Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 20

ชาวอิสราเอลรบกับพวกเบนยามิน

1 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดจากดานจดเบเออร์เชบาและจากดินแดนกิเลอาด มาชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

2 บรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ในอิสราเอลทั้งหมดเข้าประจำที่ในการชุมนุมประชากรของพระเจ้า มีทหารสี่แสนคนถือดาบครบมือ

3 (คนเผ่าเบนยามินได้ยินว่าคนอิสราเอลทุกเผ่าได้ขึ้นไปยังมิสปาห์) แล้วชนอิสราเอลกล่าวว่า “จงเล่าให้เราฟังว่าเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”

4 ดังนั้นชายเลวีสามีของหญิงที่ถูกฆ่ากล่าวว่า “ข้าพเจ้ากับภรรยาน้อยมาค้างคืนที่กิเบอาห์ในเขตเบนยามิน

5 คืนนั้นชาวกิเบอาห์มาล้อมบ้าน คิดจะฆ่าข้าพเจ้า พวกเขาข่มขืนภรรยาน้อยของข้าพเจ้าจนตาย

6 ข้าพเจ้าจึงฟันร่างของนางเป็นสิบสองท่อน ส่งไปทั่วแดนอิสราเอล เพราะว่าคนพวกนั้นได้ทำสิ่งที่เลวทรามต่ำช้ามากในอิสราเอล

7 บัดนี้พี่น้องอิสราเอลทั้งหลาย โปรดแถลงข้อวินิจฉัยของท่านแก่ข้าพเจ้าด้วย”

8 คนทั้งหมดก็ลุกขึ้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะไม่ยอมกลับบ้านสักคน จะไม่มีพวกเราแม้แต่คนเดียวกลับไปบ้านของตน

9 เราจะจัดการกับกิเบอาห์ดังนี้คือ เราจะขึ้นไปต่อสู้กับกิเบอาห์ตามการชี้นำของสลากที่จับได้

10 เราจะคัดเอาชายสิบคนจากทุกร้อยคนของทุกเผ่าในอิสราเอล และร้อยคนจากพันคน และพันคนจากหมื่นคนให้เป็นกองกำลังคอยส่งเสบียงให้กองทัพ และเมื่อกองทัพมาถึงกิเบอาห์ในเบนยามินก็จะเข้าทำลายกิเบอาห์ให้สาสมกับการกระทำอันเลวทรามที่ทำในอิสราเอลครั้งนี้”

11 ดังนั้นคนอิสราเอลทั้งปวงจึงชุมนุมและผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวเข้าสู้กับเมืองนั้น

12 เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลส่งผู้สื่อสารไปทั่วเขตแดนเบนยามินและแจ้งว่า “จะว่าอย่างไรกับอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่พวกท่าน?

13 จงมอบตัวผู้กระทำผิดจากกิเบอาห์มาให้เราประหาร เพื่อขจัดมลทินชั่วร้ายจากอิสราเอล”

แต่ชาวเบนยามินไม่ฟังพี่น้องอิสราเอล

14 พวกเขามาจากเมืองต่างๆ ของตน มารวมตัวกันที่กิเบอาห์เพื่อสู้รบกับคนอิสราเอล

15 ชาวเบนยามินระดมพลดาบ 26,000 คนจากเมืองต่างๆ ของเขาอย่างรวดเร็ว มาสมทบกับชาย 700 คนที่คัดเลือกมาจากกิเบอาห์

16 ในจำนวนทหารเหล่านี้มี 700 คนซึ่งเป็นนักเหวี่ยงสลิงถนัดซ้าย แต่ละคนสามารถเหวี่ยงก้อนหินใส่เส้นผมเส้นเดียวโดยไม่พลาด

17 ส่วนกองทัพอิสราเอล ไม่นับคนเบนยามิน มีพลดาบ 400,000 คนล้วนเป็นนักรบ

18 กองทัพอิสราเอลไปยังเบธเอลและทูลถามพระเจ้าว่า “ควรให้เผ่าใดออกไปรบกับเผ่าเบนยามินก่อน?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ให้ยูดาห์ไปก่อน”

19 รุ่งขึ้นชาวอิสราเอลยกมาตั้งค่ายใกล้กิเบอาห์

20 ชาวอิสราเอลออกมาเพื่อสู้รบกับชาวเบนยามินและตั้งทัพเผชิญหน้ากันที่กิเบอาห์

21 ชาวเบนยามินออกมาจากกิเบอาห์และฆ่าชาวอิสราเอลไป 22,000 คนในการรบวันนั้น

22 แต่ชาวอิสราเอลให้กำลังใจกันและกัน และออกมาตั้งแนวรบที่เดิมเช่นวันก่อน

23 ชาวอิสราเอลขึ้นมาร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจนถึงเวลาเย็น และทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรสู้รบกับชาวเบนยามินพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “จงไปสู้รบกับพวกเขาเถิด”

24 ชาวอิสราเอลจึงยกพลมาประชิดเบนยามินอีกเป็นวันที่สอง

25 ครั้งนี้เมื่อชาวเบนยามินออกจากกิเบอาห์มาสู้รบ ก็ฆ่าฟันชาวอิสราเอลตายไป 18,000 คน ล้วนแต่เป็นพลดาบ

26 จากนั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ขึ้นไปที่เบธเอลร่ำไห้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหารจนถึงเย็นวันนั้น แล้วถวายเครื่องเผาบูชาและเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

27 และชาวอิสราเอลทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า(ในสมัยนั้นหีบพันธสัญญาของพระเจ้าอยู่ที่เบธเอล

28 ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์หลานของอาโรนปฏิบัติหน้าที่อยู่หน้าหีบนั้น) พวกเขาทูลถามว่า “พวกข้าพระองค์ควรออกไปสู้รบกับชาวเบนยามินซึ่งเป็นพี่น้องของพวกข้าพระองค์อีกหรือไม่?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “จงไปเถิด วันพรุ่งนี้เราจะมอบพวกเขาไว้ในมือของเจ้า”

29 ฉะนั้นชาวอิสราเอลจึงซุ่มกำลังรอบกิเบอาห์

30 และออกไปสู้กับชาวเบนยามินอีกในวันที่สาม ตั้งแนวรบต่อสู้กับกิเบอาห์เหมือนที่เคยทำ

31 คนเบนยามินออกมาประจันหน้าและถูกล่อให้ห่างออกไปจากตัวเมือง พวกเขาเริ่มฆ่าฟันคนอิสราเอลเช่นครั้งก่อน มีราวสามสิบคนล้มตายกลางทุ่งโล่งและตามหนทาง ซึ่งสายหนึ่งไปยังเบธเอล อีกสายหนึ่งไปยังกิเบอาห์

32 ชาวเบนยามินตะโกนว่า “เรากำลังจะชนะพวกเขาอย่างครั้งก่อน” ส่วนชาวอิสราเอลกล่าวว่า “ให้เราถอยทัพและล่อพวกเขาออกจากตัวเมืองไปตามทาง”

33 ชาวอิสราเอลทั้งปวงได้เคลื่อนทัพออกจากที่มั่นไปตั้งที่บาอัลทามาร์ แต่กองกำลังของอิสราเอลที่ซุ่มอยู่ทางทิศตะวันตกของกิเบอาห์ก็ออกมาจากที่มั่น

34 จากนั้นนักรบชั้นยอดของอิสราเอลหนึ่งหมื่นคนก็บุกโจมตีทัพหน้าของกิเบอาห์ สู้รบกันอย่างดุเดือด จนชาวเบนยามินไม่ตระหนักว่าภัยพิบัติมาใกล้ตัวมากเพียงใด

35 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวเบนยามินพ่ายแพ้ชาวอิสราเอล ในวันนั้นชาวอิสราเอลฆ่าฟันพลดาบชาวเบนยามิน 25,100 คน

36 คนเบนยามินจึงเห็นว่าตนแพ้แล้ว

ทัพอิสราเอลทำทีว่าถอยทัพจากชาวเบนยามิน เพื่อเปิดช่องให้กองกำลังที่ซุ่มอยู่ใกล้ๆ กิเบอาห์

37 คนที่ซุ่มอยู่จู่โจมบุกเข้าไปในเมืองกิเบอาห์ กระจายกำลังฆ่าฟันชาวเมืองทั้งหมด

38 ชาวอิสราเอลนัดหมายกับพวกที่ซุ่มอยู่ ให้ส่งอาณัติสัญญาณเป็นควันกลุ่มใหญ่พุ่งขึ้นจากในเมือง

39 เมื่อนั้นชาวอิสราเอลจะหันกลับมาสู้รบ

ชาวเบนยามินเริ่มฆ่าฟันชาวอิสราเอล (ราวสามสิบคน) เขาพูดกันว่า “เรากำลังจะพิชิตพวกเขาเช่นเดียวกับการรบครั้งแรก”

40 แต่เมื่อควันไฟพุ่งขึ้นจากในเมือง ชาวเบนยามินเหลียวกลับมาดูเห็นควันไฟพุ่งขึ้นฟ้าจากทั่วเมือง

41 จากนั้นชาวอิสราเอลหันกลับมาสู้ ชาวเบนยามินหวาดกลัวมาก เพราะตระหนักว่าภัยพิบัติมาถึงตนแล้ว

42 ดังนั้น พวกเขาก็พ่ายหนีต่อหน้าชาวอิสราเอลไปทางถิ่นกันดาร แต่พวกเขาหนีไม่พ้นแนวรบ และชาวอิสราเอลที่โจมตีเมืองออกมาสังหารพวกเขา

43 อิสราเอลโอบล้อมทัพเบนยามิน และรุกไล่มาทันพวกเขาอย่างง่ายดายที่บริเวณใกล้กับกิเบอาห์ทางตะวันออก

44 ชาวเบนยามินเสียชีวิตในสนามรบ 18,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นทหารกล้า

45 ที่เหลือหนีเข้าไปในถิ่นกันดารทางจะไปศิลาแห่งริมโมน แต่ถูกฆ่าระหว่างทาง 5,000 คน ชาวอิสราเอลไล่ฆ่าชาวเบนยามินไปถึงกิโดมและฆ่าตายไปอีก 2,000 คน

46 ในวันนั้นคนเบนยามินสูญเสียพลดาบไป 25,000 คน ทั้งหมดล้วนเป็นนักรบแกล้วกล้า

47 แต่เหลืออีก 600 คนหนีเข้าไปในถิ่นกันดารสู่ศิลาแห่งริมโมน และอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสี่เดือน

48 ส่วนชาวอิสราเอลหวนกลับไปฆ่าคนเบนยามิน ทั้งชายและหญิง เด็ก ฝูงสัตว์ และเผาทุกเมืองทุกหมู่บ้านทั่วดินแดนนั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/20-2c463a250ae81fc64aca782d00be8cad.mp3?version_id=179—

Categories
ผู้วินิจฉัย

ผู้วินิจฉัย 21

หาภรรยาให้ตระกูลเบนยามิน

1 ชาวอิสราเอลได้กล่าวปฏิญาณที่มิสปาห์ว่า “จะไม่มีใครสักคนในพวกเรายอมยกบุตรสาวของตนให้แก่ชาวเบนยามิน”

2 ครั้งนั้นชาวอิสราเอลมานั่งชุมนุมกันต่อหน้าพระเจ้าที่เบธเอลจนถึงเวลาเย็น ต่างร่ำไห้ด้วยความรันทดใจ

3 และกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นแก่อิสราเอล? ทำไมจะต้องมีเผ่าหนึ่งขาดหายไปจากอิสราเอลในวันนี้?”

4 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเหล่าประชากรก่อแท่นบูชา และถวายเครื่องเผาบูชากับเครื่องสันติบูชา

5 และชาวอิสราเอลถามกันว่า “มีใครในอิสราเอลที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า?” เพราะพวกเขาได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่าผู้ใดไม่ยอมมาชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์จะต้องถูกฆ่าตาย

6 ชาวอิสราเอลคร่ำครวญถึงพี่น้องเผ่าเบนยามินว่า “วันนี้เผ่าหนึ่งในอิสราเอลต้องถูกตัดขาดไปเสียแล้ว

7 เราจะหาภรรยาให้คนที่เหลืออยู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราเองได้ปฏิญาณโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่ยกลูกสาวของเราให้เขา?”

8 แล้วพวกเขาก็ถามกันว่า “มีเผ่าใดในอิสราเอลที่ไม่ได้มาร่วมชุมนุมต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์?” พวกเขาพบว่าไม่มีคนจากยาเบชกิเลอาดมาร่วมค่ายชุมนุมเลยสักคนเดียว

9 เพราะเมื่อขานนับประชากร ไม่มีสักคนจากยาเบชกิเลอาดมาที่นั่น

10 ที่ประชุมจึงส่งนักรบ 12,000 คนให้ไปฆ่าฟันชาวยาเบชกิเลอาดทุกคนรวมทั้งผู้หญิงและเด็ก

11 พวกเขากล่าวกับเหล่านักรบว่า “สิ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องทำคือ จงฆ่าผู้ชายทุกคนและผู้หญิงทุกคนที่ไม่ใช่สาวพรหมจารี”

12 พวกเขาพบว่าในหมู่ชาวถิ่นยาเบชกิเลอาดมีสาวพรหมจารี 400 คน จึงนำตัวมายังค่ายพักที่ชิโลห์ในคานาอัน

13 จากนั้นประชากรทั้งหมดก็ส่งทูตสันติภาพไปพบคนเบนยามินที่ศิลาแห่งริมโมน

14 คนเบนยามินจึงกลับมาและได้รับหญิงสาวชาวยาเบชกิเลอาดที่รอดชีวิตนั้น แต่มีหญิงสาวไม่เพียงพอกับจำนวนคนของเขา

15 เหล่าประชากรโศกเศร้าเสียใจกับเบนยามิน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำให้เกิดช่องว่างในเผ่าของอิสราเอล

16 บรรดาผู้อาวุโสของเหล่าประชากรหารือกันว่า “เราจะทำอย่างไรดีจึงจะหาภรรยาให้กับชายเบนยามินที่เหลือ เนื่องจากผู้หญิงเบนยามินตายหมดแล้ว?

17 คนเบนยามินที่เหลืออยู่ต้องมีทายาท เพื่อชนอิสราเอลจะได้ไม่ขาดหายไปหนึ่งเผ่า

18 เราจะยกลูกสาวของเราเองให้ก็ไม่ได้ เพราะเราปฏิญาณไว้แล้วว่า ‘ถ้าผู้ใดยกบุตรสาวให้เป็นภรรยาของคนเบนยามินคนนั้นจะถูกสาปแช่ง’

19 แต่ดูเถิดมีเทศกาลฉลองประจำปีถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ ไปทางเหนือของเบธเอล ทางตะวันออกของเส้นทางจากเบธเอลไปยังเชเคม และทางใต้ของเลโบนาห์”

20 เขาเหล่านั้นจึงไปบอกชายเบนยามินว่า “จงไปแอบซุ่มอยู่ในสวนองุ่น

21 และคอยดูเมื่อหญิงสาวชาวชิโลห์ออกมาเพื่อจะไปร่วมเต้นรำ ก็ฉุดนางไปเป็นภรรยาในดินแดนเบนยามิน

22 เมื่อบิดาและพี่น้องของนางมาฟ้องเรา เราก็จะบอกพวกเขาเองว่า ‘โปรดเห็นใจยกลูกสาวให้เขาเถิด เพราะเมื่อเราทำลายยาเบชกิเลอาด เราไม่อาจหาภรรยาให้พวกเขาได้เพียงพอและท่านเองก็ไม่ผิด ในเมื่อท่านไม่ได้ยกลูกสาวให้พวกเขา’”

23 ฉะนั้นคนเบนยามินจึงทำตามคำแนะนำ ไปฉุดหญิงสาวที่กำลังเต้นรำไปเป็นภรรยา และกลับไปยังดินแดนกรรมสิทธิ์ของตน แล้วสร้างเมืองขึ้นใหม่ ตั้งรกรากอยู่ที่นั่น

24 จากนั้นชาวอิสราเอลต่างก็แยกย้ายกันกลับสู่เผ่าและตระกูลของตน สู่ดินแดนกรรมสิทธิ์ของตน

25 ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครอง ทุกคนต่างทำตามที่ตนเองเห็นดีเห็นชอบ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JDG/21-34760061613aed65b1b6fab4c47f2d8d.mp3?version_id=179—

Categories
นางรูธ

นางรูธ 1

นาโอมีกับรูธ

1 สมัยที่ผู้วินิจฉัยปกครองอยู่เกิดการกันดารอาหารขึ้นในแผ่นดินนั้น ชายคนหนึ่งจากเบธเลเฮมในเขตยูดาห์กับภรรยาและบุตรชายสองคนจึงไปอาศัยอยู่ในดินแดนโมอับระยะหนึ่ง

2 ชายคนนั้นชื่อเอลีเมเลค ภรรยาของเขาชื่อนาโอมี และบุตรชายสองคนชื่อมาห์โลนและคิลิโอน พวกเขาเป็นชาวถิ่นเอฟราธาห์จากเบธเลเฮมในเขตยูดาห์ พวกเขาย้ายไปอาศัยอยู่ที่โมอับ

3 ต่อมาเอลีเมเลคสามีของนาโอมีสิ้นชีวิต เหลือนาโอมีกับบุตรชายทั้งสอง

4 พวกเขาแต่งงานกับหญิงชาวโมอับ คนหนึ่งชื่อโอรปาห์ อีกคนหนึ่งชื่อรูธ หลังจากที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นราวสิบปี

5 ทั้งมาห์โลนและคิลิโอนก็สิ้นชีวิต จึงเหลือแต่นาโอมี

6 เมื่ออยู่ในโมอับ นางได้ข่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จมาช่วยเหล่าประชากรของพระองค์โดยประทานอาหารแก่พวกเขา นาโอมีกับลูกสะใภ้ทั้งสองก็เตรียมตัวเดินทางจากโมอับกลับบ้าน

7 นางกับลูกสะใภ้สองคนออกจากถิ่นที่อยู่ และเริ่มเดินไปตามเส้นทางที่จะกลับไปยังดินแดนยูดาห์

8 แล้วนาโอมีกล่าวกับลูกสะใภ้ทั้งสองว่า “ลูกทั้งสองกลับบ้านไปหาแม่ของลูกเถิดนะ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงความเมตตาแก่เจ้าที่ได้จงรักภักดีต่อแม่และสามีผู้ล่วงลับ

9 และขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรให้ลูกได้ออกเรือนแต่งงานใหม่”

แล้วนางก็จูบลาลูกสะใภ้ทั้งสองและทั้งสองก็ร่ำไห้สะอึกสะอื้น

10 และกล่าวกับนางว่า “เราจะไปกับแม่ ไปหาญาติของแม่”

11 แต่นาโอมีตอบว่า “กลับบ้านเถิดลูกเอ๋ย จะไปกับแม่ทำไม? แม่จะมีลูกชายที่จะให้เป็นสามีของเจ้าได้อีกหรือ?

12 กลับไปบ้านของลูกเถิด แม่เองก็แก่ชราเกินกว่าจะมีสามีอีก ถึงแม้แม่จะคิดว่ายังมีหวังที่จะได้สามีในคืนนี้และมีลูกชาย

13 ลูกจะรอให้เขาโตขึ้นมาหรือ? ลูกจะไม่แต่งงานเพื่อคอยเขาหรือ? อย่าเลยลูกเอ๋ย แม่มีความขมขื่นมากยิ่งกว่าลูกเสียอีก เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเองทรงกระทำให้แม่ทุกข์ยาก!”

14 แล้วทั้งสามคนก็ร้องไห้ด้วยกันอีก จากนั้นโอรปาห์จึงจูบลาแม่สามีและกลับไป แต่รูธยืนกรานจะอยู่กับนาโอมี

15 นาโอมีกล่าวกับนางว่า “ดูซิสะใภ้อีกคนก็กลับไปหาญาติและพระของเขา เจ้าก็ควรกลับไปด้วย”

16 แต่รูธตอบว่า “อย่าคะยั้นคะยอให้ลูกทิ้งแม่ไปเลย แม่ไปไหนลูกจะไปด้วย แม่อยู่ที่ไหนลูกจะอยู่ด้วย ญาติของแม่จะเป็นญาติของลูก และพระเจ้าของแม่จะเป็นพระเจ้าของลูกด้วย

17 แม่ตายที่ไหนลูกจะตายที่นั่นด้วย และขอให้ถูกฝังอยู่ในที่เดียวกัน ถ้าลูกยอมให้มีอะไรมาแยกเราจากกันนอกจากความตาย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับลูกอย่างหนัก”

18 เมื่อนาโอมีเห็นว่ารูธตั้งใจแน่วแน่ที่จะไปด้วยก็เลิกรบเร้านาง

19 หญิงทั้งสองจึงเดินทางมายังเบธเลเฮม ทั่วทั้งเมืองพากันแตกตื่นเมื่อเห็นนางทั้งสองมา พวกผู้หญิงถามกันว่า “นี่นาโอมีจริงๆ หรือ?”

20 นางตอบว่า “อย่าเรียกฉันว่านาโอมีเลย เรียกฉันว่ามาราเถอะ เพราะว่าองค์ทรงฤทธิ์ทำให้ชีวิตของฉันขมขื่นมาก

21 ฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์เมื่อจากเมืองนี้ไป แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำฉันกลับมามือเปล่า ทำไมจึงเรียกฉันว่านาโอมี? ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้ฉันปวดร้าวและองค์ทรงฤทธิ์ทำให้ฉันต้องประสบเคราะห์กรรม”

22 ช่วงเวลาที่นาโอมีและรูธลูกสะใภ้ชาวโมอับจากโมอับมาสู่เบธเลเฮมนั้นตรงกับต้นฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/RUT/1-afc4bc48525806adc270e2f703aaf405.mp3?version_id=179—

Categories
นางรูธ

นางรูธ 2

รูธพบโบอาส

1 นาโอมีนั้นมีญาติฝ่ายสามีผู้หนึ่งซึ่งมีฐานะดีอยู่ในตระกูลเดียวกับเอลีเมเลค เขาชื่อโบอาส

2 ฝ่ายรูธหญิงสาวชาวโมอับกล่าวกับนาโอมีว่า “ให้ลูกเข้าไปคอยเก็บรวงข้าวตกในนาเถิด คงจะมีคนยอมให้ลูกเก็บบ้าง”

นาโอมีตอบว่า “ไปเถิดลูก”

3 รูธก็ออกไปเก็บรวงข้าวที่ตกเรี่ยรายหลังคนเกี่ยว ปรากฏว่าที่นาซึ่งรูธเข้าไปนั้นเป็นของโบอาสซึ่งเป็นคนตระกูลเดียวกับเอลีเมเลค

4 ขณะนั้นโบอาสกลับมาจากเบธเลเฮมและกล่าวทักทายคนเกี่ยวข้าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเจ้าเถิด!”

พวกเขาตอบว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านเถิด!”

5 โบอาสถามหัวหน้าคนงานเกี่ยวข้าวว่า “หญิงสาวคนนั้นเป็นใคร?”

6 หัวหน้าคนงานตอบว่า “นางคือหญิงชาวโมอับที่มาจากโมอับพร้อมนาโอมี

7 นางกล่าวว่า ‘โปรดอนุญาตให้ฉันเก็บรวงข้าวตกที่หลงเหลือจากคนเกี่ยวด้วยเถิด’ แล้วนางก็เก็บมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เช้าและหยุดพักใต้ร่มเงาบ้างเพียงครู่เดียว”

8 โบอาสจึงกล่าวกับรูธว่า “ลูกเอ๋ย ฟังเถิด ไม่ต้องไปเก็บข้าวในนาอื่นหรอก อยู่ที่นี่แหละ ไม่ต้องไปไหน อยู่กับคนงานหญิงของฉัน

9 ดูที่นาซึ่งคนเก็บเกี่ยวอยู่ คอยตามหลังพวกผู้หญิง ฉันสั่งพวกหนุ่มๆ ไว้แล้วไม่ให้มายุ่มย่ามกับเธอ ถ้าหิวน้ำก็เชิญตามสบาย มาดื่มจากหม้อน้ำที่คนงานของฉันตักไว้เถิด”

10 รูธจึงหมอบลงซบหน้ากับพื้น และกล่าวว่า “ทำไมท่านจึงเมตตากรุณาต่อดิฉันเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ดิฉันเป็นเพียงคนต่างชาติ?”

11 โบอาสตอบว่า “ฉันได้ยินทุกอย่างเกี่ยวกับเธอ ที่ได้แสดงความรักและน้ำใจต่อแม่สามีตั้งแต่สามีของเธอตายจากไป ทั้งรู้ถึงการที่เธอจากพ่อแม่ จากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยอยู่กับผู้คนซึ่งเธอไม่เคยรู้จักมาก่อน

12 ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนเธอที่ได้ทำเช่นนั้น และขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้ซึ่งเธอเข้ามาลี้ภัยอยู่ใต้ร่มบารมีประทานรางวัลอันอุดมแก่เธอ”

13 รูธจึงกล่าวว่า “เจ้านายของดิฉัน ขอให้ดิฉันเป็นที่โปรดปรานของท่านต่อไป ท่านได้ปลอบใจและพูดกับดิฉันซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านอย่างกรุณา ทั้งๆ ที่ดิฉันก็ไม่ได้เป็นคนงานของท่าน”

14 เมื่อถึงเวลาอาหาร โบอาสกล่าวกับนางว่า “มาเถิด มากินขนมปังจิ้มเหล้าองุ่นกับเราเถิด”

ขณะที่นางนั่งร่วมวงกับคนเกี่ยวข้าว โบอาสยื่นข้าวคั่วให้ นางรับประทานจนอิ่มและเหลือไว้บ้าง

15 เมื่อนางกลับไปเก็บข้าวอีก โบอาสสั่งคนงานของเขาว่า “แม้นางจะเก็บข้าวจากฟ่อนข้าว ก็อย่าทำให้นางอึดอัดใจ

16 จงดึงรวงข้าวจากมัดทิ้งลงบ้างเพื่อให้นางเก็บ และอย่าตำหนินางเลย”

17 ฉะนั้นรูธจึงเก็บข้าวบาร์เลย์อยู่ในนาจนถึงเย็น จากนั้นนางนวดข้าวที่เก็บมาและได้ข้าวประมาณ 22 ลิตร

18 นางนำข้าวกลับไปในเมืองและแม่สามีก็เห็นว่านางเก็บได้มากเพียงใด รูธยังได้นำอาหารมื้อกลางวันที่เหลือมาให้แม่สามีด้วย

19 นาโอมีถามว่า “ไปเก็บมาจากไหนกันวันนี้? เจ้าไปทำงานที่ไหน? ขอพระเจ้าทรงอวยพรคนนั้นที่ใจดีต่อลูก”

รูธจึงเล่าให้แม่สามีฟังโดยตลอด และบอกว่า “เจ้าของนาที่ฉันไปทำงานวันนี้ชื่อโบอาส”

20 นาโอมีพูดกับลูกสะใภ้ว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเขาด้วยเถิด พระองค์ทรงเมตตากรุณา ทั้งต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่และคนที่ตายจากไปอย่างไม่หยุดยั้ง คนคนนี้เป็นญาติสนิทคนหนึ่งของเราซึ่งจะช่วยไถ่ได้”

21 รูธหญิงสาวชาวโมอับจึงกล่าวว่า “เขายังกล่าวกับลูกว่า ‘จงอยู่กับคนงานของฉันจนกว่าพวกเขาจะเก็บเกี่ยวข้าวของฉันเสร็จ’ ”

22 นาโอมีกล่าวกับรูธลูกสะใภ้ของเธอว่า “ลูกไปกับคนงานหญิงของเขานั่นแหละดีแล้ว เพราะถ้าไปอยู่ในนาของคนอื่น ลูกอาจได้รับอันตราย”

23 ดังนั้นรูธจึงเก็บข้าวอยู่กับคนงานหญิงของโบอาสจนสิ้นสุดการเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางอาศัยอยู่กับแม่สามี

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/RUT/2-63ed28251ba9006f8a695557f1b30e54.mp3?version_id=179—

Categories
นางรูธ

นางรูธ 3

รูธและโบอาสที่ลานนวดข้าว

1 วันหนึ่งนาโอมีกล่าวกับรูธว่า “ลูกเอ๋ย ไม่ควรหรือที่แม่จะหาเหย้าเรือนให้ลูกได้อยู่ดีมีสุข?

2 โบอาสคนที่ลูกไปกับคนงานหญิงของเขาน่ะ เป็นญาติสนิทของเราไม่ใช่หรือ? คืนนี้เขาจะมาฝัดข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว

3 จงอาบน้ำ พรมน้ำหอม สวมเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุด แล้วไปที่ลานนวดข้าว แต่อย่าให้เขารู้ว่าลูกอยู่ที่นั่นจนกว่าเขาจะกินและดื่มเสร็จแล้ว

4 ลูกจงคอยสังเกตว่าเขานอนที่ไหน แล้วจงเปิดผ้าห่มที่เท้าของเขาขึ้น แล้วนอนที่นั่น เขาจะบอกลูกเองว่าให้ทำอะไรบ้าง”

5 รูธตอบว่า “ลูกจะทำทุกอย่างตามที่แม่บอก”

6 นางจึงไปยังลานนวดข้าว และทำตามที่แม่สามีแนะนำทุกประการ

7 เมื่อโบอาสรับประทานอาหารอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็นอนลงข้างกองเมล็ดข้าว รูธจึงย่องเข้ามาเปิดผ้าห่มที่เท้าของโบอาสขึ้นและนอนลงที่นั่น

8 โบอาสตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก พบว่ามีผู้หญิงนอนอยู่แทบเท้า

9 เขาถามว่า “เธอเป็นใครน่ะ?”

รูธตอบว่า “ดิฉันคือรูธผู้รับใช้ของท่าน โปรดคลี่ชายเสื้อของท่านคลุมตัวดิฉันด้วย เพราะท่านเป็นญาติสนิทซึ่งจะช่วยไถ่ได้”

10 โบอาสกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเธอเถิด ครั้งนี้เธอได้แสดงน้ำใจต่อนาโอมียิ่งกว่าครั้งก่อนๆ เพราะเธอไม่ได้เลือกคนหนุ่มๆ ไม่ว่าจะรวยหรือจน

11 บัดนี้ลูกเอ๋ย อย่ากลัวเลย ฉันจะทำตามที่เธอขอทุกอย่าง พี่น้องชาวเมืองทุกคนต่างรู้ว่าเธอเป็นหญิงจิตใจงาม

12 ฉันเป็นญาติสนิทก็จริง แต่มีญาติสนิทซึ่งมีสิทธิ์ไถ่อีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าฉัน

13 คืนนี้ค้างเสียที่นี่ ตอนเช้าฉันจะไปพูดกับคนนั้น ถ้าเขาจะไถ่ก็ดีแล้ว ให้เขาทำหน้าที่ของเขา แต่ถ้าเขาไม่เต็มใจองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ฉันก็จะทำหน้าที่นี้ฉันนั้น นอนเสียที่นี่เถอะ จนกว่าจะถึงเช้า”

14 ดังนั้นนางจึงนอนอยู่แทบเท้าของเขาจนกระทั่งเช้า แต่ตื่นขึ้นตอนเช้ามืดก่อนที่จะมีใครสังเกตเห็น และโบอาสกล่าวว่า “อย่าให้ใครรู้ว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าวนี้เลย”

15 เขากล่าวด้วยว่า “เอาผ้าคลุมผมมากางออกเถิด” เมื่อนางทำตาม เขาก็ตวงข้าวบาร์เลย์ 6 ทะนานให้นางแบกไป แล้วเขาก็กลับเข้าไปในเมือง

16 เมื่อรูธกลับมาหาแม่สามี นาโอมีถามว่า “เป็นอย่างไรบ้างลูกของแม่?”

นางก็เล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่โบอาสทำให้นาโอมีฟัง

17 แล้วกล่าวอีกว่า “เขาได้ให้ข้าวบาร์เลย์ 6 ทะนานแก่ฉันและพูดว่า ‘อย่ากลับไปหาแม่สามีมือเปล่าเลย’ ”

18 แล้วนาโอมีกล่าวกับนางว่า “ลูกเอ๋ย อดใจรอจนกว่าจะรู้ผลเถิด เพราะโบอาสจะไม่อยู่เฉยจนกว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยในวันนี้”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/RUT/3-cc628fa9e33c0907b925ef73fb731420.mp3?version_id=179—

Categories
นางรูธ

นางรูธ 4

โบอาสแต่งงานกับรูธ

1 ฝ่ายโบอาสไปยังประตูเมืองและนั่งอยู่ที่นั่น เมื่อญาติสนิทคนที่มีสิทธิ์ไถ่ซึ่งโบอาสกล่าวถึงได้ผ่านมา โบอาสก็กล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย เชิญมานั่งที่นี่ก่อน” ทั้งสองจึงนั่งลงด้วยกัน

2 โบอาสก็เชิญผู้อาวุโสของเมืองนั้นมาสิบคนและกล่าวว่า “ขอเชิญนั่งที่นี่” พวกเขาก็นั่งลง

3 แล้วโบอาสพูดกับญาติซึ่งมีสิทธิ์ไถ่ว่า “นาโอมีซึ่งกลับมาจากโมอับกำลังจะขายที่ดินของเอลีเมเลคญาติของเรา

4 ข้าพเจ้าคิดว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับท่าน และแนะให้ท่านซื้อที่ดินต่อหน้าทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสของเรา หากท่านอยากจะไถ่ ขอให้ไถ่เถิด แต่หากไม่ไถ่ ขอให้บอก ข้าพเจ้าจะได้รู้ เพราะไม่มีใครมีสิทธิ์ไถ่ยกเว้นท่าน และข้าพเจ้ามีสิทธิ์รองลงมาจากท่าน”

ชายผู้นั้นตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไถ่”

5 โบอาสจึงบอกว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่ดินจากนาโอมีและจากรูธชาวโมอับ ท่านจะได้ภรรยาม่ายของผู้ตายด้วย เพื่อสืบนามของผู้ตายต่อไปบนที่ดินอันเป็นกรรมสิทธิ์ของเขา”

6 เขาตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าไม่สามารถไถ่ได้ เพราะทรัพย์สินส่วนของข้าพเจ้าอาจเสียไป ขอท่านไถ่ไว้เองเถิดเพราะข้าพเจ้าไม่สามารถทำได้”

7 (ในครั้งนั้นเป็นธรรมเนียมในอิสราเอลสำหรับการไถ่และการตกลงโอนสิทธิ์ในทรัพย์สิน โดยฝ่ายหนึ่งถอดรองเท้าออกมามอบให้อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการยืนยันข้อตกลงตามกฎหมายในอิสราเอล)

8 ฉะนั้นขณะที่ชายผู้นั้นพูดกับโบอาสว่า “ท่านซื้อเองเถิด” เขาก็ถอดรองเท้าออกมา

9 โบอาสจึงประกาศกับบรรดาผู้อาวุโสและคนทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายเป็นพยานว่าในวันนี้ข้าพเจ้าซื้อทรัพย์สินทั้งหมดของเอลีเมเลค คิลิโอน และมาห์โลนจากนาโอมี

10 พร้อมกันนี้ข้าพเจ้าได้ขอรับรูธหญิงชาวโมอับ ภรรยาม่ายของมาห์โลน มาเป็นภรรยาของข้าพเจ้าด้วย เพื่อนางจะได้มีบุตรสืบนามของผู้ตายกับกรรมสิทธิ์ของเขา เพื่อนามของเขาจะไม่ขาดหายไปจากวงศ์ตระกูลหรือทะเบียนราษฎร ท่านทั้งหลายเป็นพยานในวันนี้!”

11 บรรดาผู้อาวุโสและคนทั้งปวงซึ่งยืนอยู่ที่ประตูเมืองจึงกล่าวว่า “เราเป็นสักขีพยาน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้หญิงผู้นี้ซึ่งก้าวเข้ามาสู่เหย้าเรือนของท่านจงเป็นเหมือนราเชลและเลอาห์ ผู้ซึ่งร่วมกันสร้างวงศ์ตระกูลอิสราเอล ขอให้ท่านยิ่งใหญ่ในเอฟราธาห์และมีชื่อเสียงดีในเบธเลเฮม

12 และขอให้ลูกหลานซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานแก่ท่านจากหญิงสาวผู้นี้ คือขอให้ครอบครัวของท่านเป็นเช่นครอบครัวของเปเรศซึ่งทามาร์คลอดให้กับยูดาห์”

ลำดับพงศ์พันธุ์ของดาวิด

13 ดังนั้นโบอาสจึงรับรูธมาเป็นภรรยาและอยู่กินกับนางองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้นางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง

14 พวกผู้หญิงกล่าวกับนาโอมีว่า “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งในวันนี้ไม่ได้ทรงให้เธอปราศจากญาติซึ่งมีสิทธิ์ไถ่ ขอให้เขามีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วอิสราเอล!

15 เขาจะฟื้นฟูชีวิตของเธอและเลี้ยงดูเธอยามเธอแก่ชรา เพราะเขาเกิดจากลูกสะใภ้ซึ่งรักเธอ และดีกับเธอยิ่งกว่าลูกชายตั้งเจ็ดคน”

16 นาโอมีรับเด็กมาอุ้มใส่ตักและเลี้ยงดูเขา

17 หญิงเพื่อนบ้านกล่าวว่า “นาโอมีมีลูกชาย” เขาตั้งชื่อเด็กนั้นว่าโอเบด โอเบดเป็นบิดาของเจสซีซึ่งเป็นบิดาของดาวิด

18 ลำดับวงศ์วานของเปเรศมีดังนี้

เปเรศเป็นบิดาของเฮสโรน

19 เฮสโรนเป็นบิดาของราม

รามเป็นบิดาของอัมมีนาดับ

20 อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาห์โชน

นาห์โชนเป็นบิดาของสัลโมน

21 สัลโมนเป็นบิดาของโบอาส

โบอาสเป็นบิดาของโอเบด

22 โอเบดเป็นบิดาของเจสซี

และเจสซีเป็นบิดาของดาวิด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/RUT/4-084663c6aa169a072d44425009d10264.mp3?version_id=179—

Categories
1ซามูเอล

1ซามูเอล 1

กำเนิดซามูเอล

1 มีชายตระกูลศูฟคนหนึ่งจากรามาธาอิมในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ชื่อเอลคานาห์ บุตรเยโรฮัม บุตรเอลีฮู บุตรโทหุ บุตรศูฟชาวเอฟราอิม

2 เอลคานาห์มีภรรยาสองคนคือฮันนาห์และเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตร ส่วนฮันนาห์ไม่มีบุตร

3 ชายผู้นี้จะเดินทางไปนมัสการและถวายเครื่องบูชาแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ที่ชิโลห์ทุกปี โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองของเอลีเป็นปุโรหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น

4 ทุกครั้งที่ถวายเครื่องบูชา เอลคานาห์จะมอบเนื้อส่วนต่างๆ แก่เปนินนาห์และบุตรชายหญิงทุกคน

5 แต่สำหรับนางฮันนาห์เขาจะมอบให้ถึงสองส่วนเพราะเขารักนาง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดครรภ์ของนางไว้

6 และเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดครรภ์ของนาง เปนินนาห์คู่แข่งของฮันนาห์ก็ยิ่งซ้ำเติมให้นางขุ่นเคืองใจ

7 เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ปีแล้วปีเล่า ทุกครั้งที่ฮันนาห์มายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าเปนินนาห์คู่แข่งจะซ้ำเติมจนนางร้องไห้ไม่ยอมรับประทานอาหาร

8 เอลคานาห์สามีของนางจะกล่าวกับนางว่า “ฮันนาห์ เธอร้องไห้ทำไม? ทำไมไม่ยอมกินอาหาร? ทำไมต้องทุกข์ระทมใจ? มีฉันอยู่ทั้งคนไม่ดีกว่ามีลูกชายสิบคนหรือ?”

9 ครั้งหนึ่งขณะอยู่ที่ชิโลห์ หลังจากที่พวกเขากินและดื่มแล้ว ฮันนาห์ก็ลุกขึ้น ปุโรหิตเอลีนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเสาประตูพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

10 ฮันนาห์ร่ำไห้ด้วยความทุกข์ระทมและอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

11 นางถวายปฏิญาณว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ หากพระองค์ทรงเหลียวแลความทุกข์โศกของผู้รับใช้ของพระองค์และระลึกถึงข้าพระองค์ หากไม่ทรงลืมผู้รับใช้ของพระองค์และประทานบุตรชายให้ ข้าพระองค์ก็จะถวายเขาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขาและมีดโกนจะไม่ถูกต้องศีรษะของเขาเลย”

12 ขณะที่นางอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่นั้น เอลีสังเกตเห็นริมฝีปากของนาง

13 ฮันนาห์อธิษฐานอยู่ในใจและริมฝีปากของนางขมุบขมิบแต่ไม่ได้ยินเสียงของนาง เอลีก็คิดว่านางเมาเหล้า

14 จึงกล่าวกับนางว่า “เธอจะเมาไปอีกนานสักเท่าใด จงเลิกดื่มเหล้าองุ่นเสียเถอะ”

15 ฮันนาห์ตอบว่า “เปล่าเจ้าค่ะ ดิฉันคือหญิงผู้ทุกข์ระทม ดิฉันไม่ได้เมาเหล้าองุ่นหรือของมึนเมา แต่กำลังทูลระบายความในใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

16 ขออย่าเข้าใจผิดว่าผู้รับใช้ของท่านเป็นหญิงชั่ว ดิฉันกำลังอธิษฐานด้วยความทุกข์โศกและด้วยความกระวนกระวายใจอย่างมาก”

17 เอลีจึงตอบว่า “ไปดีมีสุขเถิด ขอให้พระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ตามคำทูลขอของเธอ”

18 นางกล่าวว่า “ขอให้ผู้รับใช้ของท่านเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านเถิด” แล้วนางก็กลับไปรับประทานอาหารและไม่ได้มีสีหน้าโศกสลดอีกเลย

19 วันรุ่งขึ้นพวกเขาตื่นแต่เช้าและนมัสการต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจากนั้นก็กลับบ้านที่รามาห์ เอลคานาห์หลับนอนกับนางฮันนาห์ภรรยาของเขา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระลึกถึงนาง

20 เมื่อถึงวาระกำหนดฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย นางตั้งชื่อให้ว่าซามูเอลตามที่นางกล่าวว่า “เพราะดิฉันทูลขอเขาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

ฮันนาห์ถวายซามูเอล

21 เมื่อเอลคานาห์และครอบครัวขึ้นไปถวายเครื่องบูชาประจำปีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและปฏิบัติตามที่ถวายปฏิญาณไว้

22 ฮันนาห์ไม่ได้ไปด้วย นางบอกสามีว่า “รอจนลูกคนนี้หย่านม ดิฉันจะพาเขาไปเข้าเฝ้าต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและให้เขาอยู่ที่นั่นตลอดไป”

23 เอลคานาห์สามีของนางบอกนางว่า “ทำตามที่เธอเห็นว่าดีที่สุดก็แล้วกัน รอให้เขาหย่านมก่อน ขอให้เป็นไปตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” นางจึงยังคงอยู่ที่บ้าน เอาใจใส่เลี้ยงดูลูกจนกระทั่งเด็กนั้นหย่านม

24 หลังจากเขาหย่านมแล้ว นางก็พาเด็กชายคนนั้นมายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ขณะที่เขายังเล็กอยู่ พร้อมด้วยวัวผู้อายุสามปีหนึ่งตัวแป้งประมาณ 22 ลิตรและเหล้าองุ่นหนึ่งถุงหนัง

25 เมื่อพวกเขาฆ่าวัวถวายเสร็จแล้วก็พาเด็กนั้นมาพบเอลี

26 ฮันนาห์กล่าวกับเอลีว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันคือหญิงซึ่งเคยมายืนอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงนี้

27 ดิฉันทูลขอลูกชายคนนี้จากพระองค์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ประทานตามคำวิงวอน

28 บัดนี้ดิฉันนำเขามาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเขาจะเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขา” แล้วเขาก็นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1SA/1-a91db199a09c4424f3d23585261161d0.mp3?version_id=179—

Categories
1ซามูเอล

1ซามูเอล 2

คำอธิษฐานของฮันนาห์

1 แล้วนางฮันนาห์อธิษฐานว่า

“จิตใจของข้าพเจ้าปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าได้รับการชูกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า

ริมฝีปากข้าพเจ้าข่มทับศัตรู

เพราะข้าพเจ้าชื่นชมในการช่วยกู้ของพระองค์

2 “ไม่มีผู้ใดบริสุทธิ์สูงส่งเสมอเหมือนองค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่มีผู้ใดนอกจากพระองค์

ไม่มีศิลาใดเสมอเหมือนพระเจ้าของเรา

3 “อย่าพูดโอหังอีกต่อไป

อย่าปริปากแสดงความจองหองเช่นนั้น

เพราะพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าผู้ทรงรอบรู้

และทรงเป็นผู้ชั่งดูการกระทำทั้งหลาย

4 “คันธนูของนักรบก็ถูกหัก

แต่ผู้ที่ซวนเซได้รับการเสริมกำลัง

5 บรรดาผู้ที่อิ่มหนำต้องออกรับจ้างเลี้ยงชีพ

แต่บรรดาผู้ที่หิวโหยไม่ต้องหิวโหยอีกต่อไป

หญิงหมันมีบุตรเจ็ดคน

แต่หญิงผู้มีบุตรหลายคนก็ร่วงโรยไป

6 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดให้ตายหรือให้มีชีวิต

พระองค์ทรงนำไปสู่แดนผู้ตายและให้เป็นขึ้นมา

7 ความยากจนและความร่ำรวยมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

พระองค์ทรงทำให้ต่ำลงและทรงยกชูขึ้น

8 พระองค์ทรงยกชูผู้ยากไร้ขึ้นจากธุลี

ทรงยกคนขัดสนจากกองขี้เถ้า

พระองค์ทรงให้เขานั่งร่วมกับเจ้านาย

และให้เขาครองบัลลังก์อันทรงเกียรติ

“เพราะรากฐานของแผ่นดินโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พระองค์ทรงสถาปนาโลกไว้บนนั้น

9 พระองค์จะทรงพิทักษ์ปกป้องย่างเท้าของประชากรของพระองค์

ส่วนคนชั่วร้ายจะนิ่งอึ้งอยู่ในความมืด

“คนเราชนะได้ไม่ใช่ด้วยพลัง

10 บรรดาผู้ที่ต่อสู้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องกระจัดกระจายไป

พระองค์ทรงฟาดฟันพวกเขาด้วยฟ้าผ่าจากสวรรค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาทั่วพิภพ

“พระองค์จะประทานกำลังแก่กษัตริย์ของพระองค์

และเชิดชูผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”

11 แล้วเอลคานาห์ก็กลับบ้านที่รามาห์ ส่วนเด็กน้อยซามูเอลปรนนิบัติรับใช้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าภายใต้การดูแลของปุโรหิตเอลี

บุตรผู้ชั่วร้ายของเอลี

12 บุตรชายทั้งสองของเอลีเป็นคนชั่ว ไม่เคารพยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า

13 ทุกครั้งที่มีผู้ถวายเครื่องบูชา ขณะที่กำลังต้มเนื้อสัตว์ถวายบูชานั้น พวกเขามักจะสั่งคนรับใช้ให้เอาสามง่าม

14 จิ้มลงในกระทะหรือในกาต้ม ในหม้อหรือในหม้อต้มใหญ่ อะไรติดขึ้นมาก็จะเอาไป เขาปฏิบัติเช่นนี้ต่ออิสราเอลทั้งปวงที่มายังชิโลห์

15 บางครั้งคนรับใช้ของปุโรหิตมาก่อนการเผาไขมันบนแท่นบูชา และบอกว่า “จงแบ่งเนื้อดิบให้ปุโรหิต เพราะท่านไม่รับเนื้อต้มจากเจ้า รับแต่เนื้อดิบเท่านั้น”

16 หากผู้ถวายกล่าวว่า “ขอเผาไขมันให้เสร็จก่อน แล้วต้องการอะไรก็เอาไปเถิด” คนรับใช้ผู้นั้นจะกล่าวว่า “ไม่ได้ ต้องเอาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ให้ เราจะใช้กำลัง”

17 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่าบุตรทั้งสองของเอลีทำบาปใหญ่หลวง เพราะเขาปฏิบัติต่อเครื่องบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความดูหมิ่น

18 ฝ่ายซามูเอลรับใช้อยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเด็กชายสวมเอโฟดลินิน

19 มารดาทำเสื้อชุดเล็กๆ มาให้ทุกปีเมื่อนางมาพร้อมกับสามีเพื่อถวายเครื่องบูชาประจำปี

20 เอลีจะอวยพรเอลคานาห์และภรรยาของเขาว่า “ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานบุตรอีกหลายคนจากหญิงคนนี้แก่ท่านแทนที่บุตรซึ่งนางได้ทูลขอและถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วพวกเขาก็กลับบ้าน

21 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาฮันนาห์ นางตั้งครรภ์และมีบุตรชายสามคน บุตรสาวสองคน ซามูเอลก็เติบโตขึ้นต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

22 ฝ่ายเอลีซึ่งชรามากแล้ว ได้ยินทุกอย่างที่บุตรชายทำต่อปวงชนอิสราเอล และการที่พวกเขาหลับนอนกับผู้หญิงซึ่งมาปรนนิบัติที่ทางเข้าเต็นท์นัดพบ

23 เอลีจึงกล่าวกับบุตรของตนว่า “ทำไมถึงทำอย่างนี้ พ่อได้ยินจากปากทุกคนว่าลูกทำตัวเลวทรามมาก

24 อย่าทำเช่นนี้เลยลูกเอ๋ย เรื่องที่พ่อได้ยินคนขององค์พระผู้เป็นเจ้าพูดกันไปทั่วไม่มีเรื่องดีเลย

25 ถ้าทำบาปกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พระเจ้าอาจจะไกล่เกลี่ยให้ แต่ถ้าทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าใครจะช่วยอ้อนวอนแทนได้?” แต่พวกเขาไม่ฟังคำห้ามปรามของบิดา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดำริจะประหารพวกเขาอยู่แล้ว

26 ส่วนเด็กชายซามูเอลเติบโตขึ้น เป็นที่โปรดปรานของทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและคนทั้งหลาย

คำตัดสินพงศ์พันธุ์ของเอลี

27 ครั้งนั้นคนของพระเจ้ามาพบเอลีและกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราไม่ได้เปิดเผยตัวเองอย่างชัดเจนแก่วงศ์วานของบิดาของเจ้า เมื่อครั้งพวกเขาเป็นทาสของฟาโรห์อยู่ในอียิปต์หรอกหรือ?

28 เราแยกบรรพบุรุษของเจ้าออกจากเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอลมาเป็นปุโรหิตของเรา ให้มาที่แท่นบูชาของเรา เผาเครื่องหอมและสวมเอโฟดอยู่ต่อหน้าเรา และเราก็ได้ยกเครื่องบูชาด้วยไฟซึ่งอิสราเอลนำมาเผาถวายนั้นให้แก่วงศ์วานของบิดาของเจ้า

29 เหตุใดพวกเจ้าจึงดูหมิ่นเครื่องบูชาและเครื่องถวายซึ่งเรากำหนดไว้เพื่อเราจะสถิตอยู่ด้วย? เหตุใดเจ้าจึงให้เกียรติลูกชายของเจ้ายิ่งกว่าเรา โดยขุนตัวเองจนอ้วนพีด้วยส่วนดีๆ ของเครื่องถวายบูชาทั้งปวงจากอิสราเอลประชากรของเรา?’

30 “ฉะนั้นเรา พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลประกาศว่า ‘เราสัญญาไว้ว่าพงศ์พันธุ์ของเจ้าและของบิดาของเจ้าจะรับใช้อยู่ต่อหน้าเราตลอดไป’ แต่บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ให้การนั้นห่างไกลจากเรา! เราจะให้เกียรติคนที่ให้เกียรติเรา และเราจะเหยียดหยามคนที่ดูหมิ่นเรา

31 ใกล้จะถึงเวลาที่เราจะตัดเจ้าและวงศ์วานของบิดาของเจ้าออก จะไม่มีใครในครอบครัวของเจ้าที่แก่ตาย

32 เจ้าจะริษยาความเจริญรุ่งเรืองซึ่งเราจะให้แก่อิสราเอล แต่เจ้ากับครอบครัวจะทุกข์ยากและขัดสน ไม่มีสักคนเดียวได้อยู่จนแก่เฒ่า

33 ทุกคนในพวกเจ้าที่เราไม่ได้ตัดออกจากแท่นบูชาของเรา เราจะไว้ชีวิตเพียงเพื่อให้น้ำตานองหน้าและจิตใจทุกข์ระทม วงศ์วานทั้งปวงของเจ้าจะตายตั้งแต่วัยฉกรรจ์

34 “ ‘และเพื่อเป็นหมายสำคัญแก่เจ้า โฮฟนีกับฟีเนหัสบุตรชายทั้งสองของเจ้าจะสิ้นชีวิตในวันเดียวกัน

35 เราจะแต่งตั้งปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ขึ้นเพื่อเราเอง ผู้ซึ่งจะทำตามความคิดและจิตใจของเรา เราจะสถาปนาวงศ์วานของเขาไว้ให้มั่นคง และเขาจะปรนนิบัติรับใช้อยู่ต่อหน้าผู้ที่เราเจิมตั้งไว้นั้นตลอดไป

36 วงศ์วานทุกคนของเจ้าที่รอดชีวิตอยู่จะมาค้อมคำนับผู้นั้น แล้วร้องขอเศษเงินและอาหารว่า “โปรดมอบหมายงานปุโรหิตให้ข้าพเจ้าทำสักอย่างเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีอาหารรับประทาน” ’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1SA/2-d1a28c60f6d2a4ca139b511c1a11589e.mp3?version_id=179—

Categories
1ซามูเอล

1ซามูเอล 3

องค์พระผู้เป็นเจ้า

1 เด็กน้อยซามูเอลปรนนิบัติรับใช้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าภายใต้การดูแลของเอลี ในสมัยนั้นนานๆ ครั้งจึงจะมีนิมิตหรือพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

2 ส่วนเอลีตามัวจนมองอะไรแทบไม่เห็นเพราะชรามาก คืนหนึ่งหลังจากที่เอลีเข้านอนแล้ว

3 ซามูเอลหลับอยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งหีบพันธสัญญาตั้งอยู่ ดวงประทีปของพระเจ้ายังไม่ดับ

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกซามูเอล

ซามูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”

5 เขาวิ่งไปหาเอลีและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ?”

เอลีตอบว่า “เราไม่ได้เรียก กลับไปนอนเถอะ” ซามูเอลก็ไปนอน

6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า “ซามูเอล!” ซามูเอลก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเอลีและพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ?”

เอลีกล่าวว่า “เปล่าเลยลูก เราไม่ได้เรียก กลับไปนอนเถอะ”

7 ซามูเอลยังไม่รู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าและไม่เคยได้รับพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาก่อน

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกซามูเอลเป็นครั้งที่สาม ซามูเอลก็ลุกขึ้นวิ่งไปหาเอลีและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ?”

เอลีจึงตระหนักว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังตรัสเรียกซามูเอล

9 ดังนั้นเอลีจึงบอกซามูเอลว่า “ไปนอนเถอะ และถ้าพระองค์ตรัสเรียก ก็จงทูลว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดตรัสเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่’ ” ดังนั้นซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของเขา

10 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับยืนที่นั่นและตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า “ซามูเอล! ซามูเอล!”

ซามูเอลตอบว่า “พระเจ้าข้า โปรดตรัสเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า “ดูเถิด เราจะกระทำบางสิ่งในอิสราเอลซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับขนลุกขนพอง

12 ในเวลานั้นเราจะกระทำทุกอย่างแก่เอลีตามที่เราได้ลั่นวาจาไว้เกี่ยวกับครอบครัวของเขา ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด

13 เพราะเราบอกเขาแล้วว่าเราจะพิพากษาลงโทษครอบครัวของเขาตลอดไป เพราะบาปที่เขารู้อยู่แล้วว่าลูกของเขาดูหมิ่นเรา และเขาก็ไม่ได้ห้ามปราม

14 ฉะนั้นเราได้ปฏิญาณต่อพงศ์พันธุ์ของเอลีว่า ‘ความผิดของพงศ์พันธุ์ของเอลีจะไม่ได้รับการลบล้างด้วยเครื่องบูชาและเครื่องถวายเลย’ ”

15 ซามูเอลนอนอยู่จนกระทั่งเช้า แล้วก็เปิดประตูพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นเคย เขาไม่กล้าบอกเอลีเกี่ยวกับนิมิตนั้น

16 แต่เอลีเรียกเขาและกล่าวว่า “ลูกซามูเอลเอ๋ย”

ซามูเอลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่”

17 เอลีถามว่า “พระเจ้าตรัสอะไรกับเจ้าบ้าง? บอกมาเถิด อย่าปิดบังสิ่งใดจากเรา ขอพระเจ้าจัดการกับเจ้าอย่างสาหัสหากเจ้าปิดบังสิ่งที่พระองค์ตรัสกับเจ้า”

18 ซามูเอลจึงเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้ฟังโดยไม่ปิดบัง เอลีจึงกล่าวว่า “พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าขอให้พระองค์ทรงกระทำตามที่ทรงเห็นชอบเถิด”

19 ซามูเอลก็เติบโตขึ้นองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา และให้ถ้อยคำของเขาเป็นจริงทุกคำ

20 ชนอิสราเอลทั้งปวงตั้งแต่ดานจดเบเออร์เชบารู้ว่าซามูเอลได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 องค์พระผู้เป็นเจ้ายังคงปรากฏที่ชิโลห์ และทรงสำแดงพระองค์เองแก่ซามูเอลที่นั่นผ่านทางพระวจนะของพระองค์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1SA/3-8837f221f422c45377d3d1571d3a4255.mp3?version_id=179—

Categories
1ซามูเอล

1ซามูเอล 4

1 และคนอิสราเอลทั้งปวงได้ฟังคำของซามูเอล

หีบพันธสัญญาถูกชาวฟีลิสเตียยึดไป

ครั้งนั้นชนอิสราเอลออกไปรบกับชาวฟีลิสเตียและตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ส่วนฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟค

2 ชาวฟีลิสเตียดาหน้าเข้าต่อสู้กับอิสราเอล เมื่อสงครามขยายออกไป อิสราเอลพ่ายแพ้ฟีลิสเตีย ถูกฆ่าตายไปประมาณสี่พันคนในสนามรบ

3 เมื่อพวกทหารกลับมายังค่ายพัก บรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอลหารือกันว่า “ทำไมวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พวกเราแพ้พวกฟีลิสเตีย ให้เราอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากชิโลห์มาที่นี่ เพื่อพระองค์จะได้สถิตกับเราและช่วยเหลือเราจากมือของศัตรู”

4 ฉะนั้นประชาชนจึงส่งคนไปที่ชิโลห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ผู้ประทับระหว่างเครูบ โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรของเอลีได้มาที่สนามรบพร้อมหีบพันธสัญญาของพระเจ้าด้วย

5 เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายพัก อิสราเอลทั้งปวงก็ตะโกนโห่ร้องเสียงดังปานแผ่นดินจะถล่มทลาย

6 ชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมก็ถามกันว่า “เกิดอะไรขึ้นจึงมีเสียงตะโกนโห่ร้องทั่วค่ายพวกฮีบรู?”

เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายพัก

7 ชาวฟีลิสเตียก็พากันขวัญหนีดีฝ่อและร้องว่า “พระเจ้าเข้ามาในค่ายของพวกนั้น ลำบากแล้วเรา! เราไม่เคยพบอะไรอย่างนี้มาก่อนเลย

8 พินาศแน่! ใครจะช่วยเราจากมือเทพเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เหล่านี้ได้? พระเหล่านี้แหละที่ทำลายล้างชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติทั้งปวงในถิ่นกันดาร

9 พี่น้องฟีลิสเตียทั้งหลาย! จงเข้มแข็งสมเป็นลูกผู้ชาย มิฉะนั้นเราจะต้องก้มหัวให้พวกฮีบรูเหมือนที่พวกเขาเคยก้มหัวให้เรา จงสู้อย่างลูกผู้ชาย!”

10 ฉะนั้นพวกฟีลิสเตียจึงสู้รบ และคนอิสราเอลก็พ่ายแพ้และทุกคนหนีไปยังเต็นท์ของตน มีการฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ ทหารราบของอิสราเอลตายไปสามหมื่นคน

11 หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองของเอลีถูกฆ่าตาย

เอลีสิ้นชีวิต

12 ชายตระกูลเบนยามินคนหนึ่งหนีจากสนามรบมาถึงชิโลห์ในวันนั้นด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นและมีฝุ่นบนศีรษะ

13 เอลีนั่งอยู่ริมทางคอยฟังข่าว เพราะจิตใจของเขาเป็นห่วงหีบพันธสัญญาของพระเจ้า เมื่อชายผู้นั้นมาถึงเมืองและเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนทั้งเมืองก็พากันร้องไห้ระงม

14 เอลีได้ยินเสียงร้องก็ถามว่า “เอะอะอึกทึกอะไรกันหรือ?”

ชายผู้นั้นตรงเข้ามาหาเอลี

15 เอลีมีอายุ 98 ปี ตามองอะไรไม่เห็น

16 เขาบอกเอลีว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งหนีมาจากสนามรบวันนี้เอง”

เอลีถามว่า “ลูกเอ๋ย เกิดอะไรขึ้น?”

17 ชายผู้นำข่าวมานั้นตอบว่า “อิสราเอลพ่ายแพ้ฟีลิสเตีย กองทัพของเราเสียหายมาก โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสองของท่านตายแล้ว และหีบพันธสัญญาของพระเจ้าก็ถูกยึดไป”

18 เมื่อเขาเอ่ยถึงหีบพันธสัญญาของพระเจ้า เอลีก็ผงะหงายหลัง ล้มจากที่นั่งริมประตู คอหักเสียชีวิต เพราะเขาชรามากและอ้วน เขาได้นำอิสราเอลมาสี่สิบปี

19 เมื่อลูกสะใภ้ของเอลีคือภรรยาของฟีเนหัสซึ่งกำลังตั้งครรภ์ใกล้คลอด ได้ยินว่าหีบพันธสัญญาถูกยึดไป และสามีกับพ่อสามีสิ้นชีวิต นางก็รู้สึกเจ็บครรภ์เป็นอย่างยิ่งและคลอดบุตร

20 ก่อนที่นางจะเสียชีวิต ผู้หญิงที่คอยดูแลอยู่ปลอบนางว่า “อย่าหมดหวัง เธอได้ลูกชาย” แต่นางไม่ได้สนใจหรือโต้ตอบประการใด

21 นางตั้งชื่อทารกนั้นว่าอีคาโบดนางกล่าวว่า “พระเกียรติสิริถูกพรากไปจากอิสราเอลแล้ว” เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไปแล้ว สามีของนางและพ่อสามีก็สิ้นชีวิตไปด้วย

22 นางกล่าวว่า “พระเกียรติสิริพรากไปจากอิสราเอลแล้ว เพราะหีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1SA/4-c27150b7f8296e66f5013d4836535ec9.mp3?version_id=179—