Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 8

เอสราอ่านบทบัญญัติ

หลังจากชนอิสราเอลได้ตั้งถิ่นฐานในเมืองของตนแล้ว เมื่อถึงเดือนที่เจ็ด

1 ประชากรทั้งปวงก็มาชุมนุมอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ลานตรงหน้าประตูน้ำ พวกเขาขอให้ธรรมาจารย์เอสรานำบทบัญญัติของโมเสสซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่อิสราเอลออกมา

2 ฉะนั้นในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ด ปุโรหิตเอสราจึงนำม้วนบทบัญญัติมาต่อหน้าประชากรทั้งหมด ซึ่งมีทั้งชายและหญิงและทุกคนที่สามารถเข้าใจได้

3 เอสราอ่านบทบัญญัตินั้นเสียงดังตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยงที่หน้าลานตรงหน้าประตูน้ำ ต่อหน้าชายหญิงและคนทั้งหลายที่สามารถเข้าใจได้ ประชากรทั้งปวงตั้งใจฟังหนังสือบทบัญญัตินั้น

4 ธรรมาจารย์เอสรายืนอยู่บนเวทีไม้ที่ทำขึ้นเพื่อโอกาสนี้ ผู้ที่อยู่ข้างขวามือของเอสราได้แก่ มัททีธิยาห์ เชมา อานายาห์ อุรียาห์ ฮิลคียาห์ และมาอาเสอาห์ ทางซ้ายได้แก่ เปดายาห์ มิชาเอล มัลคียาห์ ฮาชูม ฮัชบัดดานาห์ เศคาริยาห์ และเมชุลลาม

5 เอสราเปิดหนังสือ ทุกคนสามารถเห็นเขาเพราะเขายืนอยู่สูงกว่าประชากร และขณะเขาคลี่หนังสือม้วนออก ประชากรทั้งปวงก็ยืนขึ้น

6 เอสราสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และประชากรทั้งปวงชูมือขึ้นขานรับว่า “อาเมน! อาเมน!” จากนั้นพวกเขาก็หมอบกราบซบหน้าลงกับพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า

7 คนเลวีได้แก่ เยชูอา บานี เชเรบิยาห์ ยามีน อักขูบ ชับเบธัย โฮดียาห์ มาอาเสอาห์ เคลิทา อาซาริยาห์ โยซาบาด ฮานัน และเปไลยาห์ สอนบทบัญญัติแก่ประชาชนขณะที่พวกเขายืนอยู่ที่นั่น

8 พวกเขาอ่านจากหนังสือบทบัญญัติของพระเจ้า แปลความ และอธิบายความหมายเพื่อประชาชนจะได้เข้าใจสิ่งที่อ่าน

9 เมื่อทุกคนได้ยินเนื้อความในบทบัญญัติก็ร้องไห้ ผู้ว่าการเนหะมีย์ ปุโรหิตเอสราผู้เป็นธรรมาจารย์ และคนเลวีซึ่งกำลังสอนประชาชนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า “วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน อย่าร้องไห้หรือคร่ำครวญเลย”

10 เนหะมีย์กล่าวว่า “จงไปกินและดื่มให้อิ่มหนำสำราญ และแบ่งปันแก่ผู้ที่ไม่ได้เตรียมอะไรมาเถิด วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าโศกเศร้าหม่นหมอง เพราะความชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกำลังของท่าน”

11 คนเลวีทำให้ประชากรทั้งหมดสงบลงโดยกล่าวว่า “จงนิ่งเสียเถิด วันนี้เป็นวันบริสุทธิ์ อย่าโศกเศร้าเลย”

12 แล้วประชากรทั้งปวงจึงออกไปกินและดื่ม แบ่งปันอาหาร และเฉลิมฉลองกันด้วยความเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก เพราะเดี๋ยวนี้พวกเขาเข้าใจถ้อยคำที่ได้รับฟังนั้นแล้ว

13 ในวันที่สองของเดือนนั้น หัวหน้าครอบครัวทุกคนพร้อมด้วยปุโรหิตและคนเลวีมาล้อมวงรอบธรรมาจารย์เอสราเพื่อใส่ใจฟังเนื้อความในบทบัญญัติ

14 พวกเขาพบข้อความในบทบัญญัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าบัญชาผ่านทางโมเสสให้ชนอิสราเอลอาศัยในเพิงตลอดเทศกาลในเดือนที่เจ็ด

15 และพวกเขาเห็นว่าควรประกาศเรื่องนี้ไปทั่วหัวเมืองต่างๆ และในเยรูซาเล็มว่า “จงออกไปเก็บกิ่งมะกอก กระบก น้ำมันเขียว ทางอินทผลัม และไม้ใบดกอื่นๆ ที่เนินเขาเพื่อสร้างเพิง” ตามที่ได้บันทึกไว้

16 ประชากรจึงออกไปเก็บกิ่งไม้มาสร้างเพิงขึ้นบนดาดฟ้าหลังคาบ้านของตน ที่ลานบ้าน ที่ลานพระนิเวศของพระเจ้า ที่ลานข้างประตูน้ำ และที่ลานข้างประตูเอฟราอิม

17 ประชาชนทั้งหมดที่กลับมาจากแดนเชลยสร้างเพิงและอาศัยอยู่ในเพิง ชาวอิสราเอลไม่ได้เฉลิมฉลองกันอย่างนี้เลยนับตั้งแต่สมัยโยชูวาบุตรนูนจนกระทั่งถึงวันนั้น พวกเขาจึงชื่นชมยินดียิ่งนัก

18 เอสราอ่านบทบัญญัติของพระเจ้าทุกวันตลอดเทศกาล พวกเขาเฉลิมฉลองเทศกาลกันเจ็ดวัน และในวันที่แปดมีการประชุมประชากรตามระเบียบที่กำหนด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/8-a3c91db342beada40497d633167a7874.mp3?version_id=179—

Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 9

ชนอิสราเอลสารภาพบาป

1 ในวันที่ยี่สิบสี่ของเดือนเดียวกัน ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกัน ถืออดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบ และโปรยฝุ่นธุลีบนศีรษะ

2 เชื้อสายชนอิสราเอลแยกตัวออกจากชาวต่างชาติทั้งปวง พวกเขายืนประจำที่และสารภาพบาปของตนและความชั่วร้ายของบรรพบุรุษของพวกเขา

3 พวกเขายืนอยู่กับที่และอ่านบทบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาเป็นเวลาสามชั่วโมง และอีกสามชั่วโมงสารภาพบาปและนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

4 คนเลวีบางคนได้แก่ เยชูอา บานี ขัดมีเอล เชบานิยาห์ บุนนี เชเรบิยาห์ บานี และเคนานี ยืนอยู่บนขั้นบันได พวกเขาร้องทูลพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขาด้วยเสียงอันดัง

5 และคนเลวีได้แก่ เยชูอา ขัดมีเอล บานี ฮาชับเนยาห์ เชเรบิยาห์ โฮดียาห์ เชบานิยาห์ และเปธาหิยาห์ กล่าวว่า “จงยืนขึ้นสรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจวบจนนิรันดร์กาล”

“ขอถวายสรรเสริญแด่พระนามอันสูงส่งของพระองค์ ขอให้เป็นที่เทิดทูนเหนือการยกย่องสรรเสริญทั้งปวง

6 พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ทรงสร้างแม้กระทั่งฟ้าสวรรค์สูงสุดและดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้า ทรงสร้างแผ่นดินโลกกับท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้น พระองค์ประทานชีวิตแก่ทุกสิ่ง และชาวสวรรค์นมัสการพระองค์

7 “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระยาห์เวห์ ผู้ทรงเลือกสรรอับรามและนำเขาออกมาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียและประทานนามแก่เขาว่าอับราฮัม

8 พระองค์ทรงเห็นว่าเขามีใจซื่อสัตย์ต่อพระองค์ และทรงทำพันธสัญญากับเขาว่าจะประทานดินแดนของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส และชาวเกอร์กาชีแก่วงศ์วานของเขา พระองค์ทรงทำตามพระสัญญาเพราะพระองค์ทรงชอบธรรม

9 “พระองค์ทอดพระเนตรความทุกข์ยากของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายในอียิปต์ ทรงฟังคำร้องทูลของพวกเขาที่ทะเลแดง

10 พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อต่อสู้กับฟาโรห์ เหล่าข้าราชบริพาร และชาวอียิปต์ทั้งปวง เพราะทรงทราบว่าชาวอียิปต์ปฏิบัติต่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเย่อหยิ่ง พระองค์ทรงทำให้พระนามของพระองค์เลื่องลือมาจนถึงทุกวันนี้

11 พระองค์ทรงแยกทะเลออกเพื่อบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เดินข้ามบนดินแห้ง แต่พระองค์ทรงกวาดศัตรูที่รุกไล่มาลงในห้วงน้ำลึก เหมือนก้อนหินตกสู่กระแสน้ำเชี่ยว

12 พระองค์ทรงนำพวกเขาด้วยเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนเพื่อให้ความสว่างตามทางที่จะไป

13 “พระองค์เสด็จลงมาเหนือภูเขาซีนายและตรัสกับเขาเหล่านั้นจากฟ้าสวรรค์ และประทานกฎระเบียบกับบทบัญญัติที่เที่ยงตรงและถูกต้องและประทานกฎหมายกับพระบัญชาอันดีงาม

14 พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้รู้จักสะบาโตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ และประทานพระบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์

15 ยามพวกเขาหิว พระองค์ประทานอาหารจากฟ้าสวรรค์ ยามพวกเขากระหายก็ประทานน้ำจากศิลา พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาเข้าไปยึดครองดินแดนซึ่งพระองค์ได้ทรงยกพระหัตถ์ปฏิญาณมอบให้แก่พวกเขาแล้ว

16 “แต่บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเย่อหยิ่งและดื้อดึง ไม่ยอมเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์

17 ไม่ยอมรับฟัง และไม่ได้จดจำการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงทำในหมู่พวกเขา แต่กลับใจแข็งและคิดคดทรยศ และตั้งผู้นำคนหนึ่งเพื่อพากันกลับไปเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ให้อภัย ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร ทรงพระพิโรธช้าและเปี่ยมด้วยความรัก ฉะนั้นพระองค์จึงไม่ได้ทรงทอดทิ้งพวกเขา

18 แม้แต่ขณะที่พวกเขาได้หล่อเทวรูปลูกวัวขึ้นสำหรับตนและประกาศว่า ‘นี่คือพระเจ้าผู้พาเราออกมาจากอียิปต์’ หรือขณะที่พวกเขาหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง

19 “เนื่องด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ พระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งพวกเขาไว้ในถิ่นกันดาร เสาเมฆยังคงนำพวกเขาไปตามทางในเวลากลางวันและเสาเพลิงยังส่องทางตลอดค่ำคืน

20 พระองค์ประทานพระวิญญาณล้ำเลิศมาสั่งสอนพวกเขา พระองค์ไม่ได้ให้มานาของพระองค์ขาดจากปากของพวกเขาและพระองค์ประทานน้ำดับความกระหายให้พวกเขา

21 ตลอดสี่สิบปีพระองค์ทรงเลี้ยงดูพวกเขาในถิ่นกันดาร พวกเขาไม่ขัดสนสิ่งใด เสื้อผ้าของเขาไม่ได้เก่าคร่ำคร่าและเท้าก็ไม่ได้บวมช้ำ

22 “พระองค์ทรงมอบอาณาจักรและชนชาติต่างๆ แก่พวกเขา ทรงแบ่งสรรปันส่วนให้แม้แต่ชายแดนที่ไกลโพ้น พวกเขายึดครองดินแดนของกษัตริย์สิโหนแห่งเฮชโบนและดินแดนของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน

23 พระองค์ทรงโปรดให้พวกเขามีลูกหลานมากมายเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และนำพวกเขามายังดินแดนซึ่งพระองค์ตรัสสั่งบรรพบุรุษของพวกเขาให้เข้าครอบครอง

24 ลูกหลานของพวกเขาเข้ายึดครองดินแดนนั้น พระองค์ทรงปราบชาวคานาอันซึ่งอยู่ในดินแดนนั้นลงต่อหน้าพวกเขา ทรงมอบชาวคานาอัน รวมทั้งกษัตริย์และประชาชนในดินแดนนั้นแก่พวกเขา แล้วแต่พวกเขาจะจัดการตามใจชอบ

25 พวกเขายึดหัวเมืองป้อมปราการและดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ ครอบครองบ้านเรือนที่มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น มีบ่อน้ำที่ขุดแล้ว สวนองุ่น สวนมะกอก และผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์ พวกเขาจึงอิ่มหนำและอิ่มเอมกับความประเสริฐเลิศล้ำของพระองค์

26 “แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังและกบฏต่อพระองค์ ทอดทิ้งบทบัญญัติ สังหารบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ซึ่งเตือนให้พวกเขาหันกลับมาหาพระองค์ พวกเขาหมิ่นประมาทพระองค์อย่างร้ายแรง

27 ฉะนั้นพระองค์ทรงมอบพวกเขาไว้ในมือของศัตรูผู้ที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาถูกกดขี่ข่มเหง พวกเขาก็ร้องทูลพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และโปรดประทานผู้ช่วยกู้มาช่วยพวกเขาให้พ้นจากมือของเหล่าศัตรูด้วยความเอ็นดูสงสาร

28 “แต่พอพวกเขาได้พักสงบ พวกเขาก็ทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรของพระองค์อีก พระองค์จึงทรงทิ้งพวกเขาไว้ในมือของศัตรู ให้ศัตรูปกครองพวกเขา และเมื่อพวกเขาร้องทูลพระองค์อีก พระองค์ก็ทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และทรงกอบกู้พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเอ็นดูสงสาร

29 “พระองค์ทรงเตือนให้พวกเขาหันกลับมายังบทบัญญัติของพระองค์ แต่พวกเขาหยิ่งผยองและไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ พวกเขาทำบาปต่อข้อปฏิบัติของพระองค์ซึ่งถ้าผู้ใดปฏิบัติตามจะมีชีวิตอยู่ พวกเขาหันหลังให้พระองค์อย่างดื้อรั้นอวดดีและไม่ยอมฟัง

30 พระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยต่อพวกเขามาตลอดหลายปี พระองค์ทรงเตือนสติพวกเขาโดยพระวิญญาณของพระองค์ผ่านทางผู้เผยพระวจนะของพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่แยแส พระองค์จึงทรงมอบพวกเขาไว้ในเงื้อมมือของชนชาติเพื่อนบ้าน

31 แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง พระองค์ไม่ได้ทรงทำลายพวกเขาจนย่อยยับหรือทอดทิ้งพวกเขาไป เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและพระเมตตา

32 “ฉะนั้นบัดนี้ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์และน่าเกรงขาม ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักของพระองค์ ขออย่าให้ความทุกข์ยากลำบากทั้งปวงนี้เป็นสิ่งเล็กน้อยในสายพระเนตรของพระองค์ ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลายกับบรรดากษัตริย์และเหล่าผู้นำกับบรรดาปุโรหิต และผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรากับบรรพบุรุษของเราและปวงประชากรของพระองค์ตั้งแต่สมัยเหล่ากษัตริย์แห่งอัสซีเรียจนถึงวันนี้

33 ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลายนั้น พระองค์ทรงเที่ยงธรรม พระองค์ทรงทำทุกอย่างด้วยความซื่อสัตย์ขณะที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำผิด

34 บรรดากษัตริย์ ผู้นำ ปุโรหิต และบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ พวกเขาไม่ใส่ใจพระบัญชาและพระดำรัสเตือนของพระองค์

35 แม้ขณะที่พวกเขาอยู่ในอาณาจักรของพวกเขา ได้ชื่นชมความดีเลิศที่ทรงมีต่อพวกเขาในดินแดนอันกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ที่ทรงประทาน พวกเขาไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์หรือหันจากทางชั่วของพวกเขา

36 “แต่ดูเถิด วันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายตกเป็นทาสในดินแดนซึ่งทรงประทานแก่เหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อพวกเขาจะได้อิ่มเอมกับพืชผลและสิ่งดีงามทั้งปวงของดินแดนนั้น

37 เนื่องจากบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผลผลิตอันมั่งคั่งจึงตกเป็นของบรรดากษัตริย์ซึ่งพระองค์ทรงให้ปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย เขาเหล่านั้นใช้อำนาจเหนือร่างกายและเหนือฝูงสัตว์ของข้าพระองค์ทั้งหลายตามใจชอบ ข้าพระองค์ทั้งหลายทุกข์ยากแสนสาหัส

การถวายปฏิญาณ

38 “เนื่องจากสิ่งทั้งปวงนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอทำข้อตกลงอันมั่นคงและบันทึกไว้ บรรดาผู้นำ คนเลวี และปุโรหิตประทับตราของพวกเขารับรอง”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/9-0f5a75ab16cc2b7a70d83e3f2a624b61.mp3?version_id=179—

Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 10

1 ผู้ที่ประทับตราได้แก่

ผู้ว่าการเนหะมีย์บุตรฮาคาลิยาห์

เศเดคียาห์

2 เสไรอาห์ อาซาริยาห์ เยเรมีย์

3 ปาชเฮอร์ อามาริยาห์ มัลคียาห์

4 ฮัททัช เชบานิยาห์ มัลลุค

5 ฮาริม เมเรโมท โอบาดีห์

6 ดาเนียล กินเนโธน บารุค

7 เมชุลลาม อาบียาห์ มิยามิน

8 มาอาซิยาห์ บิลกัย และเชไมอาห์

คนเหล่านี้ล้วนเป็นปุโรหิต

9 คนเลวีได้แก่

เยชูอาบุตรอาซันยาห์ บินนุยแห่งวงศ์วานของเฮนาดัด ขัดมีเอล

10 และพวกพ้องได้แก่ เชบานิยาห์ โฮดียาห์

เคลิทา เปไลยาห์ ฮานัน

11 มีคา เรโหบ ฮาชาบิยาห์

12 ศักเกอร์ เชเรบิยาห์ เชบานิยาห์

13 โฮดียาห์ บานี และเบนินู

14 บรรดาผู้นำประชากรได้แก่

ปาโรช ปาหัทโมอับ เอลาม ศัทธู บานี

15 บุนนี อัสกาด เบบัย

16 อาโดนียาห์ บิกวัย อาดีน

17 อาเทอร์ เฮเซคียาห์ อัสซูร์

18 โฮดียาห์ ฮาชูม เบไซ

19 ฮาริฟ อานาโธท เนบัย

20 มักปีอาช เมชุลลาม เฮซีร์

21 เมเชซาเบล ศาโดก ยาดดูวา

22 เปลาทียาห์ ฮานัน อานายาห์

23 โฮเชยา ฮานันยาห์ หัสชูบ

24 ฮัลโลเหช ปิลหา โชเบก

25 เรฮูม ฮาชับนาห์ มาอาเสอาห์

26 อาหิอาห์ ฮานัน อานัน

27 มัลลุค ฮาริม และบาอานาห์

28 “ประชากรอื่นๆ ที่เหลือ ทั้งปุโรหิต คนเลวี ยามเฝ้าประตูพระวิหาร คณะนักร้อง ผู้ช่วยงานในพระวิหาร และคนอื่นๆ ทั้งปวง พร้อมทั้งภรรยาและบุตรชายบุตรสาวซึ่งรู้ความแล้ว ได้แยกตัวออกจากชนชาติเพื่อนบ้านเพราะเห็นแก่บทบัญญัติของพระเจ้า

29 ทั้งหมดนี้ร่วมกับพี่น้องเหล่าขุนนางปฏิญาณตนพร้อมที่จะรับคำสาปแช่งของพระเจ้า หากไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าซึ่งประทานผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ และที่จะเชื่อฟังพระบัญชา กฎระเบียบ และกฎหมายทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

30 “เราสัญญาว่าจะไม่ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับชนชาติรอบๆ และไม่รับบุตรสาวของพวกนั้นมาให้บุตรชายของเรา

31 “เมื่อชนชาติเพื่อนบ้านนำสินค้าหรือเมล็ดข้าวมาขายในวันสะบาโต เราจะไม่ซื้อจากพวกเขาในวันสะบาโตหรือวันบริสุทธิ์อื่นๆ ทุกปีที่เจ็ดเราจะให้ดินแดนพักจากการไถหว่านหรือเก็บเกี่ยว และจะยกเลิกหนี้สินทั้งปวง

32 “เรารับผิดชอบที่จะทำตามคำสั่งเหล่านี้โดยให้เงินปีละหนึ่งในสามเชเขลสำหรับการปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าของเรา

33 สำหรับขนมปังเบื้องพระพักตร์ เครื่องธัญบูชาและเครื่องเผาบูชา สำหรับวันสะบาโต เทศกาลขึ้นหนึ่งค่ำ และเทศกาลต่างๆ ตามกำหนด สำหรับเครื่องถวายศักดิ์สิทธิ์ สำหรับเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปให้อิสราเอล และสำหรับกิจการทั้งปวงเกี่ยวกับพระนิเวศของพระเจ้าของเรา

34 “แล้วเราคือปุโรหิต คนเลวี และประชากรได้ทอดสลากจัดเวรให้แต่ละครอบครัวนำฟืนมายังพระนิเวศของพระเจ้าของเราตามกำหนดเวลาแต่ละปีสำหรับเผาบนแท่นบูชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตามที่เขียนไว้ในบทบัญญัติ

35 “แต่ละปีเรายังรับผิดชอบนำผลแรกของพืชพันธุ์ธัญญาหารและผลไม้ทุกชนิดมายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า

36 “เราจะนำบุตรชายหัวปีของเราและลูกหัวปีจากฝูงสัตว์มายังพระนิเวศของพระเจ้าของเรา แล้วมอบแก่ปุโรหิตซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่นั่นตามที่บันทึกไว้ในบทบัญญัติ

37 “นอกจากนั้นเราจะนำผลผลิตต่างๆ มาให้ปุโรหิตเก็บไว้ในคลังพระนิเวศของพระเจ้าของเราได้แก่ ผลแรกของธัญญาหาร ของธัญบูชา ของผลไม้จากต้นไม้ทั้งหมดของเรา ของเหล้าองุ่นใหม่และน้ำมัน และเราจะนำสิบลดคือหนึ่งในสิบของพืชผลมามอบแก่คนเลวี เพราะคนเลวีเป็นผู้เก็บรวบรวมสิบลดในเมืองต่างๆ ที่เราสังกัด

38 ปุโรหิตวงศ์วานของอาโรนหนึ่งนายจะอยู่กับคนเลวีขณะรับสิบลดเหล่านี้ และคนเลวีจะนำหนึ่งในสิบของสิบลดทั้งปวงนั้นมาเก็บไว้ในคลังพระนิเวศของพระเจ้าของเรา

39 ประชากรอิสราเอลรวมทั้งคนเลวีจะต้องนำของถวายต่างๆ คือเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมายังคลังพระนิเวศ ซึ่งเป็นที่เก็บเครื่องใช้ต่างๆ ของสถานนมัสการ และที่ซึ่งปุโรหิตผู้ปฏิบัติงานยามเฝ้าประตูวิหารและคณะนักร้องพักอาศัยอยู่

“เราจะไม่ละเลยพระนิเวศของพระเจ้าของเรา”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/10-3850ac17bdec7cbb738a7bdf6d5758b5.mp3?version_id=179—

Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 11

ผู้ที่เพิ่งมาอาศัยในเยรูซาเล็ม

1 ครั้งนั้นบรรดาผู้นำประชากรตั้งถิ่นฐานในเยรูซาเล็ม ส่วนประชาชนทั้งหลายทอดสลากเลือกคนหนึ่งในสิบคนเข้ามาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มนครศักดิ์สิทธิ์ ที่เหลืออีกเก้าในสิบคนอาศัยในเมืองของตน

2 ประชาชนก็ชมเชยคนทั้งปวงที่สมัครใจเข้ามาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม

3 ต่อไปนี้คือบรรดาผู้นำจากหัวเมืองต่างๆ ซึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม (ชาวอิสราเอลบางส่วน ปุโรหิต คนเลวี ผู้ช่วยงานในพระวิหาร และวงศ์วานข้าราชบริพารของโซโลมอนอาศัยอยู่ในที่ของตนตามหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์

4 ในขณะที่ประชากรอีกส่วนจากทั้งยูดาห์และเบนยามินอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม)

จากวงศ์วานของยูดาห์ได้แก่

อาธายาห์ผู้เป็นบุตรของอุสซียาห์ ผู้เป็นบุตรของเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของอามาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรของมาหะลาเลล ซึ่งเป็นวงศ์วานของเปเรศ

5 และมาอาเสอาห์ผู้เป็นบุตรของบารุค ผู้เป็นบุตรของโคลโฮเซห์ ผู้เป็นบุตรของฮาซายาห์ ผู้เป็นบุตรของอาดายาห์ ผู้เป็นบุตรของโยยาริบ ผู้เป็นบุตรของเศคาริยาห์ ซึ่งเป็นวงศ์วานของเชลาห์

6 วงศ์วานของเปเรศซึ่งมาอาศัยที่เยรูซาเล็มมีชายฉกรรจ์ 468 คน

7 จากวงศ์วานของเบนยามินได้แก่

สัลลูผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรของโยเอด ผู้เป็นบุตรของเปดายาห์ ผู้เป็นบุตรของโคลายาห์ ผู้เป็นบุตรของมาอาเสอาห์ ผู้เป็นบุตรของอิธีเอล ผู้เป็นบุตรของเยชายาห์

8 และผู้ติดตามของเขาคือกับบัยและสัลลัย รวม 928 คน

9 หัวหน้าคือ โยเอลบุตรศิครี และยูดาห์บุตรหัสเสนูอาห์ ดูแลเขตสองของเมือง

10 จากเหล่าปุโรหิตได้แก่

เยดายาห์กับบุตรของโยยาริบและยาคีน

11 กับเสไรอาห์ผู้เป็นบุตรของฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรของศาโดก ผู้เป็นบุตรของเมราโยท ผู้เป็นบุตรของอาหิทูบผู้ควบคุมดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า

12 กับพวกพ้องซึ่งปฏิบัติงานในพระวิหารรวม 822 คน และอาดายาห์ผู้เป็นบุตรของเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรของเปลาไลยาห์ ผู้เป็นบุตรของอัมซี ผู้เป็นบุตรของเศคาริยาห์ ผู้เป็นบุตรของปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรของมัลคียาห์

13 กับพวกพ้อง 242 คนซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัว ต่อไปคืออามาชสัยผู้เป็นบุตรของอาซาเรล ผู้เป็นบุตรของอาซัย ผู้เป็นบุตรของเมชิลเลโมท ผู้เป็นบุตรของอิมเมอร์

14 กับพวกพ้องของเขา128 คนซึ่งล้วนแต่เป็นชายฉกรรจ์ ศับดีเอลบุตรฮักเกโดลิมเป็นหัวหน้า

15 จากคนเลวีได้แก่

เชไมอาห์ผู้เป็นบุตรของหัสชูบ ผู้เป็นบุตรของอัสรีคัม ผู้เป็นบุตรของฮาชาบิยาห์ ผู้เป็นบุตรของบุนนี

16 ชับเบธัยกับโยซาบาด ทั้งคู่เป็นหัวหน้าคนเลวี ดูแลงานภายนอกพระนิเวศของพระเจ้า

17 มัททานิยาห์ผู้เป็นบุตรของมีคา ผู้เป็นบุตรของศับดี ผู้เป็นบุตรของอาสาฟผู้นำในการอธิษฐานและขอบพระคุณ บัคบูคิยาห์ผู้ช่วยของเขา และอับดาผู้เป็นบุตรของชัมมุวา ผู้เป็นบุตรของกาลาล ผู้เป็นบุตรของเยดูธูน

18 รวมทั้งสิ้นมีคนเลวี 284 คนในนครศักดิ์สิทธิ์

19 ยามเฝ้าประตูพระวิหารได้แก่

อักขูบ ทัลโมน กับพวกพ้องซึ่งเฝ้ายามอยู่ที่ประตูต่างๆ รวม 172 คน

20 ปุโรหิตและคนเลวีอื่นๆ กับประชากรที่เหลืออาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆ ทั้งหมดของยูดาห์ตามเขตกรรมสิทธิ์ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ

21 ส่วนผู้ช่วยงานในพระวิหารอาศัยอยู่ที่เนินเขาโอเฟลโดยมีศีหะกับกิชปาคอยดูแล

22 หัวหน้าคนเลวีในเยรูซาเล็มคือ อุสซีผู้เป็นบุตรของบานี ผู้เป็นบุตรของฮาชาบิยาห์ ผู้เป็นบุตรของมัททานิยาห์ ผู้เป็นบุตรของมีคา อุสซีอยู่ในวงศ์วานอาสาฟซึ่งเป็นนักร้อง รับผิดชอบงานพระนิเวศของพระเจ้า

23 พวกนักร้องปฏิบัติหน้าที่ทุกวันตามพระราชโองการของกษัตริย์

24 เปธาหิยาห์บุตรเมเชซาเบลวงศ์วานของเศราห์บุตรยูดาห์ เป็นตัวแทนของกษัตริย์ดูแลกิจการทุกอย่างที่เกี่ยวกับประชาชน

25 ชาวยูดาห์ส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ได้แก่ คีริยาทอารบา ดีโบน เยขับเซเอล และหมู่บ้านรอบเมืองเหล่านี้

26 เยชูอา โมลาดาห์ เบธเปเลท

27 ฮาซารชูอาล เบเออร์เชบากับหมู่บ้านโดยรอบ

28 ศิกลาก เมโคนาห์กับหมู่บ้านโดยรอบ

29 เอนริมโมน โศราห์ ยารมูท

30 ศาโนอาห์ อดุลลัมกับหมู่บ้านโดยรอบ ลาคีชและทุ่งหญ้าใกล้ๆ อาเซคาห์กับหมู่บ้านโดยรอบ กล่าวคืออาศัยอยู่ทั่วไปจากเบเออร์เชบาจดหุบเขาฮินโนม

31 วงศ์วานของเบนยามิน จากเกบาเข้ามาอาศัยอยู่ที่มิคมาช อัยยา เบธเอลกับหมู่บ้านโดยรอบ

32 ที่อานาโธท โนบ และอานานิยาห์

33 ที่ฮาโซร์ รามาห์ และกิททาอิม

34 ที่ฮาดิด เศโบอิม และเนบัลลัท

35 ที่โลดและโอโน และในหุบเขาช่างฝีมือ

36 คนเลวีบางหมู่เหล่าของยูดาห์อาศัยอยู่ในเขตเบนยามิน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/11-02a26f978de62fe9c4203a642107ee2b.mp3?version_id=179—

Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 12

ปุโรหิตและคนเลวี

1 ต่อไปนี้คือปุโรหิตและคนเลวีซึ่งกลับมาพร้อมกับเศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล และเยชูอา ได้แก่

เสไรอาห์ เยเรมีย์ เอสรา

2 อามาริยาห์ มัลลุค ฮัททัช

3 เชคานิยาห์ เรฮูม เมเรโมท

4 อิดโด กินเนโธนอาบียาห์

5 มิยามินโมอัดยาห์ บิลกาห์

6 เชไมอาห์ โยยาริบ เยดายาห์

7 สัลลู อาโมค ฮิลคียาห์ และเยดายาห์

คนเหล่านี้คือบรรดาผู้นำปุโรหิตกับพวกพ้องในสมัยเยชูอา

8 คนเลวีได้แก่ เยชูอา บินนุย ขัดมีเอล เชเรบิยาห์ ยูดาห์ และมัททานิยาห์กับพวกพ้องซึ่งรับผิดชอบเรื่องบทเพลงขอบพระคุณ

9 บัคบูคิยาห์กับอุนนีและพวกพ้องยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพวกเขาในการรับใช้

10 เยชูอาเป็นบิดาของโยยาคิม ผู้เป็นบิดาของเอลียาชีบ ผู้เป็นบิดาของโยยาดา

11 ผู้เป็นบิดาของโยนาธาน และโยนาธานเป็นบิดาของยาดดูวา

12 หัวหน้าครอบครัวปุโรหิตในสมัยโยยาคิมได้แก่

เมรายาห์จากครอบครัวของเสไรอาห์

ฮานันยาห์จากครอบครัวของเยเรมีย์

13 เมชุลลามจากครอบครัวของเอสรา

เยโฮฮานันจากครอบครัวของอามาริยาห์

14 โยนาธานจากครอบครัวของมัลลุค

โยเซฟจากครอบครัวของเชคานิยาห์

15 อัดนาจากครอบครัวของฮาริม

เฮลคายจากครอบครัวของเมเรโมท

16 เศคาริยาห์จากครอบครัวของอิดโด

เมชุลลามจากครอบครัวของกินเนโธน

17 ศิครีจากครอบครัวของอาบียาห์

ปิลทัยจากครอบครัวของมินยามิน และ

ครอบครัวของโมอัดยาห์

18 ชัมมุวาจากครอบครัวของบิลกาห์

เยโฮนาธันจากครอบครัวของเชไมอาห์

19 มัทเทนัยจากครอบครัวของโยยาริบ

อุสซีจากครอบครัวของเยดายาห์

20 คาลลัยจากครอบครัวของสัลลู

เอเบอร์จากครอบครัวของอาโมค

21 ฮาชาบิยาห์จากครอบครัวของฮิลคียาห์

เนธันเอลจากครอบครัวของเยดายาห์

22 บันทึกรายชื่อหัวหน้าครอบครัวของเหล่าปุโรหิตและคนเลวีในสมัยของเอลียาชีบ โยยาดา โยฮานัน และยาดดูวา ทำขึ้นในรัชกาลดาริอัสแห่งเปอร์เซีย

23 หัวหน้าครอบครัวต่างๆ ในหมู่วงศ์วานของเลวีไล่ขึ้นไปถึงสมัยของโยฮานันบุตรเอลียาชีบบันทึกอยู่ในหนังสือพงศาวดาร

24 บรรดาผู้นำของคนเลวีได้แก่ ฮาชาบิยาห์ เชเรบิยาห์ เยชูอาบุตรขัดมีเอล และพวกพ้องซึ่งยืนอยู่ตรงกันข้ามกับพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญและขอบพระคุณตอบโต้กันตามที่ดาวิดคนของพระเจ้าได้กำหนดไว้

25 ยามเฝ้าประตูพระวิหารซึ่งรับผิดชอบคลังต่างๆ ตามแต่ละประตูได้แก่ มัททานิยาห์ บัคบูคิยาห์ โอบาดีห์ เมชุลลาม ทัลโมน และอักขูบ

26 คนเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสมัยของโยยาคิมบุตรเยชูอา ผู้เป็นบุตรของโยซาดัก และในสมัยผู้ว่าการเนหะมีย์ และเอสราผู้เป็นปุโรหิตและธรรมาจารย์

การมอบถวายกำแพงเยรูซาเล็ม

27 คนเลวีทั้งปวงทั่วแดนถูกตามตัวมายังเยรูซาเล็ม เพื่อฉลองพิธีมอบถวายกำแพงเยรูซาเล็มอย่างรื่นเริงด้วยการร้องเพลงขอบพระคุณ พร้อมด้วยเสียงฉาบ พิณใหญ่และพิณเขาคู่

28 คณะนักร้องก็ถูกรวบรวมมาจากภูมิภาคต่างๆ รอบเยรูซาเล็มคือจากหมู่บ้านชาวเนโทฟาห์

29 จากเบธกิลกาล และจากเขตเกบากับอัสมาเวท เพราะว่านักร้องเหล่านี้ได้สร้างหมู่บ้านเพื่ออยู่อาศัยรอบเยรูซาเล็ม

30 เมื่อปุโรหิตและคนเลวีชำระตัวให้บริสุทธิ์ตามระเบียบพิธีแล้ว พวกเขาก็ทำพิธีชำระประชากร ประตูทั้งหลาย และกำแพงเมือง

31 ข้าพเจ้าให้บรรดาผู้นำยูดาห์ขึ้นไปบนกำแพง และแบ่งนักร้องเป็นสองคณะใหญ่ เพื่อร้องเพลงขอบพระคุณ คณะหนึ่งเดินขึ้นไปบนกำแพงไปทางขวาสู่ประตูกองขยะ

32 โฮชายาห์กับผู้นำยูดาห์ครึ่งหนึ่งตามพวกเขาไป

33 พร้อมด้วยอาซาริยาห์ เอสรา เมชุลลาม

34 ยูดาห์ เบนยามิน เชไมอาห์ เยเรมีย์

35 รวมทั้งปุโรหิตผู้เป่าแตรกับเศคาริยาห์บุตรโยนาธาน ผู้เป็นบุตรของเชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรของมัททานิยาห์ ผู้เป็นบุตรของมีคายาห์ ผู้เป็นบุตรของศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรของอาสาฟ

36 และพวกพ้องได้แก่ เชไมอาห์ อาซาเรล มิลาลัย กิลาลัย มาอัย เนธันเอล ยูดาห์ และฮานานี ใช้เครื่องดนตรีตามที่ดาวิดคนของพระเจ้าระบุไว้ ธรรมาจารย์เอสราเดินนำหน้าขบวน

37 เมื่อมาถึงประตูน้ำพุก็เดินตรงขึ้นบันไดของเมืองดาวิดที่ทางขึ้นกำแพง และผ่านเหนือวังของดาวิดไปสู่ประตูน้ำทางทิศตะวันออก

38 คณะนักร้องคณะที่สองนำขบวนไปทางตรงข้าม ข้าพเจ้าเดินตามพวกเขาขึ้นไปบนกำแพงพร้อมด้วยประชาชนอีกครึ่งหนึ่ง ผ่านหอคอยเตาอบไปยังกำแพงกว้าง

39 เหนือประตูเอฟราอิม ประตูเยชานาห์ประตูปลา หอคอยฮานันเอล และหอคอยกองร้อย ไกลไปจนถึงประตูแกะ และพวกเขาหยุดที่ประตูยาม

40 คณะนักร้องขอบพระคุณทั้งสองคณะเข้าประจำที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพเจ้ากับเจ้าหน้าที่อีกครึ่งหนึ่งก็เข้าประจำที่ด้วย

41 และปุโรหิตผู้เป่าแตรได้แก่ เอลียาคิม มาอาเสอาห์ มิยามิน มีคายาห์ เอลีโอเอนัย เศคาริยาห์ และฮานันยาห์

42 ร่วมด้วยมาอาเสอาห์ เชไมอาห์ เอเลอาซาร์ อุสซี เยโฮฮานัน มัลคียาห์ เอลาม และเอเซอร์ คณะนักร้องขับร้องเพลงโดยมียิสรายาห์เป็นผู้ควบคุม

43 พวกเขาถวายเครื่องบูชามากมายในวันนั้น ต่างชื่นชมยินดีเพราะพระเจ้าประทานความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง ผู้หญิงกับเด็กก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย เสียงโห่ร้องยินดีในเยรูซาเล็มดังไปไกล

44 ครั้งนั้นมีการแต่งตั้งผู้ดูแลคลังต่างๆ สำหรับของถวายผลแรกและสิบลด พวกเขาจะรวบรวมสิ่งเหล่านี้จากไร่นารอบเมืองต่างๆ มาไว้ในคลังตามที่บทบัญญัติระบุไว้สำหรับให้ปุโรหิตและคนเลวี เพราะชนยูดาห์พึงพอใจในปุโรหิตและคนเลวีผู้ปฏิบัติงาน

45 พวกเขารับใช้พระเจ้าและทำหน้าที่ในพิธีชำระ คณะนักร้องและยามเฝ้าประตูพระวิหารก็เช่นเดียวกัน ต่างปฏิบัติตามพระราชโองการของดาวิดและราชโอรสโซโลมอน

46 เพราะนานมาแล้วในสมัยของดาวิดและอาสาฟมีเหล่าหัวหน้ากำกับคณะนักร้องและกำกับเพลงสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า

47 ดังนั้นในสมัยของเศรุบบาเบลและเนหะมีย์ ชนอิสราเอลทั้งปวงจึงนำของถวายประจำวันมาถวายสำหรับนักร้องและยามเฝ้าประตูพระวิหาร และพวกเขายังได้กันส่วนหนึ่งไว้สำหรับคนเลวีอื่นๆ คนเลวีเองก็กันส่วนหนึ่งไว้สำหรับวงศ์วานของอาโรนด้วย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/12-b6c76e903308a53b8fb42bac68e0a301.mp3?version_id=179—

Categories
เนหะมีย์

เนหะมีย์ 13

การปฏิรูปครั้งสุดท้ายของเนหะมีย์

1 ในวันนั้นมีการอ่านหนังสือของโมเสสให้ประชาชนฟัง และพบข้อความตอนหนึ่งระบุว่าไม่ให้คนอัมโมนหรือคนโมอับเข้าร่วมที่ประชุมประชากรของพระเจ้าเป็นนิตย์

2 เพราะพวกเขาไม่ยอมให้อาหารและน้ำแก่ชนอิสราเอล กลับจ้างบาลาอัมมาสาปแช่ง (แต่พระเจ้าของเราทรงเปลี่ยนคำแช่งเป็นพร)

3 เมื่อประชาชนได้ยินกฎข้อนี้ ก็แยกวงศ์วานของคนต่างชาติทั้งปวงออกไปจากอิสราเอล

4 ก่อนหน้านี้ปุโรหิตเอลียาชีบมีหน้าที่ดูแลคลังต่างๆ ของพระนิเวศของพระเจ้าของเรา เขาสนิทกับโทบียาห์

5 และได้จัดห้องใหญ่ห้องหนึ่งให้โทบียาห์ ซึ่งเดิมใช้เก็บธัญบูชา เครื่องหอม และเครื่องใช้ในพระวิหาร รวมทั้งสิบลดของข้าว เหล้าองุ่นใหม่กับน้ำมัน ซึ่งเป็นส่วนที่กำหนดไว้สำหรับคนเลวี คณะนักร้องกับยามประตูพระวิหาร และของถวายสำหรับปุโรหิต

6 แต่ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในเยรูซาเล็ม เพราะในปีที่สามสิบสองแห่งรัชกาลกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสแห่งบาบิโลนข้าพเจ้ากลับไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ ต่อมาจึงทูลขออนุญาต

7 และกลับมายังเยรูซาเล็ม เมื่อทราบพฤติกรรมอันชั่วร้ายของเอลียาชีบที่จัดห้องสำหรับโทบียาห์ไว้ในลานพระนิเวศของพระเจ้า

8 ข้าพเจ้าโกรธมากและโยนข้าวของทั้งหมดของโทบียาห์ออกจากห้องนั้น

9 ข้าพเจ้าสั่งให้ชำระห้องนั้นให้บริสุทธิ์ แล้วนำเครื่องใช้ประจำพระนิเวศของพระเจ้า ธัญบูชา และเครื่องหอมเข้ามาไว้ดังเดิม

10 ข้าพเจ้ายังทราบด้วยว่าคนเลวีไม่ได้รับส่วนที่เป็นของพวกเขา ฉะนั้นคนเลวีทุกคนกับคณะนักร้องซึ่งควรจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ก็กลับไปยังไร่นาของตน

11 ข้าพเจ้าจึงตำหนิพวกเจ้าหน้าที่และถามเขาว่า “ทำไมจึงละเลยพระนิเวศของพระเจ้า?” จากนั้นข้าพเจ้าเรียกคนเลวีมาชุมนุมและให้พวกเขาเข้าประจำหน้าที่ดังเดิม

12 ชนยูดาห์ทั้งปวงนำสิบลดของข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมายังคลังพระวิหาร

13 ข้าพเจ้าแต่งตั้งปุโรหิตเชเลมิยาห์ ธรรมาจารย์ศาโดก และเปดายาห์คนเลวีให้ดูแลคลังต่างๆ และแต่งตั้งฮานันบุตรศักเกอร์ ผู้เป็นบุตรของมัททานิยาห์ ให้เป็นผู้ช่วยของพวกเขาเพราะว่าคนเหล่านี้เชื่อถือได้ พวกเขามีหน้าที่แจกจ่ายสิ่งของต่างๆ แก่พี่น้องเผ่าเลวี

14 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ในข้อนี้ และขออย่าทรงลบล้างสิ่งที่ข้าพระองค์ได้ทำอย่างซื่อสัตย์เพื่อพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพระองค์และเพื่อการปรนนิบัติรับใช้ในพระนิเวศ

15 ครั้งนั้นข้าพเจ้าเห็นคนในยูดาห์ย่ำองุ่นในวันสะบาโต และนำเมล็ดข้าวบรรทุกบนหลังลาพร้อมด้วยน้ำองุ่น ผลองุ่น ผลมะเดื่อ และข้าวของนานาชนิดเข้ามาในเยรูซาเล็มในวันสะบาโต ข้าพเจ้าจึงตักเตือนพวกเขาไม่ให้ขายอาหารในวันนั้น

16 คนจากไทระบางคนซึ่งอาศัยในเยรูซาเล็มนำปลาและสินค้านานาชนิดมาขายให้ชาวยูดาห์ในเยรูซาเล็ม ในวันสะบาโต

17 ข้าพเจ้าจึงตำหนิบรรดาขุนนางยูดาห์ว่า “พวกท่านกำลังทำสิ่งชั่วร้ายอะไรกันนี่? ท่านกำลังลบหลู่วันสะบาโต

18 เหล่าบรรพบุรุษก็ทำเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? พระเจ้าของเราจึงทรงนำหายนะทั้งปวงมาเหนือเราและเหนือกรุงนี้ บัดนี้พวกท่านกำลังยั่วยุพระพิโรธที่มีต่ออิสราเอลให้หนักขึ้นอีกโดยละเมิดวันสะบาโตเช่นนี้”

19 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงออกคำสั่งให้ปิดประตูเมืองเยรูซาเล็มเมื่อตกค่ำของวันก่อนสะบาโต และไม่ให้เปิดจนกว่าจะสิ้นสุดวันสะบาโต ทั้งส่งคนของข้าพเจ้าไปประจำที่ประตูต่างๆ เพื่อไม่ให้ใครนำสินค้าเข้ามาในวันสะบาโต

20 มีอยู่ครั้งหรือสองครั้งที่บรรดาพ่อค้าและคนขายของชนิดต่างๆ มาพักแรมอยู่นอกเมืองเยรูซาเล็ม

21 แต่ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาว่า “พวกท่านมาพักแรมอยู่ริมกำแพงทำไม? ถ้าหากทำอย่างนี้อีกเราจะจัดการกับท่าน” ตั้งแต่นั้นพวกเขาก็ไม่ได้มาในวันสะบาโตอีก

22 แล้วข้าพเจ้าจึงสั่งคนเลวีให้ชำระตนและเฝ้ายามอยู่ที่ประตูเพื่อรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ในข้อนี้ด้วย และขอทรงสำแดงความเมตตาต่อข้าพระองค์ตามความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

23 ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้ายังเห็นชาวยูดาห์ที่แต่งงานกับผู้หญิงจากอัชโดด อัมโมน และโมอับ

24 และลูกๆ ของพวกเขาครึ่งหนึ่งพูดภาษาอัชโดดหรือภาษาของชาติใดชาติหนึ่งเหล่านั้น แต่พูดภาษายูดาห์ไม่ได้เลย

25 ข้าพเจ้าจึงติเตียนและสาปแช่งชาวยูดาห์เหล่านั้น ข้าพเจ้าทุบตีชายบางคนและทึ้งผมของพวกเขา และให้เขาเหล่านั้นสาบานในพระนามพระเจ้าว่า “เจ้าจะไม่ยกลูกสาวให้แต่งงานกับบุตรชายของคนพวกนั้น หรือรับลูกสาวของพวกนั้นมาเป็นภรรยาของตนเองหรือของลูกชายของตน

26 ก็การแต่งงานข้ามชาติแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้กษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลทำบาป? ในหมู่ชนชาติทั้งหลายไม่มีกษัตริย์องค์ใดเทียบเทียมโซโลมอน พระองค์เป็นที่รักของพระเจ้า และพระเจ้าทรงตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลทั้งหมด ถึงกระนั้นโซโลมอนก็ถูกหญิงต่างชาติชักนำให้ทำบาป

27 ตอนนี้จะให้เราทนฟังว่าพวกท่านก็ทำสิ่งชั่วร้ายอย่างเดียวกัน และทรยศต่อพระเจ้าโดยไปแต่งงานกับหญิงต่างชาติหรือ?”

28 บุตรชายคนหนึ่งของโยยาดาบุตรมหาปุโรหิตเอลียาชีบได้แต่งงานกับบุตรสาวคนหนึ่งของสันบาลลัทชาวโฮโรนาอิม ข้าพเจ้าจึงขับไล่เขาออกไปให้พ้นหน้า

29 ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงจดจำคนเหล่านี้ เพราะเขาสร้างมลทินแก่ตำแหน่งปุโรหิตและพันธสัญญาของการเป็นปุโรหิตกับพันธสัญญาของคนเลวี

30 เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ชำระหมู่ปุโรหิตกับคนเลวีจากทุกสิ่งของคนต่างชาติ และมอบหมายงานให้แต่ละคนตามหน้าที่

31 ข้าพเจ้ายังได้จัดให้หาฟืนมาถวายตามเวลาที่กำหนดและให้คอยดูแลผลแรก

ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ด้วยความโปรดปรานเถิด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NEH/13-9d0327851a0c1c47c487a22f5a008aed.mp3?version_id=179—

Categories
เอสเธอร์

เอสเธอร์ 1

พระนางวัชทีถูกปลด

1 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสมัยของกษัตริย์เซอร์ซีสผู้ทรงปกครอง 127 มณฑลจากอินเดียถึงคูช

2 ครั้งนั้นกษัตริย์เซอร์ซีสทรงครองราชบัลลังก์ในป้อมเมืองสุสา

3 และในปีที่สามแห่งรัชกาลของพระองค์ พระองค์ทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ประทานแก่เหล่าขุนนางและข้าราชบริพาร บรรดาแม่ทัพนายกองแห่งมีเดียและเปอร์เซีย เจ้านายและขุนนางจากทุกมณฑลล้วนมาเข้าเฝ้า

4 กษัตริย์ทรงแสดงความมั่งคั่งของราชอาณาจักร พระเกียรติ บารมี และความโอ่อ่าตระการตลอด 180 วัน

5 หลังจากนั้นกษัตริย์ทรงจัดงานเลี้ยงเจ็ดวันที่ลานอุทยานของพระราชวังสำหรับทุกคนที่อยู่ในป้อมเมืองสุสา ตั้งแต่ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดลงมาถึงผู้น้อยที่สุด

6 ในอุทยานมีม่านลินินสีขาวและสีน้ำเงินร้อยด้วยเชือกลินินสีขาวและสีม่วงเข้ากับห่วงเงินบนเสาหินอ่อน มีตั่งทองคำและเงินตั้งอยู่ตามบาทวิถีซึ่งฝังหินแดง หินอ่อน หอยมุก และพลอยราคาแพงอื่นๆ

7 เหล้าองุ่นที่นำออกมาแจกจ่ายบรรจุในภาชนะทองคำ แต่ละใบมีรูปทรงและลวดลายไม่ซ้ำกัน กษัตริย์ทรงประทานเหล้าองุ่นหลวงให้ดื่มอย่างเหลือเฟือ

8 แขกแต่ละคนดื่มได้ตามใจชอบ เพราะพระองค์ทรงบัญชาพนักงานฝ่ายเหล้าองุ่นให้นำมาบริการตามความพอใจของทุกคน

9 พระราชินีวัชทีก็ทรงจัดงานเลี้ยงสำหรับเหล่าสตรีในราชสำนักของกษัตริย์เซอร์ซีสด้วย

10 ในวันที่เจ็ดเมื่อกษัตริย์เซอร์ซีสสำราญพระทัยด้วยเหล้าองุ่นก็ตรัสเรียกขันทีประจำพระองค์ทั้งเจ็ดคือ เมหุมาน บิสธา ฮารโบนา บิกธา อาบักธา เศธาร์ และคารคัส

11 ให้ไปทูลเชิญพระนางวัชทีสวมมงกุฎมาเข้าเฝ้าพระองค์ เพื่อให้ประชาชนและเหล่าขุนนางได้ยลโฉมเพราะพระนางทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก

12 แต่เมื่อคนเหล่านี้ไปทูลเชิญตามพระบัญชาของกษัตริย์ พระนางไม่ยอมมา กษัตริย์จึงทรงพระพิโรธยิ่งนัก

13 เนื่องจากเป็นประเพณีที่กษัตริย์จะต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม พระองค์จึงตรัสกับเหล่านักปราชญ์ผู้เข้าใจยุคสมัย

14 ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดกษัตริย์ที่สุดได้แก่ คารเชนา เชธาร์ อัดมาธา ทารชิช เมเรส มารเสนา และเมมูคาน ขุนนางทั้งเจ็ดแห่งมีเดียและเปอร์เซีย ซึ่งเป็นผู้ที่มีสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้ากษัตริย์และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในราชอาณาจักร

15 พระองค์ตรัสถามว่า “กฎหมายระบุให้ทำอย่างไรบ้างกับพระนางวัชทีซึ่งไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์เซอร์ซีสตามที่ให้ขันทีไปเชิญ?”

16 แล้วเมมูคานทูลตอบต่อหน้ากษัตริย์และต่อหน้าเหล่าขุนนางว่า “พระนางวัชทีไม่ได้ทรงทำผิดต่อองค์กษัตริย์เท่านั้น แต่ต่อขุนนางและประชาราษฎร์ทั้งปวงในทุกมณฑลของกษัตริย์เซอร์ซีสด้วย

17 เพราะหญิงทั้งปวงจะรู้ถึงการกระทำของพระนาง และจะพากันดูแคลนสามี และพูดกันว่า ‘กษัตริย์เซอร์ซีสทรงบัญชาให้พระราชินีวัชทีไปเข้าเฝ้า แต่พระนางไม่ยอมไป’

18 ในวันนี้บรรดาหญิงสูงศักดิ์แห่งมีเดียและเปอร์เซียซึ่งได้ยินการกระทำของพระนางวัชที ก็จะปฏิบัติต่อขุนนางของกษัตริย์ในทำนองเดียวกัน จะทำให้ขาดความเคารพและเกิดความขัดแย้งไม่มีที่สิ้นสุด

19 “ฉะนั้นหากฝ่าพระบาททรงดำริชอบ ขอให้ร่างพระราชโองการเป็นกฎหมายของชาวมีเดียและเปอร์เซียซึ่งจะล้มเลิกไม่ได้ ห้ามพระนางวัชทีเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทอีก ทั้งให้ฝ่าพระบาทประทานตำแหน่งพระราชินีแก่คนอื่นซึ่งดีกว่าพระนาง

20 เมื่อประกาศพระราชโองการนี้ทั่วราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของฝ่าพระบาทแล้ว หญิงทั้งปวงจะเคารพสามี ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

21 กษัตริย์และขุนนางทั้งปวงเห็นชอบในคำทูลนี้ ฉะนั้นกษัตริย์ทรงทำตามที่เมมูคานทูลเสนอ

22 และมีพระราชสาส์นออกไปยังทุกมณฑลทั่วราชอาณาจักร เป็นภาษาถิ่นครบทุกภาษา ประกาศว่าผู้ชายทุกคนเป็นผู้ปกครองเหนือครัวเรือนของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EST/1-5a90fddb794bc9aa03f7e8d6fa1a268a.mp3?version_id=179—

Categories
เอสเธอร์

เอสเธอร์ 2

เอสเธอร์ได้รับเลือกเป็นราชินี

1 ต่อมาเมื่อพระพิโรธของกษัตริย์เซอร์ซีสสงบลงแล้ว พระองค์ทรงคิดถึงพระนางวัชที ตลอดจนสิ่งที่พระนางได้ทำและพระราชโองการของพระองค์เองเกี่ยวกับพระนาง

2 แล้วข้าราชบริพารส่วนพระองค์จึงทูลเสนอว่า “ควรเฟ้นหาหญิงสาวพรหมจารีผู้งดงามมาถวายกษัตริย์

3 ขอทรงตั้งเจ้าพนักงานในแต่ละมณฑลของอาณาจักรของพระองค์ให้เฟ้นหาตัวหญิงสาวโฉมงามทั้งหมด และนำตัวมายังฮาเร็มในป้อมเมืองสุสา ให้อยู่ในความดูแลของเฮกัยขันทีของกษัตริย์ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับเหล่าสตรี และให้พวกนางรับการประทินโฉม

4 หลังจากนั้นให้สตรีซึ่งฝ่าพระบาทโปรดปรานเป็นราชินีแทนพระนางวัชที” กษัตริย์ก็พอพระทัยความคิดนี้และให้ลงมือปฏิบัติ

5 ครั้งนั้นในป้อมเมืองสุสา มีชายชาวยิวจากเผ่าเบนยามินคนหนึ่งชื่อโมรเดคัย ผู้เป็นบุตรของยาอีร์ ผู้เป็นบุตรของชิเมอี ผู้เป็นบุตรของคีช

6 เขาถูกจับมาเป็นเชลยเมื่อครั้งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกวาดต้อนเชลยมาจากเยรูซาเล็มพร้อมกษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์

7 โมรเดคัยมีลูกพี่ลูกน้องเป็นหญิงสาวรูปโฉมงามน่ารักชื่อ ฮาดัสสาห์หรือเอสเธอร์ เขาเลี้ยงดูนางเป็นบุตรสาวบุญธรรมหลังจากที่บิดามารดาของนางสิ้นชีวิต

8 เนื่องด้วยพระราชโองการของกษัตริย์ หญิงสาวหลายคนจึงถูกนำมาอยู่ที่ป้อมเมืองสุสาในความดูแลของเฮกัย และเอสเธอร์ก็ถูกนำมาที่พระราชวังของกษัตริย์และอยู่ในความดูแลของเฮกัยผู้ดูแลฮาเร็มเช่นกัน

9 เฮกัยเอ็นดูและพอใจเอสเธอร์มาก เขาจึงรีบจัดหาเครื่องประทินโฉมและอาหารพิเศษให้นางทันที ทั้งจัดเด็กหญิงเจ็ดคนซึ่งคัดเลือกจากพระราชวังมาคอยรับใช้นาง และให้นางกับสาวใช้ย้ายไปอยู่ที่ที่ดีที่สุดในฮาเร็ม

10 เอสเธอร์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องเชื้อชาติและภูมิหลังครอบครัวของนางเพราะโมรเดคัยสั่งห้ามไว้

11 ทุกวันโมรเดคัยจะเดินวนเวียนแถวๆ ลานฮาเร็ม เพื่อถามข่าวคราวและความเป็นไปของเอสเธอร์

12 ก่อนถึงเวรที่หญิงสาวแต่ละคนเข้าเฝ้ากษัตริย์เซอร์ซีส พวกนางจะต้องรับการประทินโฉมครบสิบสองเดือนตามที่กำหนดไว้คือ หกเดือนแรกบำรุงด้วยน้ำมันมดยอบ จากนั้นบำรุงด้วยน้ำหอมและเครื่องประทินผิวอีกหกเดือน

13 เมื่อถึงรอบที่แต่ละคนจะเข้าเฝ้ากษัตริย์ จะขอนำอะไรจากฮาเร็มไปพระราชวังด้วยก็ได้

14 ในเวลาเย็นนางจะเข้าวัง และเช้าวันรุ่งขึ้นจะกลับไปอยู่อีกตำหนักหนึ่งในฮาเร็มซึ่งอยู่ในความดูแลของชาอัชกาสขันทีของกษัตริย์ผู้คอยดูแลพวกสนม นางจะไม่ได้เฝ้ากษัตริย์อีกเว้นเสียแต่ว่าพระองค์ทรงโปรดและเอ่ยนามเรียกตัวนางมาเข้าเฝ้า

15 เมื่อถึงรอบของเอสเธอร์ที่จะเข้าเฝ้ากษัตริย์ (หญิงสาวที่โมรเดคัยรับเป็นบุตรบุญธรรม นางเป็นบุตรสาวของอาบีฮายิล ผู้เป็นลุงของโมรเดคัย) นางไม่ได้ขอสิ่งใดนอกจากที่ขันทีเฮกัยผู้ดูแลฮาเร็มแนะนำ และทุกคนที่เห็นเอสเธอร์ก็ชื่นชอบนาง

16 เอสเธอร์ถูกนำมาเข้าเฝ้ากษัตริย์เซอร์ซีสในพระราชวังเมื่อเดือนเทเบท ซึ่งเป็นเดือนที่สิบปีที่เจ็ดแห่งรัชกาล

17 กษัตริย์พอพระทัยเอสเธอร์มากกว่าหญิงอื่นทั้งปวง พระองค์โปรดปรานและพอพระทัยนางมากกว่าหญิงพรหมจารีคนอื่นๆ จึงสวมมงกุฎให้และตั้งนางเป็นราชินีแทนพระนางวัชที

18 และกษัตริย์ทรงจัดงานเลี้ยงใหญ่ประทานแก่ขุนนางและข้าราชบริพารทั้งปวงเพื่อเอสเธอร์ พระองค์ทรงประกาศวันหยุดทั่วทุกมณฑล และประทานของขวัญด้วยพระทัยกว้างขวาง

โมรเดคัยทูลเรื่องแผนการของคนร้าย

19 เมื่อมีการเฟ้นตัวหญิงสาวพรหมจารีครั้งที่สอง โมรเดคัยนั่งประจำอยู่ที่ประตูพระราชวัง

20 แต่เอสเธอร์ยังคงไม่เปิดเผยเชื้อชาติและภูมิหลังครอบครัวของพระนางตามที่โมรเดคัยสั่งไว้ พระนางยังคงปฏิบัติตามคำสั่งของโมรเดคัยเหมือนตอนที่เขายังเลี้ยงดูพระนาง

21 ในช่วงที่โมรเดคัยนั่งประจำอยู่ที่ประตูพระราชวัง ข้าราชการสองคนซึ่งเป็นยามเฝ้าประตู คือบิกธานาและเทเรช มีเรื่องแค้นเคืองและคบคิดกันจะลอบปลงพระชนม์กษัตริย์เซอร์ซีส

22 แต่โมรเดคัยล่วงรู้และนำความไปแจ้งพระนางเอสเธอร์ พระนางจึงขึ้นกราบทูลกษัตริย์และทูลว่าเป็นความดีความชอบของโมรเดคัย

23 มีการสอบสวนเรื่องนี้และพบว่าเป็นความจริง ข้าราชบริพารทั้งสองจึงถูกแขวนคอที่ตะแลงแกงเรื่องราวทั้งหมดบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุรัชกาลกษัตริย์เซอร์ซีส

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EST/2-17045d2d98dfd5e904728e2c1885fb58.mp3?version_id=179—

Categories
เอสเธอร์

เอสเธอร์ 3

ฮามานวางแผนทำลายชาวยิว

1 หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้กษัตริย์เซอร์ซีสทรงยกย่องฮามานบุตรฮัมเมดาธาชาวอากัก แต่งตั้งให้เป็นอัครมหาเสนาบดีซึ่งมียศสูงกว่าขุนนางทั้งปวง

2 ข้าราชบริพารทั้งสิ้นที่ประตูพระราชวังคุกเข่าแสดงความเคารพฮามานตามที่กษัตริย์ทรงบัญชาไว้ แต่โมรเดคัยไม่ยอมคุกเข่าหรือให้เกียรติฮามาน

3 แล้วเหล่าข้าราชบริพารที่ประตูวังถามโมรเดคัยว่า “ทำไมท่านจึงฝ่าฝืนพระบัญชาของกษัตริย์?”

4 พวกเขาพากันพูดวันแล้ววันเล่าแต่โมรเดคัยยังไม่ยอมทำตาม ในที่สุดคนเหล่านั้นไปบอกฮามานเพื่อดูว่าโมรเดคัยจะลอยนวลไปได้หรือไม่ เพราะโมรเดคัยเคยบอกคนเหล่านั้นว่าเขาเป็นชาวยิว

5 เมื่อฮามานเห็นว่าโมรเดคัยไม่ยอมคุกเข่าหรือให้เกียรติตนก็โกรธจัด

6 แต่เมื่อฮามานรู้ว่าโมรเดคัยเป็นชาวยิว เขาก็รู้สึกไม่สาแก่ใจที่จะกำจัดโมรเดคัยเพียงคนเดียว ฮามานจึงหาช่องทางทำลายล้างชาวยิวซึ่งเป็นชนชาติของโมรเดคัยให้หมดสิ้นไปจากราชอาณาจักรของเซอร์ซีส

7 ในเดือนนิสานซึ่งเป็นเดือนที่หนึ่งในปีที่สิบสองแห่งรัชกาลของกษัตริย์เซอร์ซีส พวกเขาทอดเปอร์ (คือสลาก) ต่อหน้าฮามานเพื่อหาวันและเดือน สลากนั้นตกที่เดือนอาดาร์ซึ่งเป็นเดือนที่สิบสอง

8 แล้วฮามานเข้าไปกราบทูลกษัตริย์เซอร์ซีสว่า “มีชนชาติหนึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมณฑลในราชอาณาจักรของพระองค์ ขนบธรรมเนียมของเขาก็แตกต่างจากชนชาติอื่นๆ ทั้งปวง และพวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมายของกษัตริย์ ฉะนั้นจะไม่เป็นผลดีแก่ฝ่าพระบาทที่จะยอมผ่อนปรนให้พวกเขา

9 หากพระองค์ทรงเห็นชอบด้วย ขอทรงออกพระราชกฤษฎีกาให้ทำลายล้างคนเหล่านี้ และข้าพระบาทจะขอถวายเงินหนักประมาณ 345 ตันเข้าพระคลังหลวงสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการนี้”

10 กษัตริย์จึงถอดแหวนตราประทานแก่ฮามานบุตรฮัมเมดาธาชาวอากักศัตรูของชนชาติยิว

11 และตรัสว่า “เก็บเงินไว้เถิด เจ้าจะทำอะไรกับชนชาตินั้นก็ได้ตามใจชอบ”

12 ฉะนั้นในวันที่สิบสามของเดือนที่หนึ่ง ฮามานเรียกตัวเหล่าอาลักษณ์หลวงมาให้ออกพระราชสาส์นในพระนามกษัตริย์เซอร์ซีสถึงบรรดาผู้ว่าการและขุนนางมณฑลต่างๆ ทั่วจักรวรรดิ ใช้ภาษาถิ่นของแต่ละมณฑล แล้วประทับด้วยแหวนตรา

13 จากนั้นผู้ส่งสาส์นเชิญพระราชสาส์นไปยังทุกมณฑลในจักรวรรดิ เป็นพระราชโองการประกาศให้ฆ่าและทำลายล้างชาวยิวทั้งหมดไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ ตลอดจนผู้หญิงและเด็กเล็กภายในวันเดียว คือวันที่สิบสามของเดือนอาดาร์ซึ่งเป็นเดือนที่สิบสอง แล้วริบทรัพย์สมบัติของพวกเขา

14 ให้ออกสำเนาของพระราชโองการเป็นกฎหมายในทุกมณฑลเพื่อประชาชนทุกเชื้อชาติจะได้ทราบทั่วกันและจะได้เตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น

15 เมื่อกษัตริย์มีพระราชโองการแล้ว ผู้ส่งสาส์นก็เร่งนำพระราชสาส์นไป หลังจากออกประกาศในป้อมเมืองสุสาแล้ว กษัตริย์ก็ประทับลงเสวยน้ำจัณฑ์ร่วมกับฮามาน แต่ผู้คนในเมืองสุสาวุ่นวายใจ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EST/3-910b4dfc811bef21cb535e80607c5813.mp3?version_id=179—

Categories
เอสเธอร์

เอสเธอร์ 4

โมรเดคัยขอให้เอสเธอร์ช่วย

1 เมื่อโมรเดคัยรู้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็ฉีกเสื้อผ้า นุ่งห่มผ้ากระสอบ โปรยขี้เถ้าใส่ตัว และเข้าไปในตัวเมือง ร้องไห้เสียงดังอย่างรันทด

2 แต่โมรเดคัยมาได้แค่ที่ประตูพระราชวังเท่านั้น เพราะผู้สวมเสื้อผ้ากระสอบจะไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไป

3 ชาวยิวทั้งหลายในทุกมณฑลซึ่งพระราชโองการของกษัตริย์ไปถึงก็ทุกข์โศกแสนสาหัส พวกเขาอดอาหาร ร้องไห้คร่ำครวญ หลายคนนุ่งห่มผ้ากระสอบและนอนบนกองขี้เถ้า

4 เมื่อนางกำนัลและขันทีของเอสเธอร์มาทูลเรื่องโมรเดคัย พระนางก็ทรงทุกข์โศกยิ่งนัก จึงประทานเสื้อผ้าไปให้โมรเดคัยผลัดเปลี่ยนแทนผ้ากระสอบ แต่เขาไม่ยอมรับเสื้อผ้าเหล่านั้น

5 เอสเธอร์จึงให้ตามตัวขันทีฮาธาคซึ่งมีหน้าที่รับใช้พระนางและบัญชาให้เขาออกไปพบโมรเดคัยเพื่อไต่ถามถึงสาเหตุและความทุกข์ร้อนของเขา

6 ฮาธาคจึงออกไปพบโมรเดคัยที่ลานเมืองหน้าประตูพระราชวัง

7 โมรเดคัยเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งเรื่องจำนวนเงินที่ฮามานสัญญาจะมอบเข้าพระคลังหลวงเพื่อการทำลายล้างชาวยิว

8 โมรเดคัยยังมอบสำเนาพระราชโองการที่ประกาศในป้อมเมืองสุสาให้ทำลายล้างชาวยิวแก่ฮาธาค กำชับให้นำไปมอบแด่เอสเธอร์และให้ทูลความเป็นไป พร้อมทั้งให้ฮาธาคเร่งพระนางให้เสด็จไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อทูลวิงวอนสำหรับพี่น้องร่วมชาติของพระนาง

9 ฮาธาคนำความจากโมรเดคัยกลับไปทูลเอสเธอร์

10 เอสเธอร์สั่งเขาให้กลับมาบอกโมรเดคัยว่า

11 “ข้าราชบริพารและประชาชนทั้งปวงย่อมรู้กฎดีว่า ผู้ใดก็ตามไม่ว่าชายหรือหญิงที่ล่วงล้ำเข้าไปในพระราชฐานชั้นในโดยไม่มีหมายเรียกให้เข้าเฝ้าย่อมมีโทษถึงตาย เว้นแต่กษัตริย์จะทรงยื่นคทาทองคำออกมาโปรด กษัตริย์ไม่ได้ตรัสเรียกข้าพเจ้าเข้าเฝ้ามากว่าสามสิบวันแล้ว”

12 เมื่อมีคนนำคำตรัสของเอสเธอร์มาบอกกับโมรเดคัย

13 โมรเดคัยตอบกลับมาว่า “อย่าคิดว่าเจ้าอยู่ในราชวังนี้แล้วจะเป็นชาวยิวคนเดียวที่รอดพ้นไปได้

14 หากเจ้านิ่งเงียบอยู่ในยามนี้ การกอบกู้และปลดปล่อยชาวยิวจะมาจากแหล่งอื่น ส่วนเจ้ากับครอบครัวของบิดาของเจ้าจะพินาศ บางทีที่เจ้ามารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามคับขันนี้ก็เป็นได้ ใครจะรู้?”

15 แล้วเอสเธอร์จึงให้คนมาบอกโมรเดคัยว่า

16 “ขอให้ท่านรวบรวมชาวยิวทั้งหมดในป้อมเมืองสุสาให้ถืออดอาหารเพื่อข้าพเจ้า อย่ากินหรือดื่มอะไรตลอดสามวันสามคืน ข้าพเจ้ากับเหล่านางกำนัลก็จะถืออดอาหารเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นข้าพเจ้าจะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้ขัดกับกฎหมายก็ตามที ถ้าข้าพเจ้าต้องพินาศ ข้าพเจ้าก็ยอม”

17 ดังนั้นโมรเดคัยจึงไปทำตามที่เอสเธอร์รับสั่ง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EST/4-b77bb5f272f03435df0e11e7534fd258.mp3?version_id=179—