Categories
1พงศ์กษัตริย์

1พงศ์กษัตริย์ 20

เบนฮาดัดโจมตีสะมาเรีย

1 ครั้งนั้นกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมยกกองทัพมาสมทบกับกษัตริย์ 32 องค์ พร้อมรถม้าศึกและม้าเข้าล้อมและโจมตีสะมาเรีย

2 เบนฮาดัดส่งทูตเข้ามาในเมืองแจ้งกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลว่า “เบนฮาดัดตรัสว่า

3 ‘เงินและทองของท่านเป็นของเรา มเหสีและโอรสธิดาที่ดีที่สุดของท่านก็เป็นของเราด้วย’ ”

4 กษัตริย์อิสราเอลตอบว่า “ข้าแต่เจ้านาย ตกลงตามที่ท่านว่า ข้าพเจ้าและทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีเป็นของท่าน”

5 แล้วทูตกลับมาแจ้งอีกว่า “เบนฮาดัดตรัสว่า ‘เราส่งคนมาเรียกร้องเอาเงินและทอง มเหสี โอรส ธิดาของท่าน

6 แต่พรุ่งนี้เวลาเดียวกันนี้ เราจะส่งคนมาตรวจดูราชวังของท่าน และบ้านเรือนของข้าราชการ แล้วจะริบเอาของมีค่าทุกอย่างไปจากท่าน’ ”

7 กษัตริย์อิสราเอลจึงเรียกชุมนุมผู้อาวุโสทั้งหมดและตรัสกับพวกเขาว่า “ดูชายคนนี้สิ เขาพาลหาเรื่องเรา เมื่อเขามาเรียกร้องเอามเหสี โอรสธิดา เงินและทองของเรา เราก็ไม่ขัดขืน”

8 ผู้อาวุโสและประชากรทั้งปวงทูลว่า “ขออย่าทรงฟังหรือยอมตามข้อเรียกร้องของเขาเลย”

9 อาหับจึงตรัสแก่ทูตของเบนฮาดัดว่า “ช่วยไปทูลกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าเถิดว่า ‘ผู้รับใช้ยอมทุกอย่างตามที่ทรงเรียกร้องในครั้งแรก แต่ข้อเรียกร้องครั้งหลังนี้ไม่อาจทำตามได้’ ” ทูตจึงกลับไปรายงานเบนฮาดัด

10 แล้วเบนฮาดัดมีพระดำรัสมาถึงอาหับอีกว่า “ขอให้เทพเจ้าทั้งหลายจัดการกับเราอย่างหนัก หากในสะมาเรียยังเหลือฝุ่นพอให้คนของเราคนละกำมือ”

11 กษัตริย์อิสราเอลตอบกลับไปว่า “จงทูลพระองค์ว่า ‘ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะอย่าเพิ่งคุยโว’ ”

12 พระดำรัสตอบนี้มาถึงขณะที่เบนฮาดัดและกษัตริย์ทั้งหลายกำลังดื่มกันอยู่ในพลับพลาที่ประทับเบนฮาดัดตรัสสั่งคนของตนว่า “เตรียมบุกโจมตี” พวกเขาก็เตรียมทัพเข้าโจมตีเมืองนั้น

อาหับรบชนะเบนฮาดัด

13 ขณะนั้นมีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าเห็นกองทัพมหึมานี้ไหม? วันนี้เราจะมอบไว้ในมือของเจ้า แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

14 อาหับตรัสถามว่า “แต่ใครจะเป็นผู้ทำการครั้งนี้”

ผู้เผยพระวจนะตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคต่างๆ’ ”

อาหับตรัสถามว่า “ใครจะเป็นผู้เริ่มรบ?”

ผู้เผยพระวจนะทูลตอบว่า “ฝ่าพระบาทนั่นแหละ”

15 อาหับจึงทรงรวบรวมบรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคต่างๆ ได้ 232 คน แล้วระดมกำลังพลอิสราเอลได้ทั้งสิ้น 7,000 คน

16 ประมาณเที่ยงวัน ขณะที่เบนฮาดัดและบรรดากษัตริย์พันธมิตรอีก 32 องค์กำลังมึนเมาอยู่ในที่ประทับ

17 บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคก็บุกขึ้นหน้าไปก่อน

พลรักษาการณ์ที่เบนฮาดัดวางไว้ทูลรายงานว่า “มีกองทหารรุกมาจากสะมาเรีย”

18 เบนฮาดัดตรัสสั่งว่า “ไม่ว่าพวกเขามาอย่างสันติหรือมาทำศึกก็ให้จับเป็น”

19 บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคเคลื่อนพลออกจากเมืองโดยมีกองทัพตามไป

20 แต่ละคนต่างสังหารข้าศึก คนอารัมพ่ายหนีและคนอิสราเอลก็รุกตาม ฝ่ายกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมและพลม้าบางคนขี่ม้าหนีไปได้

21 แต่กษัตริย์แห่งอิสราเอลก็รุกคืบหน้าเข้ายึดม้าศึกและรถม้าศึกไว้ และกองทหารอารัมต้องพ่ายแพ้ยับเยิน

22 หลังจากนั้นผู้เผยพระวจนะมาเข้าเฝ้ากษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและทูลว่า “ขอทรงเสริมกำลังที่มั่นและตรวจตราดูว่าจะต้องทำอะไรอีกบ้างเพราะกษัตริย์แห่งอารัมจะกลับมาโจมตีอีกในฤดูใบไม้ผลิครั้งต่อไป”

23 ขณะเดียวกันบรรดาข้าราชการของกษัตริย์แห่งอารัมทูลแนะนำว่า “พระเจ้าของพวกเขาเป็นเทพเจ้าแห่งขุนเขา พวกเขาจึงแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา แต่หากสู้รบกันบนที่ราบ เราย่อมจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแน่นอน

24 ครั้งนี้ขอให้พวกแม่ทัพไปแทนกษัตริย์ทั้งหลาย

25 ฝ่าพระบาทต้องระดมทัพขึ้นมาใหม่เหมือนทัพที่สูญเสียไปนั้น พร้อมด้วยม้าศึกและรถม้าศึกจำนวนเท่าเดิม แล้วพวกข้าพระบาทจะสู้รบกับอิสราเอลในที่ราบได้ เราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน” เบนฮาดัดทรงเห็นด้วยและทำตามที่พวกเขาทูล

26 ในฤดูใบไม้ผลิต่อมาเบนฮาดัดทรงเกณฑ์ทัพอารัมยกมาที่อาเฟคเพื่อรบกับอิสราเอล

27 ฝ่ายอิสราเอลก็ระดมพล และแจกเสบียง แล้วเข้าสู่สนามรบ กองทัพอิสราเอลตั้งค่ายประจันหน้าแลดูเหมือนฝูงแพะเล็กๆ สองฝูงเมื่อเทียบกับกองกำลังมืดฟ้ามัวดินของอารัม

28 คนของพระเจ้ามาเข้าเฝ้าและทูลกษัตริย์อิสราเอลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เนื่องจากคนอารัมคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งขุนเขา ไม่ใช่เทพเจ้าแห่งที่ราบ เราจะมอบกองทัพมหึมานี้ไว้ในมือของเจ้า แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

29 กองทัพทั้งสองตั้งค่ายประจันหน้ากันเป็นเวลาเจ็ดวัน แล้วในวันที่เจ็ดก็เปิดฉากรบ ในวันนั้นชาวอิสราเอลฆ่าทหารราบของซีเรียไป 100,000 คน

30 ที่เหลือหนีเข้าเมืองอาเฟค ซึ่งกำแพงเมืองทลายลงมาทับพวกเขา 27,000 คน เบนฮาดัดหลบหนีเข้าไปในเมืองและซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นในแห่งหนึ่ง

31 บรรดาข้าราชการของพระองค์ทูลว่า “พวกข้าพระบาทได้ยินมาว่าบรรดากษัตริย์อิสราเอลนั้นมีจิตใจเมตตา ขอให้พวกข้าพระบาทนุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดศีรษะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล เผื่อพระองค์จะทรงไว้ชีวิตฝ่าพระบาท”

32 แล้วพวกเขาก็นุ่งผ้ากระสอบ เอาเชือกคาดศีรษะ ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อิสราเอล และทูลว่า “เบนฮาดัดผู้รับใช้ของฝ่าพระบาททูลวิงวอนว่า ‘ขอโปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด’ ”

กษัตริย์ตรัสว่า “เขายังมีชีวิตอยู่หรือ? เขาเป็นน้องของเรา”

33 คนเหล่านั้นรีบฉวยโอกาสทูลว่า “พระเจ้าข้า เบนฮาดัดพระอนุชาของพระองค์!”

กษัตริย์ตรัสว่า “ไปรับตัวเขามา” เมื่อเบนฮาดัดมาถึง อาหับก็เชิญให้ประทับร่วมกันในราชรถ

34 เบนฮาดัดทูลเสนอว่า “ข้าพเจ้าจะคืนหัวเมืองต่างๆ ที่เสด็จพ่อของข้าพเจ้ายึดมาจากเสด็จพ่อของท่าน และท่านจะตั้งแหล่งค้าขายในเมืองดามัสกัสเหมือนที่บิดาของข้าพเจ้าตั้งในเมืองสะมาเรียก็ได้”

อาหับตรัสว่า “เราจะปล่อยท่านไปตามเงื่อนไขของสนธิสัญญานี้” ทั้งสองจึงทำสนธิสัญญากัน แล้วอาหับก็ปล่อยเบนฮาดัดไป

อาหับถูกตัดสินโทษ

35 บุตรของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งกล่าวกับเพื่อนตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำร้ายข้าพเจ้าเถิด” แต่คนนั้นปฏิเสธ

36 ผู้เผยพระวจนะจึงกล่าวว่า “เพราะท่านไม่ได้เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าสิงโตตัวหนึ่งจะฆ่าท่านทันทีที่ท่านจากข้าพเจ้าไป” เมื่อคนนั้นเดินจากไปก็มีสิงโตออกมาทำร้ายเขาถึงแก่ชีวิต

37 แล้วผู้เผยพระวจนะนั้นกล่าวกับอีกคนหนึ่งว่า “ทำร้ายข้าพเจ้าเถิด” เขาก็ทำตามและทำให้ผู้เผยพระวจนะนั้นบาดเจ็บ

38 ผู้เผยพระวจนะนั้นเอาแถบผ้าปิดตาเพื่อปลอมตัว แล้วไปยืนคอยเฝ้ากษัตริย์อยู่ริมทาง

39 ขณะที่กษัตริย์เสด็จผ่านมา ผู้เผยพระวจนะทูลว่า “ข้าพระบาทไปรบ มีคนเอาตัวเชลยมาฝากข้าพระบาทไว้บอกว่า ‘คอยดูคนนี้ให้ดี ถ้าเขาหนีไป เจ้าจะต้องตายหรือไม่ก็จ่ายเงินมา ประมาณ 34 กิโลกรัม’

40 ขณะที่ข้าพระบาทกำลังง่วนอยู่กับธุระอื่น เชลยคนนั้นก็หายตัวไปแล้ว”

กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “ดีแล้วนี่ เป็นความผิดของเจ้าเอง เจ้าต้องชดใช้”

41 แล้วผู้เผยพระวจนะดึงแถบผ้าที่ปิดตาออก กษัตริย์อิสราเอลก็ทรงจำได้ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง

42 ผู้เผยพระวจนะจึงทูลกษัตริย์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เนื่องจากเจ้าไว้ชีวิตผู้ที่เรากำหนดให้ตายฉะนั้นเจ้าจะต้องตายแทนเขา และประชาชนของเจ้าจะต้องพินาศแทนประชาชนของเขา’ ”

43 กษัตริย์อิสราเอลจึงเสด็จกลับสู่ที่ประทับในสะมาเรียด้วยความกริ้วและขุ่นเคืองพระทัย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1KI/20-8d196e3aa6edeeaa75499c6821944100.mp3?version_id=179—

Categories
1พงศ์กษัตริย์

1พงศ์กษัตริย์ 21

สวนองุ่นของนาโบท

1 ต่อมามีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล สวนองุ่นนี้อยู่ในยิสเรเอล ใกล้กับวังของกษัตริย์อาหับแห่งสะมาเรีย

2 อาหับตรัสกับนาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของเจ้าให้เราใช้เป็นสวนผักเพราะอยู่ใกล้วังเรา เราจะขอแลกด้วยสวนองุ่นที่ดียิ่งกว่านี้ หรือถ้าเจ้าอยากได้เป็นเงิน เราก็จะจ่ายให้เต็มราคา”

3 แต่นาโบททูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพระองค์ยกมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษถวายแด่ฝ่าพระบาท”

4 ดังนั้นอาหับจึงเสด็จกลับวังด้วยความกริ้วและขุ่นเคืองพระทัยที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลว่า “ข้าพระบาทจะไม่ถวายมรดกของบรรพบุรุษให้ฝ่าพระบาท” อาหับทรงทอดพระกายลงบนพระแท่น และหันพระพักตร์เข้าข้างฝาไม่ยอมเสวย

5 พระนางเยเซเบลมเหสีของพระองค์เข้ามาทูลถามว่า “ทำไมฝ่าพระบาทจึงขุ่นเคืองพระทัยอย่างนี้? เหตุใดไม่ยอมเสวย?”

6 อาหับตรัสตอบว่า “เพราะเราได้กล่าวกับนาโบทคนยิสเรเอลว่า ‘จงขายสวนองุ่นของเจ้าให้เรา หรือถ้าเจ้าพอใจ เราจะแลกสวนองุ่นของเจ้ากับอีกที่หนึ่ง’ แต่เขากล่าวว่า ‘ข้าพระบาทจะไม่ถวายสวนองุ่นของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท’ ”

7 มเหสีเยเซเบลตรัสว่า “ฝ่าพระบาททรงเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? เสด็จขึ้นมาเสวยเถิด อย่ากังวลพระทัยในเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันจะจัดการเอาสวนองุ่นของนาโบทแห่งยิสเรเอลมาถวาย”

8 แล้วพระนางจึงร่างสาส์นลงพระนามอาหับ ประทับตราของพระองค์ แล้วส่งไปยังผู้อาวุโสและขุนนางที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับนาโบท

9 สาส์นนั้นมีใจความว่า

“จงประกาศวันถืออดอาหาร แล้วให้นาโบทนั่งในที่สูงเด่นท่ามกลางประชาชน

10 หาอันธพาลสองคนมานั่งตรงข้าม และปรักปรำนาโบทว่าเขาแช่งด่าพระเจ้าและกษัตริย์ แล้วเอาตัวนาโบทออกไปและเอาหินขว้างให้ตาย”

11 บรรดาผู้อาวุโสและขุนนางที่อาศัยในเมืองเดียวกับนาโบทจึงทำตามที่เยเซเบลตรัสสั่งมาในสาส์นนั้น

12 พวกเขาประกาศให้ถืออดอาหาร และให้นาโบทนั่งอยู่ในที่โดดเด่นกลางที่ประชุม

13 จากนั้นมีอันธพาลสองคนมานั่งตรงกันข้ามและกล่าวหานาโบทต่อหน้าประชาชนว่า “นาโบทได้แช่งด่าพระเจ้าและแช่งด่ากษัตริย์” พวกเขาจึงลากตัวนาโบทออกไปนอกเมืองและเอาหินขว้างเขาจนตาย

14 แล้วพวกเขาก็ส่งรายงานไปทูลพระนางเยเซเบลว่า “นาโบทถูกหินขว้างตายแล้ว”

15 ทันทีที่เยเซเบลทราบว่านาโบทถูกหินขว้างตายแล้วก็ทูลอาหับว่า “ขอทรงลุกขึ้นไปยึดครองสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลที่เขาไม่ยอมขายให้ฝ่าพระบาท เขาสิ้นชีวิตแล้ว”

16 เมื่ออาหับทรงได้ยินว่านาโบทตายแล้วก็ทรงลุกขึ้น และเสด็จไปยึดครองสวนองุ่นของนาโบท

17 แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า

18 “จงไปพบกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล ผู้ปกครองอยู่ในสะมาเรีย ขณะนี้เขาอยู่ที่สวนองุ่นของนาโบทซึ่งเขายึดมา

19 จงบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เจ้าฆ่าคนชิงเอาทรัพย์สินของเขามาหรือ?’ แล้วบอกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า สุนัขจะเลียเลือดของเจ้าเองในที่ซึ่งสุนัขได้เลียเลือดของนาโบท!’ ”

20 อาหับตรัสกับเอลียาห์ว่า “โอ ศัตรูของเรา เจ้าพบเราเข้าอีกแล้วสิ!”

เอลียาห์ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้ามาพบท่าน เพราะท่านได้ขายตัวเองให้กับการทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 พระองค์จึงตรัสว่า ‘เราเองจะนำภัยพิบัติมาถึงเจ้า จะไม่ให้มีผู้ชายในวงศ์วานของเจ้าทั้งที่เป็นทาสและเป็นไทในอิสราเอลเหลือชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

22 เราจะทำแก่วงศ์วานของเจ้าเหมือนที่ทำแก่วงศ์วานของเยโรโบอัมบุตรเนบัทและวงศ์วานของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ เพราะเจ้ายั่วยุให้เราโกรธและชักนำให้อิสราเอลทำบาป’

23 “และองค์พระผู้เป็นเจ้ายังตรัสเกี่ยวกับพระนางเยเซเบลว่า ‘สุนัขจะกัดกินเยเซเบลข้างกำแพงของยิสเรเอล’

24 “คนในตระกูลของอาหับที่ตายในเมืองจะถูกสุนัขกัดกิน ส่วนผู้ที่ตายในท้องทุ่งจะถูกนกจิกกิน”

25 (ไม่เคยมีใครเหมือนอาหับผู้ขายตัวเองให้กับการทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามการชักนำของมเหสีเยเซเบล

26 อาหับทำบาปที่ร้ายแรงที่สุด โดยหันไปติดตามรูปเคารพต่างๆ ตามอย่างชาวอาโมไรต์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าชนอิสราเอล)

27 เมื่ออาหับได้สดับฟังถ้อยคำเหล่านี้ ก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ สวมผ้ากระสอบ อดพระกระยาหาร บรรทมในชุดนั้น และทรงสำรวมพระองค์

28 จึงมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเอลียาห์ชาวทิชบีว่า

29 “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าอาหับได้ถ่อมใจลงต่อหน้าเรา? เพราะเขาถ่อมใจลง เราจะไม่ให้เกิดภัยพิบัตินี้ในชั่วชีวิตของเขา แต่จะให้เกิดแก่วงศ์วานของเขาในสมัยลูกของเขา”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1KI/21-eb1e81393c2d28aac95c8e67d4bf560d.mp3?version_id=179—

Categories
1พงศ์กษัตริย์

1พงศ์กษัตริย์ 22

มีคายาห์พยากรณ์เกี่ยวกับอาหับ

1 สงครามระหว่างอารัมกับอิสราเอลว่างเว้นไปสามปี

2 แต่ในปีที่สามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์เสด็จมาเยือนกษัตริย์อิสราเอล

3 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับข้าราชบริพารว่า “พวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าราโมทกิเลอาดเป็นของเรา แต่เราก็ไม่ทำอะไรเพื่อชิงคืนจากกษัตริย์อารัมเลย?”

4 อาหับจึงตรัสถามเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับราโมทกิเลอาดไหม?”

เยโฮชาฟัทตรัสตอบกษัตริย์อิสราเอลว่า “เราสองคนเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน”

5 แต่เยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์อิสราเอลอีกว่า “เราควรทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน”

6 กษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกผู้เผยพระวจนะราวสี่ร้อยคนมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาด หรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

เขาเหล่านั้นทูลว่า “ไปเลยพระเจ้าข้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

7 แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ถามเลยหรือ?”

8 กษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเราจะทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเขาได้ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ เขาคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์”

เยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนั้นเลย”

9 ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้”

10 ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า

11 ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ”

12 ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

13 คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา”

14 แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสฉันนั้น”

15 เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

16 กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?”

17 มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ”

18 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?”

19 มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าอยู่รอบพระองค์ทั้งซ้ายและขวา

20 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’

“มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา

21 ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’

22 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’

“วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’

“พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’

23 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาทองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว”

24 แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจากองค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?”

25 มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน”

26 กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา

27 บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า จงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังกับน้ำประทังชีวิตจนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ”

28 มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขากล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!”

อาหับถูกสังหารที่ราโมทกิเลอาด

29 ดังนั้นกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด

30 กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ

31 ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบ 32 คนของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น”

32 เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ๆ” จึงหันมาโจมตี แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องตะโกนออกมา

33 ผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์

34 แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว”

35 สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์ทรงประคองตัวไว้ในรถม้าศึกให้ประจันหน้ากับชาวอารัม พระโลหิตจากบาดแผลไหลนองพื้นรถ ครั้นตกเย็นก็สิ้นพระชนม์

36 ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับไป มีเสียงร้องบอกไปทั่วกองทัพว่า “ทุกคนกลับบ้านเมืองของตนเถิด!”

37 ดังนั้นกษัตริย์อาหับก็สิ้นพระชนม์ และพระศพถูกนำกลับมาฝังไว้ที่สะมาเรีย

38 เมื่อพวกเขาล้างรถม้าศึกที่สระในสะมาเรีย (ซึ่งพวกหญิงโสเภณีมาอาบน้ำ) สุนัขก็มาเลียพระโลหิตของกษัตริย์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้แล้ว

39 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของอาหับ พระราชกิจทุกอย่าง พระราชวังที่ทรงสร้างและตกแต่งด้วยงาช้าง และเมืองต่างๆ ที่ทรงเสริมปราการ มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?

40 อาหับทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์

41 เยโฮชาฟัทโอรสของอาสาขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ ตรงกับปีที่สี่ของรัชกาลกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล

42 เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์ และทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มอยู่ 25 ปี ราชมารดาคืออาซูบาห์ธิดาของชิลหิ

43 เยโฮชาฟัททรงดำเนินตามแบบอย่างของอาสาราชบิดาทุกประการโดยไม่หันเห ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ได้ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย ประชากรจึงยังคงถวายเครื่องบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่น

44 เยโฮชาฟัทได้ทรงมีสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์อิสราเอลด้วย

45 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชกิจและวีรกรรมในการสงครามมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ?

46 เยโฮชาฟัททรงกำจัดโสเภณีชายในเทวสถานซึ่งยังหลงเหลืออยู่จากสมัยของอาสาราชบิดาให้หมดไปจากแผ่นดิน

47 ในสมัยนั้นเอโดมไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้สำเร็จราชการ

48 เยโฮชาฟัททรงสร้างกองเรือพาณิชย์เพื่อไปขนทองคำจากเมืองโอฟีร์ แต่เรือเหล่านั้นไม่ได้ไป เพราะอับปางลงที่เอซีโอนเกเบอร์

49 ครั้งนั้นอาหัสยาห์โอรสของอาหับกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่าน” แต่เยโฮชาฟัททรงปฏิเสธ

50 แล้วเยโฮชาฟัททรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮรัมโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล

51 อาหัสยาห์โอรสของอาหับขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อิสราเอลในสะมาเรียตรงกับปีที่สิบเจ็ดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงปกครองอิสราเอลอยู่สองปี

52 อาหัสยาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพราะทรงดำเนินตามวิถีทางของราชบิดากับราชมารดา และตามวิถีทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้ได้ชักนำอิสราเอลให้ทำบาป

53 พระองค์ทรงปรนนิบัตินมัสการพระบาอัล และยั่วยุพระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเหมือนที่ราชบิดาได้ทรงทำ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1KI/22-31f308a8bbac64d0409c0d7c49da5008.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 1

องค์พระผู้เป็นเจ้า

1 หลังจากที่อาหับสิ้นพระชนม์ ชนชาติโมอับกบฏต่ออิสราเอล

2 ฝ่ายอาหัสยาห์ทรงพลัดตกจากเฉลียงชั้นบนของพระราชวังที่สะมาเรียพระอาการสาหัส พระองค์จึงทรงใช้ผู้สื่อสารไปกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครนว่าอาการบาดเจ็บของเราจะหายหรือไม่”

3 แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงไปพบผู้สื่อสารของกษัตริย์สะมาเรียนั้นและถามพวกเขาว่า ‘ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าหรือ ทำไมพวกเจ้าจึงต้องไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน?’

4 เพราะเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า ‘เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียงที่นอนอยู่ เจ้าจะต้องตายแน่!’ ” แล้วเอลียาห์ก็ไป

5 เมื่อผู้สื่อสารของกษัตริย์กลับไปเข้าเฝ้า กษัตริย์ตรัสถามว่า “พวกเจ้ากลับมาทำไม?”

6 พวกเขาทูลว่า “มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกข้าพระบาท แล้วบอกให้กลับมาทูลฝ่าพระบาทว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าหรือ ทำไมเจ้าจึงต้องส่งคนไปปรึกษาบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน? เพราะเหตุนี้เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียง แต่จะต้องตายแน่นอน!’ ”

7 กษัตริย์ตรัสถามว่า “ชายคนที่มาพบและบอกเรื่องนี้แก่พวกเจ้าหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร?”

8 พวกเขาทูลว่า “เขาสวมเสื้อคลุมขนสัตว์และใช้สายหนังคาดเอว”

กษัตริย์ตรัสว่า “เขาคือเอลียาห์ชาวทิชบี”

9 แล้วพระองค์ทรงใช้นายทหารคนหนึ่งพร้อมด้วยทหารห้าสิบนายไปหาเอลียาห์ นายทหารขึ้นไปพบเอลียาห์ซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง และกล่าวกับเขาว่า “คนของพระเจ้า กษัตริย์ตรัสว่า ‘จงลงมาเถิด!’ ”

10 เอลียาห์ตอบนายทหารผู้นั้นว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ขอให้ไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเจ้าและทหารทั้งห้าสิบนายของเจ้า!” ไฟก็ตกลงมาเผาผลาญนายทหารและคนของเขาวอดวาย

11 กษัตริย์จึงส่งนายทหารอีกคนพร้อมด้วยทหารห้าสิบนายมา นายทหารกล่าวกับเอลียาห์ว่า “คนของพระเจ้า กษัตริย์ตรัสว่า ‘จงลงมาทันที!’ ”

12 เอลียาห์ตอบว่า “หากเราเป็นคนของพระเจ้า ขอให้ไฟตกลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเจ้าและทหารห้าสิบนายของเจ้า!” แล้วไฟจากพระเจ้าก็ลงมาจากสวรรค์เผานายทหารและทหารทั้งห้าสิบนายวอดวาย

13 กษัตริย์จึงส่งนายทหารกับทหารอีกห้าสิบนายมาเป็นครั้งที่สาม คราวนี้นายทหารคุกเข่าลงอ้อนวอนต่อหน้าเอลียาห์ว่า “ข้าแต่คนของพระเจ้า โปรดไว้ชีวิตข้าพเจ้าและคนทั้งห้าสิบคนซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่าน!

14 ไฟจากสวรรค์ได้ลงมาเผาผลาญนายทหารสองคนก่อนหน้านี้กับพวก แต่บัดนี้ขอให้ไว้ชีวิตข้าพเจ้าเถิด!”

15 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอลียาห์ว่า “อย่ากลัวเลย ไปกับเขาเถิด” เอลียาห์จึงลงไปกับเขา แล้วไปเข้าเฝ้ากษัตริย์

16 เอลียาห์ทูลกษัตริย์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เป็นเพราะในอิสราเอลไม่มีพระเจ้าให้ปรึกษาใช่ไหม เจ้าจึงต้องส่งคนไปถามบาอัลเซบูบเทพเจ้าแห่งเอโครน? เนื่องจากเจ้าทำเช่นนี้ เจ้าจะไม่ได้ลุกจากเตียง แต่เจ้าจะต้องตายแน่นอน!”

17 ดังนั้นอาหัสยาห์จึงสิ้นพระชนม์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางเอลียาห์

เนื่องจากอาหัสยาห์ไม่มีโอรส โยรัมจึงขึ้นครองราชย์แทน ตรงกับปีที่สองแห่งรัชกาลกษัตริย์เยโฮรัมโอรสเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์

18 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลอาหัสยาห์ และพระราชกิจที่ทรงทำมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/1-98f6009596d41a990480e206ca84739b.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 2

พระเจ้าทรงรับเอลียาห์ขึ้นสวรรค์

1 เมื่อใกล้เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงรับเอลียาห์ขึ้นสวรรค์ด้วยพายุหมุน เอลียาห์กับเอลีชาเดินทางออกจากกิลกาล

2 เอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “เจ้าจงพักที่นี่เถิดองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้เราไปยังเบธเอล”

แต่เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางไปยังเบธเอลด้วยกัน

3 บรรดาผู้เผยพระวจนะที่เบธเอลออกมาพบเอลีชาและถามว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะรับอาจารย์ของท่านไปในวันนี้?”

เอลีชาตอบว่า “เรารู้แล้ว อย่าพูดเรื่องนี้เลย”

4 แล้วเอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “เอลีชาเอ๋ย จงพักอยู่ที่นี่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เราไปยังเมืองเยรีโค”

เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางต่อไปยังเมืองเยรีโค

5 บรรดาผู้เผยพระวจนะที่เมืองเยรีโคมาหาเอลีชา และถามเขาว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะรับอาจารย์ของท่านไปในวันนี้?”

เอลีชาตอบว่า “เรารู้แล้ว อย่าพูดเรื่องนี้เลย”

6 เอลียาห์จึงกล่าวกับเอลีชาว่า “จงพักอยู่ที่นี่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้เราไปยังแม่น้ำจอร์แดน”

เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” คนทั้งสองจึงเดินทางต่อไปด้วยกัน

7 เอลียาห์กับเอลีชามาหยุดอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน ขณะที่ผู้เผยพระวจนะห้าสิบคนยืนดูอยู่ห่างๆ

8 แล้วเอลียาห์ถอดเสื้อคลุมออก ม้วนและฟาดลงที่แม่น้ำ น้ำก็แยกออก คนทั้งสองจึงเดินข้ามไปบนพื้นแห้ง

9 เมื่อข้ามมาแล้ว เอลียาห์กล่าวกับเอลีชาว่า “บอกมาเถิด เราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้างก่อนที่เราจะถูกรับไป?”

เอลีชาตอบว่า “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับมรดกในฤทธิ์อำนาจของท่านเป็นสองเท่า”

10 เอลียาห์กล่าวว่า “เจ้าขอสิ่งที่ยากนัก แต่หากเจ้าเห็นเราถูกรับขึ้นไป เจ้าก็จะได้รับตามที่ขอ หากไม่เห็น เจ้าก็จะไม่ได้”

11 ขณะที่คนทั้งสองเดินสนทนากันไป ทันใดนั้นเองมีราชรถเพลิงเทียมด้วยม้าเพลิงปรากฏขึ้น และแยกคนทั้งสองจากกัน เอลียาห์ก็ถูกพายุหมุนหอบขึ้นสู่สวรรค์

12 เอลีชาเห็นดังนั้น จึงร้องตะโกนว่า “ท่านบิดา! ท่านบิดาของข้าพเจ้า! ผู้เป็นราชรถและพลม้าแห่งอิสราเอล” แล้วเอลีชาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก เขาจึงฉีกเสื้อผ้าของตนขาด

13 จากนั้นเขาจึงหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ที่ตกอยู่ขึ้นมา และกลับไปยืนที่ริมฝังแม่น้ำจอร์แดน

14 แล้วเอาเสื้อคลุมนั้นฟาดน้ำและร้องว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์อยู่ที่ไหน?” น้ำก็แยกออก เอลีชาจึงเดินข้ามไป

15 บรรดาผู้เผยพระวจนะจากเมืองเยรีโคซึ่งเฝ้าดูอยู่ก็กล่าวว่า “ฤทธิ์อำนาจของเอลียาห์มาอยู่กับเอลีชาแล้ว” พวกเขาพากันมากราบคำนับเอลีชาและกล่าวว่า

16 “ท่านขอรับ พวกข้าพเจ้ามีคนหนุ่มฉกรรจ์ห้าสิบคน ให้พวกเขาออกไปค้นหาอาจารย์ของท่านเถิด บางทีพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าอาจจะรับอาจารย์ของท่านขึ้นไป และปล่อยไว้บนภูเขาหรือหุบเขาแห่งใดแห่งหนึ่ง”

เอลีชาตอบว่า “ไม่ต้องส่งพวกเขาไป”

17 แต่พวกเขารบเร้าจนเอลีชาขัดไม่ได้ เขาจึงกล่าวว่า “จะไปก็ไป” จากนั้นคนห้าสิบคนก็ออกไปตามหาตลอดสามวัน แต่ไม่พบเอลียาห์

18 ส่วนเอลีชายังคงอยู่ที่เมืองเยรีโค เมื่อพวกเขากลับมาถึง เอลีชาจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ต้องไป?”

น้ำกลับคืนสู่สภาพดี

19 ชาวเมืองนั้นมาแจ้งเอลีชาว่า “ท่านก็เห็นแล้วว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ในทำเลดี แต่น้ำนั้นใช้ไม่ได้และแผ่นดินก็ไม่เกิดผล”

20 เอลีชากล่าวว่า “จงเอาชามใหม่ใส่เกลือมาให้เรา” พวกเขาก็นำมาให้เอลีชา

21 เอลีชาจึงเดินออกไปที่บ่อน้ำเมืองนั้น เทเกลือลงไปและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราได้ทำให้น้ำแห่งนี้มีสภาพดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปมันจะไม่เป็นเหตุให้ตายหรือทำให้แผ่นดินไม่เกิดผลอีก’ ”

22 น้ำก็คงสภาพดีเช่นนั้นตลอดมาจนทุกวันนี้ ตามที่เอลีชาได้กล่าวไว้

ล้อเลียนเอลีชา

23 จากที่นั่นเอลีชาเดินทางไปยังเบธเอล ระหว่างทางมีเด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งออกมาจากเมืองนั้น มาถากถางล้อเลียนเขาว่า “ออกไปให้พ้น เจ้าคนหัวล้าน! ออกไปให้พ้น เจ้าคนหัวล้าน!”

24 เอลีชาจึงหันกลับมามอง และสาปแช่งพวกเขาในพระนามของพระยาห์เวห์ แล้วมีแม่หมีสองตัวออกจากป่ามาฆ่าพวกเขาตายไป 42 คน

25 จากนั้นเอลีชาไปยังภูเขาคารเมล และจากที่นั่นกลับมายังสะมาเรีย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/2-b83bec518a05cba86ef825cee587c48f.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 3

โมอับแข็งข้อ

1 โยรัมโอรสของอาหับขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลในสะมาเรีย ตรงกับปีที่สิบแปดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงครองราชย์อยู่สิบสองปี

2 พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ถึงขนาดที่ราชบิดาและราชมารดาของพระองค์ได้ทรงทำไว้ พระองค์ทรงกวาดล้างหินศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัลซึ่งราชบิดาได้สร้างไว้

3 แต่โยรัมยังคงยึดมั่นในบาปของเยโรโบอัมบุตรเนบัทซึ่งชักนำอิสราเอลให้ทำตาม โยรัมไม่ได้เลิกทำบาปนั้น

4 ฝ่ายกษัตริย์เมชาแห่งโมอับทรงเลี้ยงแกะ พระองค์ต้องนำลูกแกะหนึ่งแสนตัวและขนแกะตัวผู้หนึ่งแสนตัวมาเป็นบรรณาการแก่กษัตริย์อิสราเอล

5 แต่หลังจากอาหับสิ้นพระชนม์แล้ว กษัตริย์โมอับก็กบฏต่อกษัตริย์อิสราเอล

6 ครั้งนั้นกษัตริย์โยรัมจึงเสด็จจากสะมาเรีย และระดมทัพอิสราเอลทั้งหมด

7 และส่งสาส์นไปยังกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ มีใจความว่า “กษัตริย์โมอับกบฏต่อข้าพเจ้า ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับโมอับหรือไม่?”

เยโฮชาฟัทตอบว่า “ข้าพเจ้าจะไปกับท่าน เราเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน”

8 กษัตริย์เยโฮชาฟัทถามว่า “ว่าแต่เราจะโจมตีจากทางไหน?”

โยรัมตอบว่า “จากถิ่นกันดารเอโดม”

9 ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงกรีธาทัพออกไปร่วมรบกับกษัตริย์ยูดาห์และกษัตริย์เอโดม หลังจากอ้อมผ่านถิ่นกันดารเป็นเวลาเจ็ดวันก็ไม่มีน้ำเหลือสำหรับคนและสัตว์พาหนะเลย

10 กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “อะไรกันนี่!องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำเราทั้งสามกษัตริย์มาที่นี่เพื่อมอบไว้ในมือของโมอับหรือ?”

11 แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลยหรือ เราจะได้ขอให้ช่วยทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า?”

นายทหารคนหนึ่งของกษัตริย์อิสราเอลทูลว่า “เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่ เขาเคยเป็นผู้ช่วยของเอลียาห์”

12 เยโฮชาฟัทตรัสว่า “เราจะรู้พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากเขาผู้นี้” ฉะนั้นกษัตริย์อิสราเอล กษัตริย์เยโฮชาฟัท และกษัตริย์เอโดมจึงไปพบเอลีชา

13 เอลีชากล่าวกับกษัตริย์อิสราเอลว่า “เรามีอะไรเกี่ยวข้องกันหรือ? ไปหาผู้เผยพระวจนะของบิดามารดาท่านสิ”

แต่กษัตริย์อิสราเอลตรัสว่า “ไม่ได้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละทรงเรียกเราทั้งสามกษัตริย์มาเพื่อมอบไว้ในมือของโมอับ”

14 เอลีชาตอบว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ซึ่งเรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ เราจะไม่มองหน้าท่านฉันนั้น ไม่ใส่ใจด้วยซ้ำว่าท่านอยู่ที่นี่

15 บัดนี้ขอให้ไปหานักเล่นพิณมาคนหนึ่ง”

ขณะที่นักเล่นพิณกำลังบรรเลง พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาเหนือเอลีชา

16 และเขากล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงทำให้หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมบ่อ

17 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า ท่านจะไม่เห็นลมไม่เห็นฝน แต่หุบเขาแห่งนี้จะมีน้ำเต็ม เพื่อให้ท่านกับฝูงวัวและสัตว์อื่นๆ มีน้ำดื่ม

18 การนี้เป็นเรื่องง่ายในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งพระองค์จะทรงมอบโมอับไว้ในมือของท่าน

19 ท่านจะพิชิตหัวเมืองเอกและหัวเมืองป้อมปราการทุกเมืองของเขา ท่านจะโค่นต้นไม้งามๆ ทุกต้น อุดตาน้ำทั้งหลายและทำลายแผ่นดินดีๆ ทั้งหมดด้วยหิน”

20 วันรุ่งขึ้นประมาณเวลาถวายเครื่องบูชายามเช้า มีน้ำไหลมาจากทางเอโดม ไม่ช้าน้ำก็นองแผ่นดิน

21 ฝ่ายโมอับได้ยินว่าบรรดากษัตริย์มารบกับตน ก็เกณฑ์ผู้ชายทุกคนที่พอจะรบทัพจับศึกได้ ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ และให้คนเหล่านั้นประจำการอยู่ที่ชายแดน

22 เมื่อพวกโมอับตื่นขึ้นแต่เช้า ดวงอาทิตย์ส่องพื้นน้ำ พวกเขามองเห็นน้ำมีสีแดงฉานเหมือนเลือด

23 พวกเขาก็ร้องว่า “เลือดนี่นา! สามทัพนั้นคงตะลุมบอนฆ่าฟันกันเอง พี่น้องโมอับเอ๋ย เราไปริบข้าวของกันดีกว่า!”

24 แต่เมื่อพวกโมอับมาถึงค่ายพักของอิสราเอล กองทัพอิสราเอลก็กรูเข้าไปสู้รบจนพวกเขาพ่ายหนี ฝ่ายอิสราเอลบุกเข้าไปในดินแดนและสังหารชาวโมอับ

25 พวกเขาทำลายเมืองต่างๆ แต่ละคนเอาก้อนหินกลบพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เสียหมด ถมทางน้ำทั้งหลาย โค่นต้นไม้ดีๆ ทั้งหมด จนเหลือแต่เมืองคีร์หะเรเสทที่ยังไม่ถูกทำลายแต่คีร์หะเรเสทก็ถูกล้อม และถูกโจมตีด้วยน้ำมือทหารที่ใช้สลิง

26 เมื่อกษัตริย์โมอับเห็นว่าแพ้สงคราม จึงนำพลดาบเจ็ดร้อยคนตีฝ่าออกไปด้านกษัตริย์เอโดมแต่ไม่สำเร็จ

27 เขาจึงนำโอรสหัวปีซึ่งจะได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปมาฆ่าและเผาบูชายัญบนกำแพงเมือง พวกเขาคั่งแค้นอิสราเอลยิ่งนักและต่างถอนทัพกลับไปยังดินแดนของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/3-68920294ebfa23671600703df76301ae.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 4

น้ำมันของหญิงม่าย

1 มีภรรยาของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งมาร้องต่อเอลีชาว่า “ผู้รับใช้ของท่านผู้เป็นสามีของดิฉันเสียชีวิตแล้ว และท่านก็ทราบว่าเขายำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าตอนนี้เจ้าหนี้จะมายึดลูกชายสองคนของดิฉันไปเป็นทาส”

2 เอลีชาตอบว่า “เราจะช่วยอะไรได้บ้าง? ที่บ้านของเจ้ามีอะไรบ้างล่ะ?”

นางตอบว่า “ไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำมันเพียงเล็กน้อย”

3 เอลีชากล่าวว่า “จงไปขอไหเปล่าจากเพื่อนบ้านทุกคน จงขอมาหลายๆ ใบ

4 แล้วเข้าไปในบ้านกับลูก ปิดประตู เทน้ำมันลงไหทุกใบ พอเต็มใบหนึ่งก็ยกไปตั้งไว้ต่างหาก”

5 นางก็กลับไปที่บ้านและปิดประตู บุตรชายของนางนำไหมาให้ นางก็เทน้ำมัน

6 เมื่อไหทุกใบเต็ม นางบอกลูกชายว่า “เอาไหมาให้แม่อีกใบสิ”

ลูกชายตอบว่า “ไม่มีเหลือแล้ว” น้ำมันก็หยุดไหล

7 นางจึงไปแจ้งเอลีชาคนของพระเจ้า และเขากล่าวว่า “จงไปขายน้ำมันเอาเงินใช้หนี้ ส่วนที่เหลือเจ้ากับลูกๆ เก็บไว้เลี้ยงชีวิต”

บุตรของหญิงชาวชูเนมฟื้นคืนชีวิต

8 วันหนึ่งเอลีชาไปที่ชูเนม ในเมืองนั้นมีหญิงมั่งมีคนหนึ่งเชิญเขาไปรับประทานอาหาร ฉะนั้นทุกครั้งที่เขาเดินทางผ่านมาก็จะแวะไปรับประทานอาหารที่นั่น

9 หญิงนั้นกล่าวกับสามีว่า “ดิฉันรู้ว่าชายคนที่แวะเวียนเข้ามาบ่อยๆ คนนี้คือคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า

10 ให้เราจัดห้องเล็กบนดาดฟ้าสำหรับเขา ยกเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงเข้าไปตั้ง ทุกครั้งที่เขาผ่านมาจะได้แวะพัก”

11 ครั้งหนึ่งเอลีชามาที่นั่นและขึ้นไปพักในห้องนั้น

12 เขาสั่งเกหะซีคนรับใช้ของเขาว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมคนนั้นมา” เขาจึงไปเรียกนาง นางก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขา

13 เอลีชากล่าวกับเขาว่า “บอกนางว่า ‘เจ้าต้องลำบากเพื่อจัดสิ่งต่างๆ ให้เรา เราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง? อยากให้เราเอ่ยถึงความดีความชอบของเจ้าต่อกษัตริย์หรือต่อแม่ทัพบ้างหรือเปล่า?’ ”

นางตอบว่า “ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้อง ไม่ขาดสิ่งใดเลย”

14 เอลีชาถามว่า “เราจะทำอะไรให้นางได้บ้าง?”

เกหะซีตอบว่า “นางไม่มีลูกและสามีของนางก็ชราแล้ว”

15 เอลีชาจึงพูดว่า “เรียกนางมาเถิด” เขาก็เรียกและนางยืนอยู่ที่ประตู

16 เอลีชากล่าวว่า “ปีหน้าในเวลาราวๆ นี้ เจ้าจะได้อุ้มลูกชายคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขนของเจ้า”

นางร้องว่า “อย่าเลยนายท่าน โอ คนของพระเจ้า โปรดอย่าโกหกผู้รับใช้ของท่านเลย!”

17 แต่หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์ และปีต่อมาในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นางก็คลอดบุตรชายคนหนึ่งตามที่เอลีชาบอกไว้

18 เมื่อเด็กนั้นโตขึ้น วันหนึ่งเขาออกไปหาบิดาซึ่งทำงานอยู่กับคนงานเก็บเกี่ยว

19 และเขาบอกบิดาว่า “หัวของลูก! หัวของลูก!” บิดาของเด็กจึงสั่งคนรับใช้ว่า “อุ้มเขาไปหาแม่สิ”

20 หลังจากคนรับใช้อุ้มเขาไปหาแม่ เด็กนั้นก็นอนหนุนตักแม่จนเที่ยง แล้วเขาก็ตาย

21 นางอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียงของคนของพระเจ้า ปิดประตูและออกมา

22 นางบอกสามีว่า “ช่วยส่งคนรับใช้คนหนึ่งกับลามาให้ดิฉัน ดิฉันจะได้รีบไปหาคนของพระเจ้า แล้วจะรีบกลับมา”

23 สามีถามว่า “ทำไมต้องไปวันนี้ด้วย ไม่ใช่วันขึ้นหนึ่งค่ำหรือวันสะบาโตเลย”

นางตอบว่า “ไม่เป็นไร”

24 นางขึ้นลาและสั่งคนรับใช้ว่า “นำทางไปเร็วๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอกนะ อย่าลดความเร็ว นอกจากเราจะบอกเจ้า”

25 นางจึงออกเดินทางมาหาคนของพระเจ้าที่ภูเขาคารเมล

เมื่อคนของพระเจ้าเห็นนางแต่ไกลก็พูดกับเกหะซีคนรับใช้ว่า “โน่นแน่ะ! หญิงชาวชูเนมคนนั้นกำลังมา!

26 จงวิ่งออกไปรับนาง และถามดูว่า ‘ท่านสบายดีหรือ? สามีของท่านสบายดีหรือ? ลูกของท่านสบายดีหรือเปล่า?’ ”

นางกล่าวว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

27 เมื่อนางมาถึงตัวคนของพระเจ้าที่ภูเขา นางยึดเท้าของเขาไว้แน่น เกหะซีพยายามจะผลักนางออกไป แต่คนของพระเจ้ากล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด! นางทุกข์ใจยิ่งนักและองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปิดบังเรื่องนี้ไว้ และไม่ได้ตรัสบอกเราว่าเป็นเพราะเหตุใด”

28 นางกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันขอลูกชายจากท่านหรือ? ดิฉันขอร้องท่านไม่ใช่หรือว่า ‘อย่ามาให้ความหวังดิฉันเลย’?”

29 เอลีชากล่าวกับเกหะซีว่า “จงคาดเอวทับเสื้อคลุมให้ทะมัดทะแมง ถือไม้เท้าของเราวิ่งไป หากพบใครไม่ต้องทักทาย ถ้ามีใครร้องทักก็อย่าตอบ จงเอาไม้เท้าของเราไปวางบนหน้าเด็ก”

30 แต่มารดาของเด็กกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” ฉะนั้นเขาจึงลุกขึ้นและตามนางไป

31 เกหะซีล่วงหน้าไปก่อนและเอาไม้เท้าวางบนหน้าเด็ก แต่ไม่มีเสียงหรือการตอบสนองใดๆ เกหะซีจึงกลับมาบอกเอลีชาว่า “เด็กนั้นยังไม่ฟื้น”

32 เมื่อเอลีชามาถึง เด็กนั้นนอนตายอยู่บนเตียงของเอลีชา

33 เขาก็เข้าไป ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นตามลำพังและอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

34 จากนั้นเขาขึ้นไปบนเตียงและนอนทาบบนร่างของเด็ก เอาปากทาบบนปาก ตาประกบตา มือประกบมือ ขณะที่เขาเหยียดกายลงบนเด็กนั้น ร่างของเด็กก็เริ่มอบอุ่นขึ้น

35 เอลีชาลงจากเตียง เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง แล้วขึ้นไปบนเตียง เอนร่างทับบนร่างเด็กอีกครั้ง เด็กนั้นก็จามเจ็ดครั้ง แล้วลืมตาขึ้น

36 เอลีชาจึงเรียกเกหะซีมา แล้วสั่งว่า “ไปเรียกหญิงชาวชูเนมมา” เขาก็ไปเรียก เมื่อนางมา เอลีชากล่าวว่า “รับลูกของเจ้าไปเถิด”

37 นางเข้ามาหมอบลงกับพื้นแทบเท้าของเขา แล้วอุ้มลูกเดินออกไป

อาหารมีพิษ

38 เอลีชากลับไปยังกิลกาล เกิดการกันดารอาหารในแถบนั้น วันหนึ่งขณะที่เขานั่งอยู่ต่อหน้ากลุ่มผู้เผยพระวจนะ เขาบอกคนรับใช้ของเขาว่า “ทำอาหารหม้อใหญ่เลี้ยงคนพวกนี้ด้วย”

39 คนหนึ่งออกไปเก็บผักกลางทุ่ง แล้วเก็บน้ำเต้าป่ามา เขาหั่นใส่หม้อโดยไม่รู้ว่าเป็นผลอะไร

40 ครั้นตักอาหารรับประทานกัน พอเริ่มรับประทานก็ร้องว่า “ข้าแต่คนของพระเจ้า มีความตายอยู่ในหม้อนี้” และพวกเขารับประทานอาหารนั้นไม่ได้

41 เอลีชากล่าวว่า “เอาแป้งมาสิ” แล้วเขาก็เอาแป้งใส่หม้อ แล้วบอกว่า “ตักให้ทุกคนกินได้แล้ว” อาหารก็ไม่เป็นพิษอีก

การเลี้ยงคนนับร้อย

42 ชายคนหนึ่งจากบาอัลชาลิชาห์นำขนมปังข้าวบาร์เลย์ยี่สิบก้อนทำจากเมล็ดข้าวผลแรกของการเก็บเกี่ยว พร้อมด้วยรวงข้าวใหม่มามอบให้คนของพระเจ้า เอลีชาจึงสั่งว่า “จงนำไปเลี้ยงคนทั้งหลาย”

43 คนรับใช้ถามว่า “ของแค่นี้จะเลี้ยงคนนับร้อยได้อย่างไร?”

แต่เอลีชาตอบว่า “ไปเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘พวกเขาจะได้กินและยังมีเหลืออีก’ ”

44 เขาก็เอาขนมปังมากินกันและมีเหลือด้วยตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/4-f77a3b8d22c3ae2d5f5e73f08255015f.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 5

นาอามานหายจากโรคเรื้อน

1 ฝ่ายนาอามานเป็นแม่ทัพของกษัตริย์อารัม เขาเป็นคนสำคัญของเจ้านายและเป็นที่ยกย่องนับถือ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะแก่ประเทศอารัมผ่านทางเขา เขาเป็นนักรบเก่งกล้า แต่เป็นโรคเรื้อน

2 กองทหารอารัมได้ไปรุกรานอิสราเอล และในบรรดาเชลย มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกยกให้เป็นสาวใช้ของภรรยานาอามาน

3 เด็กหญิงผู้นี้พูดกับนายหญิงว่า “หนูอยากให้นายท่านไปพบผู้เผยพระวจนะในสะมาเรีย! เขาผู้นั้นจะได้รักษานายท่านให้หายจากโรคเรื้อน”

4 นาอามานจึงกราบทูลเจ้านายตามที่เด็กผู้หญิงจากอิสราเอลคนนั้นบอก

5 กษัตริย์อารัมตรัสว่า “อย่างนี้ต้องไปให้ได้ เราจะฝากสาส์นไปถึงกษัตริย์อิสราเอล” นาอามานจึงออกเดินทาง นำเงินหนักประมาณ 340 กิโลกรัมทองหนักประมาณ 70 กิโลกรัมและเสื้อผ้าสิบชุดมาด้วย

6 สาส์นถึงกษัตริย์อิสราเอลนั้นมีใจความว่า “พร้อมกับสาส์นนี้ เราขอส่งนาอามานผู้รับใช้ของเรามาให้ท่านรักษาโรคเรื้อน”

7 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลได้อ่านสาส์นนั้นก็ฉีกฉลองพระองค์และตรัสว่า “เราเป็นพระเจ้าหรือ? ที่จะสามารถทำลายหรือให้ชีวิตได้? ทำไมเขาส่งคนโรคเรื้อนมาให้เรารักษา ดูสิ เขาพยายามหาเหตุมารุกรานเรานั่นเอง!”

8 เมื่อเอลีชาคนของพระเจ้าได้ยินว่ากษัตริย์อิสราเอลทรงฉีกฉลองพระองค์ ก็ส่งข่าวมาทูลพระองค์ว่า “ทำไมฝ่าพระบาทจึงทรงฉีกฉลองพระองค์? ขอส่งชายคนนั้นมาพบข้าพระบาท แล้วเขาจะได้รู้ว่ามีผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งในอิสราเอล”

9 นาอามานจึงนั่งรถม้าศึกมาหยุดอยู่หน้าประตูบ้านของเอลีชา

10 เอลีชาส่งคนออกมาบอกนาอามานว่า “จงไปชำระตัวของท่านในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง แล้วเนื้อของท่านจะกลับเป็นปกติและท่านจะหาย”

11 แต่นาอามานโกรธจัดและกล่าวว่า “เราคิดว่าเขาจะออกมาพบเรา มายืนร้องทูลพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา โบกไม้โบกมือเหนือแผลและรักษาเราให้หายจากโรคเรื้อน

12 แม่น้ำอาบานาและแม่น้ำฟารปาร์ที่ดามัสกัสไม่ดีกว่าแม่น้ำของอิสราเอลหรือ? เราไปอาบในแม่น้ำเหล่านั้นให้หายจากโรคไม่ได้หรือ?” ว่าแล้วนาอามานก็ผลุนผลันออกไปด้วยความโกรธ

13 แต่บ่าวของนาอามานไปพูดกับนายว่า “ท่านบิดา ถ้าผู้เผยพระวจนะบอกให้ท่านทำอะไรยากๆ ท่านจะไม่ทำหรอกหรือ? ยิ่งกว่านั้นเท่าใดท่านน่าจะทำตามเมื่อเขาบอกว่า ‘จงไปชำระตัวแล้วก็จะหาย’!”

14 ฉะนั้นนาอามานจึงลงไปที่แม่น้ำจอร์แดน แล้วจุ่มตัวเจ็ดครั้งตามที่คนของพระเจ้าสั่งไว้ แล้วเนื้อตัวของเขาก็กลับเป็นเหมือนเด็กหนุ่ม และหายจากโรคเรื้อน

15 นาอามานและผู้ติดตามทั้งหมดจึงกลับมาพบคนของพระเจ้า เขายืนอยู่ต่อหน้าเอลีชาและกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทราบแล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดในโลกนอกจากในอิสราเอล บัดนี้โปรดรับของกำนัลจากผู้รับใช้ของท่านเถิด”

16 แต่ผู้เผยพระวจนะตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรารับใช้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะไม่รับแม้แต่สิ่งเดียวฉันนั้น” ถึงนาอามานคะยั้นคะยอ เขาก็ยืนกรานปฏิเสธ

17 นาอามานกล่าวว่า “ในเมื่อท่านไม่ยอมรับของกำนัล ก็ขอดินเท่าที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้ให้แก่ผู้รับใช้ของท่านเอากลับไปบ้าน เพราะต่อแต่นี้ไปผู้รับใช้ของท่านจะไม่ถวายเครื่องเผาบูชาหรือของถวายแด่เทพเจ้าอื่นใด เว้นแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า

18 แต่ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยโทษผู้รับใช้ของท่านเรื่องหนึ่งคือ เมื่อกษัตริย์ผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าริมโมนเพื่อกราบไหว้ ข้าพเจ้าจะต้องคอยพยุงพระองค์และต้องค้อมตัวลงด้วย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยผู้รับใช้ของท่านที่จะต้องค้อมตัวลงคำนับในวิหารของเทพเจ้าริมโมน”

19 เอลีชากล่าวว่า “ไปโดยสวัสดิภาพเถิด”

หลังจากนาอามานออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง

20 เกหะซีคนรับใช้ของเอลีชาคนของพระเจ้ารำพึงว่า “นายของเราใจดีเกินไป ไม่น่าปล่อยให้นาอามานคนอารัมไปโดยไม่รับของกำนัลจากเขาองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เราจะวิ่งตามเขาไปและเอาบางอย่างจากเขาฉันนั้น”

21 ดังนั้นเกหะซีรีบรุดตามนาอามานไป เมื่อนาอามานเห็นเขาวิ่งมาหา ก็ลงจากรถม้ามาถามว่า “มีอะไรหรือ?”

22 เกหะซีตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดี นายของข้าพเจ้าให้มาเรียนว่า ‘มีผู้เผยพระวจนะสองคนจากเทือกเขาเอฟราอิมเพิ่งมาถึง โปรดให้เงินหนักประมาณ 34 กิโลกรัมกับเสื้อผ้าสองชุดแก่เขา’ ”

23 นาอามานตอบว่า “เอาไปประมาณ 68 กิโลกรัมเลย” แล้วเขาก็ให้เสื้อผ้าสองชุด มัดแท่งเงินหนัก 68 กิโลกรัมเข้าด้วยกัน ใส่เป็นสองถุงมอบให้คนรับใช้สองคนแบกนำหน้าเกหะซีกลับไป

24 เมื่อเกหะซีมาถึงเนินเขา ก็รับถุงจากคนรับใช้นั้นเก็บไว้ในบ้าน แล้วให้คนรับใช้นั้นกลับไป

25 แล้วเกหะซีเข้ามายืนต่อหน้าเอลีชาผู้เป็นนาย

เอลีชาถามว่า “เจ้าไปไหนมาเกหะซี?”

เขาตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านไม่ได้ไปไหนเลย”

26 เอลีชากล่าวว่า “เมื่อชายผู้นั้นลงจากรถของเขามาพบเจ้า จิตใจของเราอยู่กับเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ? นี่เป็นโอกาสที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก สวนองุ่น แกะ วัวและคนรับใช้ชายหญิงหรือ?

27 โรคเรื้อนของนาอามานจะติดตัวเจ้ากับลูกหลานตลอดไป” แล้วเกหะซีก็เป็นโรคเรื้อน เดินออกไปจากเอลีชา ผิวของเขาเป็นด่างขาวเหมือนหิมะ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/5-e4b44fc7037c4be3864e1416db77f8ee.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 6

หัวขวานลอยน้ำ

1 กลุ่มผู้เผยพระวจนะกล่าวกับเอลีชาว่า “ดูเถิดสถานที่ซึ่งเราอยู่กับท่านนี้ก็คับแคบไปแล้ว

2 พวกข้าพเจ้าขอไปตัดต้นไม้และสร้างที่อยู่อาศัยที่แม่น้ำจอร์แดน”

เขาตอบว่า “ไปเถิด”

3 คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ท่านขอรับ โปรดไปกับเหล่าผู้รับใช้ของท่านด้วย”

เอลีชาตอบว่า “เราจะไป”

4 แล้วเอลีชาก็ไปกับพวกเขา

เมื่อพวกเขามาถึงแม่น้ำจอร์แดนก็เริ่มตัดไม้

5 ขณะนั้นมีคนหนึ่งทำหัวขวานเหล็กหลุดตกลงในแม่น้ำ เขาจึงร้องว่า “แย่แล้วนายท่าน นี่เป็นขวานที่ขอยืมมา!”

6 คนของพระเจ้าถามว่า “มันตกลงไปที่ไหน?” คนนั้นชี้ให้เขาดูตำแหน่งที่หัวขวานตกลงไป เอลีชาจึงตัดกิ่งไม้เหวี่ยงลงตรงนั้น แล้วหัวขวานเหล็กก็ลอยขึ้นมา

7 เอลีชาพูดกับคนนั้นว่า “หยิบขึ้นมาเถิด” เขาก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา

เอลีชาวางกับดักชาวอารัมที่ตาบอด

8 ครั้งนั้นกษัตริย์อารัมรบกับอิสราเอล เมื่อใดที่พระองค์ตรัสกับทหารว่า “เราจะยกกำลังไปตั้งค่ายที่นั่นที่นี่”

9 คนของพระเจ้าก็จะเตือนกษัตริย์อิสราเอลว่า “อย่าไปใกล้ที่นั่นเพราะพวกอารัมกำลังจะยกทัพมา”

10 กษัตริย์อิสราเอลก็ส่งคนไปตรวจดูสถานที่ซึ่งคนของพระเจ้าระบุไว้ เอลีชาเตือนกษัตริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะทรงระแวดระวังที่เหล่านั้น

11 เรื่องนี้ทำให้กษัตริย์อารัมกริ้วนัก จึงทรงเรียกประชุมนายทหารและตรัสสั่งว่า “พวกท่านจะไม่ยอมบอกหรือว่าใครในพวกเราที่เป็นสายให้กษัตริย์อิสราเอล?”

12 ทหารคนหนึ่งทูลว่า “ข้าแต่องค์กษัตริย์ ไม่ใช่พวกข้าพระบาท แต่ผู้เผยพระวจนะเอลีชาในอิสราเอลต่างหากเป็นผู้ทูลกษัตริย์อิสราเอล แม้กระทั่งเนื้อความที่ฝ่าพระบาทตรัสในห้องบรรทม”

13 กษัตริย์จึงตรัสสั่งว่า “จงไปสืบดูว่าเขาอยู่ที่ไหน เราจะส่งทหารไปจับตัวมา” มีผู้มาทูลว่า “เอลีชาอยู่ที่โดธาน”

14 พระองค์จึงทรงส่งม้า รถม้าศึก และกองกำลังใหญ่มาในเวลากลางคืน และล้อมเมืองนั้นไว้

15 รุ่งขึ้นเมื่อคนรับใช้ของผู้เผยพระวจนะตื่นขึ้น และออกไปข้างนอกก็เห็นกองทัพม้าและรถม้าศึกล้อมเมืองอยู่ จึงบอกเอลีชาว่า “แย่แล้วนายท่าน เราจะทำอย่างไรกันดี?”

16 เอลีชากล่าวว่า “อย่าตกใจกลัวไปเลย ฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา”

17 แล้วเอลีชาอธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเบิกตาให้เขาเห็น”องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเบิกตาให้คนรับใช้นั้นเห็นรอบเนินเขาเต็มไปด้วยม้าและรถม้าศึกเพลิงรายรอบเอลีชา

18 ขณะที่ฝ่ายศัตรูตรงเข้ามา เอลีชาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้คนเหล่านี้ตาพร่ามัวให้หมด” พระเจ้าก็ให้พวกเขาตาพร่ามัวเหมือนที่เอลีชาทูลขอ

19 เอลีชาบอกพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่เส้นทางและเมืองที่พวกท่านจะไป ตามเรามาสิ เราจะพาท่านไปหาคนที่ท่านต้องการ” แล้วเอลีชาก็พาพวกเขาไปยังสะมาเรีย

20 เมื่อพวกเขาเข้ามาในเมืองแล้ว เอลีชาก็อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงเบิกตาของพวกเขาให้มองเห็น”องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงเบิกตาของพวกเขา พวกเขามองดูก็เห็นว่าตนมาอยู่ในสะมาเรีย

21 เมื่อกษัตริย์อิสราเอลทอดพระเนตรเห็นพวกเขา พระองค์ก็ถามเอลีชาว่า “บิดาเจ้าข้า เราจะฆ่าพวกเขาได้ไหม? จะฆ่าเขาดีไหม?”

22 เอลีชาตอบว่า “อย่าเลย ท่านจะฆ่าเชลยศึกด้วยดาบและธนูของท่านหรือ จงให้อาหารเขากิน และให้น้ำเขาดื่ม แล้วปล่อยเขากลับไปหาเจ้านายของเขาเถิด”

23 ดังนั้นกษัตริย์จึงทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้พวกเขา หลังจากกินดื่มแล้ว พระองค์ก็ทรงส่งพวกเขากลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ของตน ตั้งแต่นั้นมากองโจรจากอารัมก็ไม่มากล้ำกรายดินแดนอิสราเอลอีกเลย

เมืองสะมาเรียกันดารอาหารเพราะถูกปิดล้อม

24 อยู่มาภายหลังกษัตริย์เบนฮาดัดแห่งอารัมทรงระดมกองทัพทั้งหมดมาล้อมเมืองสะมาเรีย

25 เป็นเหตุให้เกิดการกันดารอาหารครั้งใหญ่ในเมืองนั้น การล้อมเมืองยืดเยื้อจนแม้แต่หัวลายังมีราคาสูงเป็นเงินหนักถึง 80 เชเขลและเมล็ดถั่วป่าประมาณ 0.3 ลิตรซื้อขายกันเป็นเงินหนัก 5 เชเขล

26 ขณะกษัตริย์อิสราเอลเสด็จผ่านใกล้กำแพงเมือง หญิงคนหนึ่งร้องทูลว่า “ฝ่าพระบาท โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วยเถิด!”

27 กษัตริย์ตรัสตอบว่า “หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะหาความช่วยเหลือจากที่ไหนมาให้เจ้า? จากลานนวดข้าวหรือ? จากบ่อย่ำองุ่นหรือ?”

28 แล้วพระองค์ตรัสถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”

หญิงนั้นทูลว่า “ผู้หญิงคนนี้ได้กล่าวกับหม่อมฉันว่า ‘วันนี้ให้เรากินเนื้อลูกชายของเจ้า แล้ววันรุ่งขึ้นเราจะกินเนื้อลูกชายของฉัน’

29 ฉะนั้นพวกเราจึงเอาลูกชายของหม่อมฉันมาทำอาหารกิน ครั้นวันรุ่งขึ้นหม่อมฉันบอกว่า ‘ฆ่าลูกของเธอสิ จะได้เอามากินกัน’ แต่เขากลับซ่อนลูกไว้”

30 เมื่อกษัตริย์ได้ยินเช่นนั้นก็ทรงฉีกฉลองพระองค์ ขณะทรงดำเนินไปตามกำแพงเมือง ประชาชนมองดูเห็นว่าพระองค์ทรงสวมชุดผ้ากระสอบอยู่ข้างใน

31 กษัตริย์ตรัสว่า “ขอให้พระเจ้าทรงจัดการกับเราอย่างหนักที่สุด หากในวันนี้หัวของเอลีชาบุตรชาฟัทยังไม่หลุดจากบ่า!”

32 ฝ่ายเอลีชากำลังนั่งสนทนากับบรรดาผู้อาวุโสอยู่ในบ้าน เมื่อกษัตริย์ทรงใช้คนไปตามตัวเขา ก่อนที่คนนั้นจะมาถึง เอลีชากล่าวกับผู้อาวุโสเหล่านั้นว่า “พวกท่านไม่เห็นหรือว่าฆาตกรนั้นส่งคนมาตัดหัวเราแล้ว? ดูเถิด เมื่อเขามาถึง จงปิดประตู และไล่เขาออกไป นั่นไม่ใช่เสียงฝีเท้าของนายของเขาที่ตามมาข้างหลังหรือ?”

33 เอลีชาพูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้สื่อสารก็มาถึงและกษัตริย์ก็เสด็จมาด้วย พระองค์ตรัสว่า “ความเดือดร้อนนี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วจะให้เรารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปอีกหรือ?”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/6-b924923b372b828c7321255636635e69.mp3?version_id=179—

Categories
2พงศ์กษัตริย์

2พงศ์กษัตริย์ 7

1 เอลีชากล่าวว่า “จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า วันพรุ่งนี้เวลาราวๆ นี้ แป้งประมาณ 7.3 ลิตรหรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตรจะซื้อขายกันด้วยเงินหนัก 1 เชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย”

2 นายทหารที่ติดตามกษัตริย์กล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ต่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ก็จะเป็นไปได้หรือ?”

เอลีชาตอบว่า “เจ้าจะเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้กิน!”

วงล้อมแตก

3 มีคนโรคเรื้อนสี่คนนั่งอยู่ตรงทางเข้าประตูเมือง พวกเขาพูดกันว่า “ทำไมมานั่งรอความตายอยู่ที่นี่?

4 เราอยู่ที่นี่ก็จะอดตาย ถ้ากลับเข้าไปในเมืองก็อดตายกันอยู่ดี เราไปสวามิภักดิ์ต่อพวกอารัมกันเถิด ถ้าเขาไว้ชีวิตเรา เราก็อยู่ ถ้าเขาฆ่าเรา เราก็ตาย”

5 ตอนพลบค่ำพวกเขาพากันไปยังค่ายพักอารัม แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย

6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้กองทัพอารัมได้ยินเสียงรถม้าศึก เสียงควบม้า เสียงกองทัพใหญ่ จึงพูดกันว่า “กษัตริย์อิสราเอลจ้างพวกฮิตไทต์และกษัตริย์อียิปต์มาโจมตีเราแล้ว!”

7 พวกเขาจึงเตลิดหนีไปเมื่อพลบค่ำ ทิ้งเต็นท์ ม้า ลา และข้าวของทุกอย่างไว้ แล้วหนีเอาชีวิตรอด

8 เมื่อคนโรคเรื้อนเหล่านั้นมาถึงริมค่าย ก็เข้าไปในเต็นท์และกินดื่ม พวกเขาขนเงินทองและเสื้อผ้าออกมาแล้วซ่อนไว้ พวกเขากลับมาอีกและเข้าไปในเต็นท์อื่น แล้วขนของไปเก็บซ่อนไว้

9 แล้วพวกเขาพูดกันว่า “ทำอย่างนี้ไม่ถูก นี่เป็นข่าวดี แล้วเราไม่ยอมบอกใคร หากรอจนถึงวันพรุ่งนี้จะต้องมีโทษหนัก เรารีบกลับไปรายงานทางพระราชวังกันดีกว่า”

10 ฉะนั้นพวกเขาจึงกลับมาร้องบอกยามรักษาการณ์ประตูเมืองว่า “พวกเราได้ออกไปที่ค่ายของชาวอารัม พบว่าม้าและลาถูกผูกไว้ เต็นท์ก็เป็นระเบียบดี แต่ไม่มีใครอยู่เลยสักคน”

11 ยามรักษาการณ์จึงตะโกนแจ้งข่าวให้ทางพระราชวังทราบ

12 กษัตริย์ตื่นบรรทม แล้วตรัสกับทหารทั้งหลายในคืนนั้นว่า “เราจะบอกพวกเจ้าให้ว่า นี่เป็นแผนของอารัม เขารู้ว่าเราอดอยากจึงทิ้งค่ายไปหลบซ่อนตัวอยู่ในทุ่งนา และคิดว่า ‘พวกเขาจะออกมาแน่ๆ เราจะได้จับพวกเขาและบุกเข้ายึดเมือง’ ”

13 ทหารคนหนึ่งทูลว่า “เราน่าจะส่งสายสืบไปดูลาดเลา ให้พวกเขาใช้ม้าที่ยังเหลืออยู่สักห้าตัว ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไปมากกว่าอยู่ที่นี่ซึ่งก็ต้องตายเหมือนกับพวกเราชาวอิสราเอลที่เหลือ”

14 ดังนั้นเขาเลือกรถม้าศึกมาสองคันพร้อมม้า และกษัตริย์ส่งพวกเขาออกไปยังกองทัพอารัม พระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”

15 พวกเขาตามไปถึงแม่น้ำจอร์แดน พบเสื้อผ้าและเครื่องใช้ไม้สอยซึ่งพวกอารัมทิ้งไว้ตลอดทางเนื่องจากหนีเตลิดไปอย่างชุลมุน แล้วพวกเขากลับมาทูลกษัตริย์

16 ประชาชนจึงกรูกันออกไปยึดข้าวของในค่ายอารัม จึงเป็นจริงตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้คือ แป้งประมาณ 7.3 ลิตร หรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตร ขายกันในราคาเพียง 1 เชเขลในวันนั้น

17 กษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายทหารองครักษ์คนนั้นให้ดูแลที่ประตูเมือง แต่เขาถูกประชาชนเหยียบตายที่นั่น ตามที่คนของพระเจ้าได้ทำนายไว้เมื่อวันก่อน คราวที่กษัตริย์เสด็จมาที่บ้านของเขา

18 เหตุการณ์เป็นไปตามที่คนของพระเจ้าได้กล่าวกับกษัตริย์ว่า “วันพรุ่งนี้เวลาราวๆ นี้แป้งประมาณ 7.3 ลิตร หรือข้าวบาร์เลย์ประมาณ 15 ลิตร จะซื้อขายกันด้วยเงินหนัก 1 เชเขลที่ประตูเมืองสะมาเรีย”

19 แต่นายทหารของกษัตริย์ได้แย้งคนของพระเจ้าว่า “ต่อให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดฟ้าสวรรค์ก็จะเป็นไปได้หรือ?” คนของพระเจ้าตอบว่า “เจ้าจะเห็นกับตา แต่เจ้าจะไม่มีโอกาสได้กิน!”

20 และก็เป็นไปตามนั้นทุกประการ เพราะเขาถูกประชาชนเหยียบตายที่ประตูเมือง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/2KI/7-92dabbf2258225935d69d859a108867c.mp3?version_id=179—