิลาแห่งหนึ่ง ยกเว้นโยธามลูกชายคนสุดท้องของเยรุบบาอัลซึ่งหนีไปซ่อนตัวทัน

6 จากนั้นชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโลก็มาชุมนุมกันข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ที่เสาหินในเชเคมเพื่อแต่งตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์

7 เมื่อโยธามได้ยินเรื่องนี้ ก็ปีนขึ้นไปบนยอดเขาเกริซิมและตะโกนบอกพวกเขาว่า “พี่น้องชาวเมืองเชเคม จงฟังข้าพเจ้า เพื่อพระเจ้าจะทรงฟังพวกท่าน

8 วันหนึ่งต้นไม้ทั้งหลายออกไปเจิมตั้งกษัตริย์สำหรับพวกตน ต้นไม้ทั้งหลายกล่าวกับต้นมะกอกว่า ‘เชิญมาเป็นกษัตริย์ของเรา’

9 “แต่ต้นมะกอกตอบว่า ‘ควรหรือที่ข้าพเจ้าจะทิ้งน้ำมันของข้าพเจ้าที่ใช้ให้เกียรติทั้งพระและมนุษย์ เพื่อไปแกว่งไกวเหนือต้นไม้ทั้งปวง?’

10 “แล้วต้นไม้ทั้งหลายก็ไปพูดกับต้นมะเดื่อว่า ‘เชิญมาเป็นกษัตริย์ของเราเถิด’

11 “แต่ต้นมะเดื่อตอบว่า ‘ควรหรือที่ข้าพเจ้าจะทิ้งผลอันงามและหวานฉ่ำ เพื่อไปแกว่งไกวเหนือต้นไม้ทั้งปวง?’

12 “แล้วต้นไม้ทั้งหลายจึงกล่าวกับเถาองุ่นว่า ‘เชิญมาเป็นกษัตริย์ของเราเถิด’

13 “แต่เถาองุ่นตอบว่า ‘ควรหรือที่ข้าพเจ้าจะเลิกผลิตเหล้าองุ่นซึ่งให้ความชื่นใจแก่ทั้งพระและมนุษย์ เพื่อไปแกว่งไกวเหนือต้นไม้ทั้งปวง?’

14 “ในที่สุดต้นไม้ทั้งหลายจึงกล่าวกับพุ่มหนามว่า ‘เชิญมาเป็นกษัตริย์ของเราเถิด’

15 “พุ่มหนามตอบต้นไม้ทั้งหลายว่า ‘หากท่านต้องการเจิมตั้งข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์เหนือพวกท่านจริงๆ แล้วละก็ เชิญมาพักพิงอยู่ใต้ร่มเงาของข้าพเจ้า ไม่เช่นนั้นก็ขอให้เปลวไฟลุกโชนจากพุ่มหนามและเผาผลาญบรรดาสนซีดาร์แห่งเลบานอนให้วอด!’

16 “บัดนี้หากท่านตั้งอาบีเมเลคเป็นกษัตริย์อย่างซื่อตรงและจริงใจ และหากท่านคิดว่าได้ปฏิบัติต่อเยรุบบาอัลกับครอบครัวของเขาอย่างเป็นธรรมและสมควร

17 และคิดว่าบิดาของข้าพเจ้าได้ต่อสู้เพื่อท่านทั้งหลาย และเสี่ยงชีวิตเข้ากอบกู้พวกท่านจากมือของคนมีเดียน

18 (แต่วันนี้ท่านกบฏต่อครอบครัวบิดาของข้าพเจ้า เข่นฆ่าบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของเขาบนศิลาแห่งเดียว และตั้งอาบีเมเลค บุตรนางทาสของบิดาของข้าพเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนือชาวเชเคม เพียงเพราะเขาเป็นญาติของตน)

19 หากวันนี้ท่านได้ทำอย่างซื่อตรงและจริงใจต่อเยรุบบาอัลกับครอบครัว ก็ขอให้อาบีเมเลคเป็นความชื่นบานของท่านและขอให้ท่านเป็นความชื่นบานของเขาด้วย!

20 แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็ขอให้ไฟจากอาบีเมเลคเผาผลาญชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโล และขอให้ไฟจากชาวเมืองเชเคมและเบธมิลโลเผาผลาญอาบีเมเลคเถิด!”

21 จากนั้นโยธามก็หลบหนีไปอาศัยอยู่ที่เบเออร์เพราะกลัวอาบีเมเลคพี่ชายของตน

22 หลังจากที่อาบีเมเลคปกครองอิสราเอลอยู่สามปี

23 พระเจ้าทรงส่งวิญญาณชั่วมาระหว่างอาบีเมเลคกับชาวเมืองเชเคม พวกเขาทรยศต่ออาบีเมเลค

24 พระเจ้าทรงทำเช่นนี้ก็เพื่อให้อาบีเมเลคและชาวเมืองเชเคมซึ่งช่วยเหลืออาบีเมเลคในการสังหารบุตรชายทั้งเจ็ดสิบคนของเยรุบบาอัลได้รับโทษอย่างสาสมกับการกระทำดังกล่าว

25 ชาวเมืองเชเคมต่อต้านอาบีเมเลคโดยได้ตั้งคนซุ่มตามยอดเขา คอยโจมตีและปล้นทุกคนที่ผ่านไปทางนั้นด้วย และมีผู้รายงานเรื่องนี้แก่อาบีเมเลค

26 ครั้งนั้นกาอัลบุตรเอเบดย้ายเข้ามาอยู่ที่เชเคมพร้อมกับพี่น้องของตน ชาวเมืองเชเคมก็ไว้เนื้อเชื่อใจกาอัล

27 หลังจากที่พวกเขาออกไปเก็บองุ่นจากสวนและย่ำองุ่นเสร็จแล้ว ก็จัดงานฉลองในวิหารของเทพเจ้าของตน ขณะที่กินเลี้ยงอยู่นั้น พวกเขาแช่งด่าอาบีเมเลค

28 แล้วกาอัลบุตรเอเบดกล่าวว่า “อาบีเมเลคเป็นใครและเชเคมเป็นใคร ที่เราจะต้องไปอยู่ใต้อาณัติเขา เขาเป็นลูกของเยรุบบาอัลไม่ใช่หรือ? และเศบุลเป็นผู้ช่วยของเขาไม่ใช่หรือ? จงรับใช้คนของฮาโมร์บิดาของเชเคม! ทำไมจึงไปรับใช้อาบีเมเลค?

29 แค่เพียงแต่ชาวเมืองนี้อยู่ใต้ปกครองของเรา! เราก็จะกำจัดอาบีเมเลคเสีย เราจะบอกอาบีเมเลคว่า ‘จงเรียกกองทัพของท่านออกมาให้หมด!’ ”

30 เมื่อเศบุลผู้ว่าการเมืองนั้นได้ยินคำพูดของกาอัลบุตรเอเบดก็โกรธมาก

31 จึงลอบส่งผู้สื่อสารไปแจ้งอาบีเมเลคว่า “กาอัลบุตรเอเบดและญาติของเขามาอาศัยอยู่ในเมืองเชเคม และบัดนี้ปลุกปั่นชาวเมืองให้กบฏต่อท่าน

32 ดังนั้นขอให้ท่านยกกำลังมาในเวลากลางคืน และซ่อนตัวอยู่ตามทุ่งนา

33 พอฟ้าสว่างจงบุกเข้าเมืองทันที เมื่อกาอัลและพรรคพวกออกมาสู้กับท่าน ท่านจงจัดการกับพวกเขาตามใจชอบ”

34 อาบีเมเลคกับกองทหารทั้งหมดจึงยกออกมาในยามค่ำคืน กระจายเป็นสี่กลุ่ม ซ่อนตัวอยู่ใกล้เมืองเชเคม

35 ฝ่ายกาอัลบุตรเอเบดออกไปยืนอยู่ที่ทางเข้าประตูเมือง ขณะเดียวกับที่อาบีเมเลคและเหล่าทหารออกมาจากที่ซ่อนของเขา

36 เมื่อกาอัลเห็นคนเหล่านั้นก็ร้องบอกเศบุลว่า “ดูซิ มีคนกำลังลงมาจากยอดเขา!”

เศบุลตอบว่า “ท่านตาฝาดเห็นเงาภูเขาเป็นคนไปได้”

37 แต่กาอัลพูดขึ้นอีกว่า “ดูตรงโน้นเถิด คนกำลังลงมาจากกลางแผ่นดินมาหาเรา และโน่นอีกกลุ่มหนึ่งกำลังมาจากทางต้นไม้ของผู้ร่ายเวทมนตร์”

38 แล้วเศบุลกล่าวกับเขาว่า “ไหนล่ะปากช่างเจรจา ใครนะที่พูดว่า ‘อาบีเมเลคเป็นใครกันที่เราจะต้องไปอยู่ใต้อาณัติเขา?’ นี่ไม่ใช่คนที่ท่านเยาะเย้ยหรือ? จงออกไปสู้กับเขาสิ!”

39 ดังนั้นกาอัลจึงนำชาวเชเคมออกไปสู้กับอาบีเมเลค

40 อาบีเมเลคไล่ล่าเขาและหลายคนได้รับบาดเจ็บขณะหนีไป และคนบาดเจ็บล้มตายตลอดทางจนถึงประตูเมือง

41 อาบีเมเลคอยู่ที่อารูมาห์และเศบุลขับไล่กาอัลและญาติออกจากเมืองเชเคม

42 วันรุ่งขึ้นชาวเชเคมออกมาที่ทุ่งนา มีคนรายงานเรื่องนี้ต่ออาบีเมเลค

43 ดังนั้นเขาจึงแบ่งคนเป็นสามกลุ่มซุ่มอยู่ที่ทุ่งนา และเมื่อเขาเห็นผู้คนออกมาจากเมืองก็ลุกขึ้นโจมตี

44 อาบีเมเลคกับพวกรีบรุดไปยึดทางเข้าประตูเมือง ขณะที่คนอีกสองกลุ่มฆ่าคนที่อยู่ในทุ่งนา

45 ตลอดวันนั้นอาบีเมเลคกระหน่ำโจมตีจนยึดเมืองได้และฆ่าชาวเมืองนั้น แล้วทำลายเมืองจนราบเป็นหน้ากลองและเอาเกลือสาดทั่วเมือง

46 ชาวเมืองในหอคอยของเชเคมได้ยินเหตุการณ์ก็ไปหลบภัยอยู่ที่ป้อมของวิหารพระเอลเบรีท

47 เมื่ออาบีเมเลคทราบว่าพวกเขาชุมนุมกันอยู่ที่นั่น

48 จึงนำกองกำลังทั้งหมดไปยังภูเขาศัลโมน อาบีเมเลคใช้ขวานตัดกิ่งไม้แบกใส่บ่าไป แล้วสั่งคนของเขาว่า “เร็วเข้า! จงทำตามข้าพเจ้า!”

49 คนทั้งปวงก็ตัดกิ่งไม้แบกตามอาบีเมเลค นำมาสุมเป็นกองอยู่ตรงกำแพงป้อม แล้วจุดไฟเผาคนที่อยู่ในป้อม ดังนั้นชายหญิงทั้งปวงที่อยู่ในหอคอยแห่งเชเคมราวพันคนก็ตายหมด

50 จากนั้นอาบีเมเลคเข้าโจมตีและยึดเมืองเธเบศได้

51 แต่ในเมืองนั้นมีหอคอยที่แข็งแกร่งอยู่แห่งหนึ่ง พลเมืองทั้งหมดทั้งชายและหญิงได้หนีเข้าไปหลบซ่อนในนั้น พวกเขาปิดประตูลงกลอนและขึ้นไปบนยอดหอคอย

52 อาบีเมเลคไปที่หอคอยและเข้าโจมตี แต่ขณะที่เข้าไปใกล้ทางเข้าหอคอยเพื่อจุดไฟเผา

53 หญิงคนหนึ่งทุ่มหินโม่ชิ้นบนลงมาใส่ศีรษะอาบีเมเลค ทำให้กะโหลกศีรษะของเขาแตก

54 อาบีเมเลครีบบอกผู้ถืออาวุธประจำตัวของเขาว่า “ชักดาบออกมาฆ่าเรา อย่าให้เขาพูดกันว่า ‘เขาตายด้วยน้ำมือผู้หญิง’ ” ดังนั้นผู้รับใช้ของเขาจึงเอาดาบแทงอาบีเมเลคตาย

55 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นว่าอาบีเมเลคตายแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

56 พระเจ้าทรงตอบแทนความชั่วที่อาบีเมเลคได้ทำต่อบิดาโดยฆ่าพี่น้องทั้งเจ็ดสิบคนของตนด้วยวิธีนี้

57 พระเจ้าทรงให้ชาวเชเคมได้รับโทษตามความชั่วของเขา คำสาปแช่งของโยธามบุตรเยรุบบาอัลก็ตกแก่พวกเขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/9-a86b06293cdf3b640b7900251f9c8094.mp3?version_id=179—