Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 11

พยานทั้งสอง

1 ข้าพเจ้าได้รับไม้อ้ออันหนึ่ง รูปร่างเหมือนไม้วัด และได้รับคำสั่งว่า “จงไปวัดพระวิหารของพระเจ้ากับแท่นบูชาและนับจำนวนผู้นมัสการที่นั่น

2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกเนื่องจากที่นั่นยกให้คนต่างชาติแล้ว เขาทั้งหลายจะเหยียบย่ำนครศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลา 42 เดือน

3 เราจะมอบฤทธิ์อำนาจให้แก่พยานทั้งสองของเรา พวกเขาจะนุ่งห่มผ้ากระสอบและเผยพระวจนะเป็นเวลา 1,260 วัน

4 พยานทั้งสองคือต้นมะกอกสองต้นและคันประทีปสองคันซึ่งอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของโลก”

5 ไฟจะพุ่งออกจากปากพยานทั้งสอง เผาผลาญผู้คิดจะมาทำร้าย ผู้ใดคิดจะทำอันตรายพยานทั้งสองจะต้องตายเช่นนี้

6 ทั้งสองมีฤทธิ์อำนาจที่จะปิด ท้องฟ้าไม่ให้ฝนตกขณะกำลังเผยพระวจนะและมีฤทธิ์ทำให้น้ำกลายเป็นเลือด ตลอดจนบันดาลภัยพิบัติทุกชนิดมากระหน่ำโลกกี่ครั้งก็ได้ตามที่ประสงค์

7 และเมื่อทั้งสองเป็นพยานเสร็จแล้ว สัตว์ร้ายจากนรกขุมลึกจะขึ้นมาทำร้ายพวกเขา มันจะเอาชนะเขาและฆ่าเขา

8 ซากศพของพยานทั้งสองจะถูกทิ้งอยู่กลางถนนแห่งมหานครซึ่งได้รับสมญานามว่า โสโดมและอียิปต์ ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาถูกตรึงบนไม้กางเขน

9 ตลอดสามวันครึ่งผู้คนจากทุกหมู่ชน ทุกตระกูล ทุกภาษา และทุกชนชาติจะมาจ้องมองซากศพของเขา และไม่ยอมให้ฝังศพนั้น

10 ชาวโลกทั้งหลายจะมองศพของเขาด้วยความยินดีและจะเฉลิมฉลองให้ของขวัญแก่กัน เพราะผู้เผยพระวจนะทั้งสองได้ทรมานบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก

11 แต่หลังจากสามวันครึ่งแล้วพระเจ้าทรงระบายลมหายใจแห่งชีวิตเข้าในร่างนั้น เขาทั้งสองจึงลุกขึ้นยืน คนที่พบเห็นก็หวาดกลัวยิ่งนัก

12 แล้วพวกเขาได้ยินเสียงดังจากฟ้าสวรรค์กล่าวว่า “จงขึ้นมาที่นี่” พยานนั้นก็ขึ้นไปในเมฆสู่สวรรค์ขณะที่เหล่าศัตรูของเขามองดูอยู่

13 ในชั่วโมงนั้นเองเกิดแผ่นดินไหวร้ายแรง และหนึ่งในสิบของเมืองนั้นถล่มลง มีคนตายเจ็ดพันคนในแผ่นดินไหวครั้งนี้ ส่วนผู้ที่รอดชีวิตตกใจกลัวและถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์

14 วิบัติที่สองได้ผ่านพ้นไป วิบัติที่สามจะมาถึงในไม่ช้านี้

แตรคันที่เจ็ด

15 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเป่าแตรและมีเสียงดังหลายเสียงในสวรรค์กล่าวว่า

“ราชอาณาจักรของโลกนี้ได้กลับมาเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรากับพระคริสต์ของพระองค์แล้ว และพระองค์จะทรงครองอาณาจักรเป็นนิตย์”

16 แล้วผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งบนบัลลังก์ของตนต่อหน้าพระเจ้าก็หมอบซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า

17 ทูลว่า

“ข้าพระองค์ทั้งหลายขอบคุณพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

ผู้ทรงดำรงอยู่ในปัจจุบันและผู้ทรงดำรงอยู่ในอดีต

เพราะพระองค์ได้ทรงสำแดงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์

และได้ทรงเริ่มครอบครองอาณาจักรแล้ว

18 บรรดาประชาชาติโกรธกริ้ว

แต่พระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว

และเวลานั้นได้มาถึงแล้ว เวลาที่จะทรงพิพากษาคนที่ได้ตายไป

เวลาที่จะประทานบำเหน็จแก่เหล่าผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์

และแก่ประชากรของพระองค์และบรรดาผู้ยำเกรงพระนามของพระองค์

ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย

และเวลาที่จะทรงทำลายบรรดาผู้ที่ทำลายโลก”

19 แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก และข้าพเจ้าเห็นหีบพันธสัญญาภายในพระวิหารของพระองค์ และเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง แผ่นดินไหว และพายุลูกเห็บครั้งร้ายแรง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/11-30a198cbeac979ad95d66cd0bd6c7599.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 12

ผู้หญิงและพญานาค

1 มีหมายสำคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์คือ หญิงคนหนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ ดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า และดาวสิบสองดวงเป็นมงกุฎบนศีรษะ

2 หญิงนั้นตั้งครรภ์และร้องด้วยความเจ็บปวดเพราะจวนจะคลอดแล้ว

3 จากนั้นมีหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในสวรรค์คือ พญานาคใหญ่สีแดงตัวหนึ่ง มีเจ็ดหัวและสิบเขา ทั้งเจ็ดหัวสวมมงกุฎ

4 หางของมันตวัดหนึ่งในสามของดวงดาวในท้องฟ้าทิ้งลงมาบนโลก พญานาคนั้นยืนอยู่หน้าหญิงที่กำลังจะคลอดเพื่อมันจะได้กินทารกในทันทีที่เกิดมา

5 หญิงนั้นคลอดบุตรชายผู้ซึ่งจะปกครองมวลประชาชาติด้วยคทาเหล็ก บุตรนั้นถูกฉวยออกมาและนำขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้า ไปยังพระที่นั่งของพระองค์

6 ส่วนหญิงนั้นหนีไปยังถิ่นกันดารสู่ที่พำนักซึ่งพระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับนาง ที่นั่นนางจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นเวลา 1,260 วัน

7 และเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอลกับทูตสวรรค์ของเขาสู้รบกับพญานาคและสมุนของมัน

8 ฝ่ายของพญานาคพ่ายแพ้ ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์

9 พญานาคใหญ่ถูกเหวี่ยงลงมา พญานาคนี้คืองูดึกดำบรรพ์ที่เรียกกันว่า มาร หรือ ซาตาน ผู้ล่อลวงคนทั้งโลกให้หลงผิด มันถูกเหวี่ยงลงมาบนโลกพร้อมกับทูตสวรรค์ของมัน

10 แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า

“บัดนี้ความรอด เดชานุภาพ และราชอาณาจักรของพระเจ้าของเรา

และสิทธิอำนาจแห่งพระคริสต์ของพระองค์มาถึงแล้ว

เพราะผู้กล่าวโทษบรรดาพี่น้องของเรา

ซึ่งกล่าวโทษเขาต่อหน้าพระเจ้า

ของเราทั้งวันทั้งคืน

ได้ถูกเหวี่ยงลงไปแล้ว

11 พวกเขาชนะพญามาร

โดยพระโลหิตของพระเมษโปดก

และโดยคำพยานของตน

พวกเขาไม่กลัวตาย

ไม่เสียดายชีวิต

12 เพราะฉะนั้นสวรรค์และชาวสวรรค์เอ๋ย

จงชื่นชมยินดีเถิด!

แต่วิบัติแก่แผ่นดินและทะเล

เพราะมารได้ลงไปหาเจ้า!

ด้วยความโกรธยิ่งนัก

เนื่องจากรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”

13 เมื่อพญานาคเห็นว่าตนถูกทิ้งลงบนโลกก็ไล่ล่าหญิงซึ่งคลอดบุตรชายนั้น

14 หญิงนั้นได้รับปีกพญาอินทรีสองปีกเพื่อจะได้บินไปยังที่ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้นางในถิ่นกันดาร ที่นั่นนางจะได้รับการปกป้องเลี้ยงดูให้พ้นจากพญานาคตลอดหนึ่งวาระ สองวาระและครึ่งวาระ

15 พญานาคนั้นก็พ่นน้ำออกมามากมายเหมือนแม่น้ำเพื่อซัดนางให้ลอยไปตามกระแสน้ำ

16 แต่แผ่นดินช่วยนางไว้ มันแยกออกสูบเอาแม่น้ำซึ่งพญานาคพ่นออกจากปากลงไป

17 แล้วพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้นและไปทำสงครามกับลูกหลานของนางที่เหลือคือ คนเหล่านั้นที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและยึดมั่นในคำพยานเรื่องพระเยซู

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/12-a83decfd79cadad3d442ece80ec6d95e.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 13

1 ส่วนพญานาคยืนอยู่ริมหาด

สัตว์ร้ายจากทะเล

และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละเขามีมงกุฎสวมอยู่และแต่ละหัวมีชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้า

2 สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคล้ายเสือดาว แต่มีตีนเหมือนตีนหมีและมีปากเหมือนปากสิงโต พญานาคยกบัลลังก์กับอำนาจยิ่งใหญ่ของมันให้แก่สัตว์ร้ายนั้น

3 หัวหนึ่งของสัตว์ร้ายนั้นดูเหมือนเคยมีแผลฉกรรจ์ปางตายแต่หายสนิทแล้ว ทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ

4 ผู้คนกราบนมัสการพญานาคเพราะมันให้อำนาจแก่สัตว์ร้ายและกราบนมัสการสัตว์ร้ายด้วย พวกเขาถามกันว่า “ใครเล่าจะเหมือนสัตว์นี้? ผู้ใดจะสู้รบกับมันได้?”

5 สัตว์ร้ายนั้นได้รับอนุญาตให้กล่าวถ้อยคำยโสโอหังและหมิ่นประมาทพระเจ้า มันได้รับอนุญาตให้ใช้อำนาจของมันเป็นเวลา 42 เดือน

6 มันเอ่ยปากลบหลู่พระเจ้า กล่าวร้ายพระนามของพระองค์ตลอดจนที่ประทับและชาวสวรรค์

7 มันได้รับอำนาจที่จะสู้รบกับประชากรของพระเจ้าและมีชัยชนะ มันได้รับสิทธิอำนาจเหนือทุกเผ่า ทุกหมู่ชน ทุกภาษา และทุกชนชาติ

8 ชาวโลกทั้งมวลจะกราบนมัสการสัตว์ร้ายนั้น คือคนทั้งปวงที่ไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเมษโปดกผู้ถูกประหารตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก

9 ใครมีหูก็จงฟังเถิด

10 ถ้าผู้ใดถูกกำหนดให้เป็นเชลย

ผู้นั้นก็จะตกเป็นเชลย

ถ้าผู้ใดถูกกำหนดให้ตายด้วยดาบ

ผู้นั้นก็จะถูกดาบปลิดชีวิต

ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าต้องมีความทรหดอดทนและความสัตย์ซื่อ

สัตว์ร้ายจากแผ่นดิน

11 แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มีสองเขาเหมือนลูกแกะแต่พูดเหมือนพญานาค

12 มันเป็นตัวแทนใช้อำนาจทั้งสิ้นของสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น และทำให้โลกกับชาวโลกกราบไหว้สัตว์ร้ายตัวแรกซึ่งมีรอยแผลฉกรรจ์ที่หายสนิทแล้ว

13 มันแสดงหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ ถึงขนาดให้ไฟตกจากฟ้าสวรรค์ลงมาสู่โลกต่อหน้าต่อตาผู้คน

14 เนื่องด้วยหมายสำคัญเหล่านี้ที่มันได้รับอำนาจให้ทำการแทนสัตว์ร้ายตัวแรก มันล่อลวงชาวโลก สั่งให้พวกเขาสร้างรูปจำลองขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สัตว์ร้ายที่ถูกฟันด้วยดาบแต่ยังไม่ตายนั้น

15 มันได้รับอำนาจที่จะให้ลมหายใจแก่รูปจำลองของสัตว์ร้ายตัวแรกเพื่อให้รูปจำลองนั้นพูดได้และทำให้คนทั้งปวงที่ไม่ยอมบูชารูปจำลองถูกฆ่าตาย

16 มันยังบังคับทุกๆ คนไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย คนรวยคนจน ทาสหรือไทให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือหน้าผาก

17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อหรือหมายเลขประจำชื่อของสัตว์ร้ายนั้น

18 ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญา ผู้ใดมีความเข้าใจก็จงตรึกตรองหมายเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะหมายเลขนั้นแทนชื่อบุคคลหนึ่ง หมายเลขของเขาคือ 666

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/13-5e2bca13408ffc8f8f9a52c4009db959.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 14

พระเมษโปดกกับชน 144,000 คน

1 แล้วข้าพเจ้ามองไปเห็นพระเมษโปดกประทับยืนอยู่บนภูเขาศิโยนกับชน 144,000 คนซึ่งมีพระนามของพระองค์และพระบิดาเขียนไว้บนหน้าผาก

2 และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์เหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนเสียงเพลงที่เหล่านักพิณบรรเลง

3 และเขาทั้งหลายขับร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่งต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่และเหล่าผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถร้องเพลงบทนั้นได้ นอกจากชน 144,000 คนที่ทรงไถ่ไว้จากแผ่นดินโลก

4 คนเหล่านี้ไม่ข้องแวะกับสตรีเพศให้เป็นมลทินเพราะพวกเขารักษาตัวให้บริสุทธิ์ พวกเขาตามเสด็จพระเมษโปดกไปทุกแห่ง พวกเขาเป็นผู้ที่ทรงไถ่ไว้จากมวลมนุษย์เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้าและพระเมษโปดก

5 ไม่มีคำมุสาจากปากของเขา พวกเขาไม่มีตำหนิด่างพร้อยเลย

ทูตสวรรค์ทั้งสาม

6 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะขึ้นไปกลางอากาศและประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่ชาวโลกทุกชนชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกหมู่ชน

7 ทูตนั้นประกาศเสียงดังว่า “จงยำเกรงพระเจ้าและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์เพราะวาระแห่งการทรงพิพากษามาถึงแล้ว จงกราบนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเลและบ่อน้ำพุทั้งหลาย”

8 ทูตสวรรค์องค์ที่สองติดตามมาและประกาศว่า “ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครซึ่งทำให้มวลประชาชาติมัวเมาเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของมันได้ล่มสลายแล้ว”

9 ทูตสวรรค์องค์ที่สามติดตามมาและประกาศเสียงดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายกับรูปจำลองของมันและรับเครื่องหมายของมันที่หน้าผากหรือที่มือ

10 ผู้นั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้าซึ่งเทลงในถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์โดยไม่ผสมสิ่งอื่นใด เขาจะถูกทรมานด้วยไฟกำมะถันต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์และต่อหน้าพระเมษโปดก

11 ควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คนทั้งหลายที่กราบนมัสการสัตว์ร้ายกับรูปจำลองของมันหรือผู้ที่ได้รับเครื่องหมายชื่อของมันจะไม่ได้หยุดพักเลยไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน”

12 ในเรื่องนี้ประชากรของพระเจ้าผู้เชื่อฟังบทบัญญัติของพระองค์และยังคงสัตย์ซื่อต่อพระเยซูต้องมีความทรหดอดทน

13 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนดังนี้นับแต่นี้ไปความสุขมีแก่บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า”

พระวิญญาณตรัสว่า “ใช่แล้วเขาทั้งหลายจะหยุดพักจากการตรากตรำของตนเพราะผลงานของเขาจะติดตามเขาไป”

การเก็บเกี่ยวโลก

14 ข้าพเจ้ามองไปเห็นเมฆขาวและผู้หนึ่ง “เหมือนบุตรมนุษย์”ประทับนั่งอยู่บนเมฆนั้น สวมมงกุฎทองคำบนพระเศียรและในพระหัตถ์มีเคียวคมกริบ

15 แล้วทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารร้องบอกผู้นั่งอยู่บนเมฆนั้นด้วยเสียงอันดังว่า “ใช้เคียวของท่านเกี่ยวไปเถิด ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้วเพราะผลที่จะเก็บเกี่ยวจากโลกก็สุกดีแล้ว”

16 ดังนั้นผู้นั่งอยู่บนเมฆจึงตวัดเคียวไปเหนือโลกและโลกก็ถูกเก็บเกี่ยว

17 ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมกริบเช่นกัน

18 และยังมีทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งซึ่งดูแลไฟออกมาจากแท่นบูชา และร้องเสียงดังบอกทูตผู้ถือเคียวคมกริบว่า “ใช้เคียวคมกริบของท่านเกี่ยวเก็บพวงองุ่นแห่งแผ่นดินโลกเถิดเพราะผลองุ่นสุกได้ที่แล้ว”

19 ทูตสวรรค์ผู้ถือเคียวจึงตวัดเคียวไปบนโลกเก็บเกี่ยวผลองุ่นและโยนลงในบ่อใหญ่ซึ่งเป็นบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

20 พวกเขาถูกเหยียบย่ำในบ่อย่ำองุ่นนอกเมือง เลือดทะลักท่วมจากบ่อย่ำสูงถึงระดับบังเหียนม้า ไหลนองไปเป็นระยะทาง 1,600 ซทาดิออน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/14-a0ffe7a75fc4a2ff96095463e665f5da.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 15

ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติทั้งเจ็ด

1 ข้าพเจ้าเห็นหมายสำคัญอันอัศจรรย์และยิ่งใหญ่อีกอย่างในสวรรค์คือ ทูตสวรรค์เจ็ดองค์กับวิบัติทั้งเจ็ดอันเป็นภัยพิบัติครั้งสุดท้ายเพราะพระพิโรธของพระเจ้าสิ้นสุดลงที่ภัยพิบัติเหล่านี้

2 ข้าพเจ้าแลเห็นสิ่งหนึ่งคล้ายทะเลแก้วปนไฟ บรรดาผู้มีชัยชนะเหนือสัตว์ร้ายกับรูปจำลองและหมายเลขประจำชื่อของมันยืนอยู่ข้างๆ ทะเลนั้น เขาทั้งหลายถือพิณซึ่งพระเจ้าประทาน

3 และขับร้องบทเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้าและบทเพลงของพระเมษโปดกว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ข้าแต่องค์ราชันของทุกยุคสมัย

วิถีของพระองค์ล้วนเที่ยงธรรมและเที่ยงแท้

4 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่เกรงกลัวพระองค์

และไม่เทิดทูนพระนามของพระองค์

เพราะพระองค์แต่ผู้เดียวทรงบริสุทธิ์

มวลประชาชาติจะเข้ามา

และกราบนมัสการต่อหน้าพระองค์

เพราะกิจอันชอบธรรมของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

5 หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นพระวิหารในสวรรค์เปิดออก พระวิหารนั้นคือพลับพลาแห่งสักขีพยาน

6 ทูตสวรรค์เจ็ดองค์ที่ถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหาร นุ่งห่มผ้าลินินสะอาดสุกใส คาดแถบทองคำที่อก

7 แล้วหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หยิบขันทองคำเจ็ดใบซึ่งเต็มด้วยพระพิโรธของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ตลอดกาลส่งให้ทูตสวรรค์ทั้งเจ็ด

8 และแล้วควันจากพระเกียรติสิริและเดชานุภาพของพระเจ้าก็ปกคลุมไปทั่วพระวิหาร ไม่มีผู้ใดเข้าไปในพระวิหารได้จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดจากทูตสวรรค์เจ็ดองค์จะเสร็จสมบูรณ์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/15-ab42a97c8908bd94773138c1af290926.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 16

ขันทั้งเจ็ดแห่งพระพิโรธของพระเจ้า

1 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหารสั่งทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดว่า “จงไปเทพระพิโรธของพระเจ้าที่อยู่ในขันทั้งเจ็ดลงบนโลกเถิด”

2 ทูตสวรรค์องค์แรกออกไปเทขันของตนลงบนแผ่นดินโลก แผลร้ายน่าเกลียดที่สร้างความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นที่ตัวของบรรดาผู้มีเครื่องหมายของสัตว์ร้ายและกราบนมัสการรูปจำลองของมัน

3 ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทขันของตนลงบนทะเล ทะเลก็กลายเป็นเลือดดั่งเลือดของคนตาย สิ่งมีชีวิตในนั้นจึงตายหมด

4 ทูตสวรรค์องค์ที่สามเทขันของตนลงบนแม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งหลาย น้ำก็กลายเป็นเลือด

5 แล้วข้าพเจ้าได้ยินทูตสวรรค์ผู้ดูแลห้วงน้ำกล่าวว่า

“ข้าแต่องค์ผู้บริสุทธิ์

พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ทั้งในอดีตและในปัจจุบ้น

พระองค์ทรงพิพากษาลงโทษอย่างยุติธรรมแล้ว

6 เนื่องจากพวกเขาทำให้ประชากรของพระเจ้า

และผู้เผยพระวจนะของพระองค์ต้องหลั่งเลือด

สมควรแล้วที่พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มเลือด”

7 และข้าพเจ้าได้ยินแท่นบูชาขานรับว่า

“จริงเช่นนั้นข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

การพิพากษาของพระองค์เที่ยงแท้และเที่ยงธรรม”

8 ทูตสวรรค์องค์ที่สี่เทขันของตนลงบนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็ได้รับอำนาจที่จะแผดแสงเผามนุษย์

9 พวกเขาถูกความร้อนแรงกล้าแผดเผาและพวกเขาแช่งด่าพระนามของพระเจ้าผู้ทรงควบคุมภัยพิบัติเหล่านี้ แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจสำนึกผิดและถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์

10 ทูตสวรรค์องค์ที่ห้าเทขันของตนลงบนบัลลังก์ของสัตว์ร้ายนั้น อาณาจักรของมันก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด ผู้คนกัดลิ้นด้วยความทุกข์ทรมาน

11 และแช่งด่าพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวและแผลร้ายของตน แต่พวกเขาไม่ยอมกลับใจจากบาปที่ได้ทำไป

12 ทูตสวรรค์องค์ที่หกเทขันของตนลงบนแม่น้ำใหญ่ชื่อยูเฟรติส น้ำก็เหือดแห้งเพื่อเตรียมทางไว้สำหรับกษัตริย์ทั้งหลายจากตะวันออก

13 แล้วข้าพเจ้าเห็นวิญญาณชั่วสามตนรูปร่างคล้ายกบ ออกมาจากปากพญานาค จากปากของสัตว์ร้าย และจากปากของผู้เผยพระวจนะเท็จ

14 พวกมันเป็นวิญญาณของผีมารที่ทำหมายสำคัญต่างๆ มันออกไปหาปวงกษัตริย์ทั่วโลกเพื่อระดมกษัตริย์เหล่านั้นมาทำสงครามในวันยิ่งใหญ่แห่งพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

15 “ดูเถิด เราจะมาเหมือนขโมยที่มาโดยไม่มีใครคาดคิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ตื่นอยู่และแต่งตัวเตรียมพร้อมเพื่อพวกเขาจะได้ไม่ต้องเดินเปลือยกายให้อับอายขายหน้า”

16 แล้ววิญญาณชั่วทั้งสามก็ระดมกษัตริย์ทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่ซึ่งภาษาฮีบรูเรียกว่า อารมาเกดโดน

17 ทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดเทขันของตนลงในอากาศและมีเสียงมาจากพระที่นั่งในพระวิหารว่า “สำเร็จแล้ว!”

18 จากนั้นเกิดฟ้าแลบแวบวาบ เสียงครืนๆ เสียงฟ้าร้องกึกก้อง และแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงนับตั้งแต่มนุษย์อยู่บนโลกมาไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงเช่นครั้งนี้เลย

19 มหานครแยกออกเป็นสามส่วน เมืองใหญ่ๆ ของประเทศต่างๆ พังทลายลง พระเจ้าทรงจดจำบาปของบาบิโลนมหานครได้ พระองค์ทรงให้มันดื่มจากถ้วยที่เต็มด้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธอันใหญ่หลวงของพระองค์

20 เกาะทุกเกาะและภูเขาทุกลูกจมหายไปหมด

21 ลูกเห็บมหึมาตกจากฟ้าใส่ผู้คน แต่ละก้อนหนักราว 50 กิโลกรัมและพวกเขาแช่งด่าพระเจ้าเพราะภัยพิบัติจากลูกเห็บนี้ร้ายแรงยิ่งนัก

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/16-33fbf8c769e50243c3876d91bb8da84d.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 17

ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนสัตว์ร้าย

1 หนึ่งในทูตสวรรค์เจ็ดองค์ซึ่งถือขันทั้งเจ็ดนั้นมาบอกข้าพเจ้าว่า “มาเถิด จะให้ดูการลงโทษหญิงโสเภณีตัวฉกาจผู้นั่งบนห้วงน้ำ มากหลาย

2 บรรดากษัตริย์ทั่วโลกล่วงประเวณีกับนาง และชาวโลกทั้งหลายก็มัวเมาไปกับเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง”

3 แล้วทูตสวรรค์องค์นั้นได้ให้ข้าพเจ้าเห็นนิมิต พระวิญญาณทรงนำข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นกันดาร ที่นั่นข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้ม สัตว์นี้มีชื่ออันเป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้าเต็มไปทั้งตัว มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา

4 หญิงนั้นนุ่งห่มผ้าสีม่วงและสีแดงเข้ม ตัวนางแพรวพราวไปด้วยเครื่องทอง เพชรนิลจินดาและไข่มุก นางถือถ้วยทองคำอันเต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียนและของโสโครกแห่งการล่วงประเวณีของนาง

5 มีสมญานามเขียนไว้ที่หน้าผากของนางว่า

ความลี้ลับ

บาบิโลนมหานคร

มารดาแห่งหญิงโสเภณี

และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนทั้งหลายของโลก

6 ข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยเลือดของประชากรของพระเจ้าและเลือดของผู้ที่เป็นพยานเพื่อพระเยซู

เมื่อข้าพเจ้าเห็นนางแล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก

7 แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เหตุใดท่านจึงประหลาดใจ? ข้าพเจ้าจะอธิบายความลี้ลับของหญิงนั้นกับสัตว์ร้ายเจ็ดหัวสิบเขาที่นางขี่ให้ฟัง

8 สัตว์ร้ายที่ท่านได้เห็นนั้น ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่ แต่บัดนี้ไม่มี มันจะขึ้นมาจากนรกขุมลึกและไปสู่ความพินาศของมัน ชาวโลกทั้งหลายซึ่งไม่มีชื่ออยู่ในหนังสือแห่งชีวิตนับตั้งแต่ทรงสร้างโลกจะประหลาดใจเมื่อเห็นสัตว์ร้ายนี้ เพราะครั้งหนึ่งมันเคยมีชีวิตอยู่และบัดนี้ไม่มี แต่มันจะมาในอนาคต

9 “ในเรื่องนี้ต้องใช้ปัญญาตริตรอง เจ็ดหัวคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่

10 ทั้งยังหมายถึงกษัตริย์เจ็ดองค์ ซึ่งห้าองค์ล่วงไปแล้ว องค์หนึ่งเป็นอยู่ อีกองค์หนึ่งยังไม่มา แต่เมื่อมาแล้วจะอยู่เพียงชั่วระยะหนึ่ง

11 สัตว์ร้ายซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยู่แต่บัดนี้ไม่มีคือกษัตริย์องค์ที่แปด มันร่วมในกลุ่มของกษัตริย์ทั้งเจ็ดองค์ด้วยและกำลังจะไปสู่ความพินาศของมัน

12 “ส่วนเขาทั้งสิบที่เห็นนั้นคือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้ครองราชย์ แต่จะได้รับอำนาจในฐานะกษัตริย์ร่วมกับสัตว์ร้ายนั้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ

13 พวกเขาจะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้มอบฤทธิ์เดชและอำนาจแก่สัตว์ร้ายนั้น

14 พวกเขาจะทำศึกกับพระเมษโปดก แต่พระเมษโปดกจะทรงพิชิตพวกเขาเพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย เป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและสาวกผู้สัตย์ซื่อที่พระองค์ทรงเรียกและทรงเลือกไว้จะอยู่กับพระองค์”

15 แล้วทูตนั้นกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่ท่านเห็นหญิงโสเภณีนั้นนั่งอยู่คือเผ่าพันธุ์ หมู่คน ชนชาติ และภาษาต่างๆ

16 สัตว์ร้ายและสิบเขาที่ท่านได้เห็นจะเกลียดชังหญิงโสเภณีนั้น พวกมันจะทำลายและปล่อยให้นางเปลือยเปล่า จะกินเนื้อของนางและเผานางด้วยไฟ

17 เพราะพระเจ้าทรงดลใจพวกเขาให้ทำตามพระดำริของพระองค์ โดยให้พวกเขาเห็นพ้องกันที่จะมอบอำนาจการปกครองของเขาให้แก่สัตว์ร้ายนั้นจนกว่าจะเป็นจริงตามพระวจนะของพระเจ้า

18 หญิงที่ท่านได้เห็นนั้นคือนครใหญ่ซึ่งปกครองบรรดากษัตริย์ของโลก”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/17-9c1f953b5d7a4c0d3e6ca91929ba69e9.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 18

บาบิโลนล่ม

1 หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ทูตนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่และรัศมีของท่านทำให้โลกสว่างไสว

2 ท่านประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า

“ล่มแล้ว! บาบิโลนมหานครได้ล่มสลายแล้ว!

นครนี้ได้กลายเป็นเรือนปีศาจ

และเป็นที่สิงสู่ของวิญญาณชั่ว

เป็นที่สิงสู่ของนกทุกชนิดที่เป็นมลทินและน่าชิงชัง

3 เพราะมวลประชาชาติได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของมัน

ซึ่งทำให้คลุ้มคลั่งไป

บรรดากษัตริย์ของโลกร่วมประเวณีกับมัน

และพ่อค้าทั้งหลายของโลกร่ำรวยขึ้นด้วยความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของมัน”

4 แล้วข้าพเจ้าได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังมาจากสวรรค์ ว่า

“ประชากรของเราเอ๋ย ออกมาจากนครนั้นเถิด

เพื่อเจ้าจะได้ไม่มีส่วนร่วมในบาปผิดของมัน

เพื่อเจ้าจะได้ไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับมัน

5 เพราะบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว

พระเจ้าทรงจดจำความผิดอันชั่วร้ายของมันได้

6 จงคืนให้แก่มันเหมือนกับที่มันได้ให้ผู้อื่น

จงคืนสนองมันสองเท่าของสิ่งที่มันได้ทำ

จงผสมเหล้าให้แรงเป็นสองเท่าของถ้วยที่มันให้คนอื่น

7 มันฟุ้งเฟ้อบำรุงบำเรอตัวเองเท่าใด

จงให้ทุกข์โศกความทรมานแก่มันเท่านั้น

มันลำพองใจว่า

‘ข้านั่งบัลลังก์เป็นราชินี ข้าไม่ใช่หญิงม่าย

ข้าจะไม่มีวันทุกข์โศก’

8 ฉะนั้นภายในวันเดียวภัยพิบัติต่างๆ จะจู่โจมนครนั้น

คือความตาย ความทุกข์โศก และความอดอยาก

มันจะถูกไฟเผาวอดวาย

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษามันนั้นทรงฤทธิ์

9 “เมื่อบรรดากษัตริย์ของโลกที่ร่วมประเวณีและร่วมฟุ้งเฟ้อกับนครนั้นเห็นควันไฟที่เผามัน พวกเขาจะร่ำไห้และไว้อาลัยให้นครนั้น

10 พวกเขากลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมันจึงยืนอยู่ห่างๆ และร้องว่า

“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร

โอ บาบิโลน นครซึ่งเรืองอำนาจ!

เพียงชั่วโมงเดียวความพินาศย่อยยับก็มาถึงเจ้า!’

11 “พ่อค้าทั้งหลายของโลกจะร่ำไห้ไว้อาลัยนครนั้นเพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกแล้ว

12 คือทองคำ เงิน เพชรพลอยและไข่มุก ผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง ผ้าไหมและผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิดและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากงาช้าง ไม้ราคาแพง ทองสัมฤทธิ์ เหล็กและหินอ่อน

13 สินค้าอื่นๆ คืออบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งละเอียด ข้าวสาลี วัว แกะ ม้า รถม้า ร่างกายและวิญญาณมนุษย์

14 “เขาทั้งหลายจะกล่าวว่า ‘ผลที่เจ้าใฝ่หาได้พ้นมือเจ้าไปแล้ว ทรัพย์สมบัติและความหรูหราทั้งปวงของเจ้าได้สูญสิ้นไปแล้ว มันไม่มีวันฟื้นตัวขึ้นมาอีกแล้ว’

15 บรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการขายสินค้าให้นครนั้นจะยืนอยู่ห่างๆ เพราะกลัวภัยแห่งความทุกข์ทรมานของมัน พวกเขาจะร่ำไห้ไว้อาลัย

16 และร้องว่า

“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร

เจ้านุ่งห่มผ้าลินินเนื้อดี ผ้าสีม่วง และผ้าสีแดงเข้ม

แพรวพราวด้วยทองคำ เพชรพลอย และไข่มุก

17 เพียงชั่วโมงเดียวทรัพย์สมบัติอลังการทั้งหลายก็ได้ถูกทำลายย่อยยับไป!’

“นายเรือทุกคน ผู้โดยสาร ลูกเรือ และคนทั้งปวงที่หาเลี้ยงชีพจากทะเลจะยืนอยู่ห่างๆ

18 เมื่อเห็นควันที่เผานครนั้นพวกเขาจะร้องว่า ‘เคยมีนครไหนบ้างที่เหมือนนครยิ่งใหญ่นี้?’

19 พวกเขาจะโปรยผงคลีใส่ศีรษะของตน ร่ำไห้คร่ำครวญ และร้องว่า

“ ‘วิบัติ! วิบัติแล้ว โอ มหานคร

ที่นี่ทำให้ทุกคนผู้มีเรือเดินทะเล

ร่ำรวยด้วยความมั่งคั่งของมัน

เพียงชั่วโมงเดียวมันก็ถูกทำลายย่อยยับไป!’

20 “สวรรค์เอ๋ย จงชื่นชมยินดีเนื่องด้วยนครนี้!

ประชากรของพระเจ้า อัครทูต และผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย

จงเปรมปรีดิ์เถิด! พระเจ้าทรงพิพากษา

ลงโทษนครนี้ให้ท่านแล้ว”

21 จากนั้นทูตสวรรค์ผู้ทรงฤทธิ์องค์หนึ่งยกหินก้อนขนาดเท่าหินโม่ใหญ่ทุ่มลงในทะเลแล้วกล่าวว่า

“บาบิโลนมหานครจะถูกทุ่มลง

ด้วยความรุนแรงเช่นนี้แหละ

จะไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย

22 จะไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีจากนักพิณและ

นักดนตรี คนเป่าขลุ่ยและคนเป่าแตรในนครนี้อีกเลย

จะไม่พบช่างสาขาใดๆ

ในนครนี้อีกแล้ว

จะไม่มีเสียงโม่แป้งให้ได้ยิน

ในนครนี้อีกต่อไป

23 จะไม่มีแสงตะเกียง

ในนครนี้อีกแล้ว

จะไม่ได้ยินเสียงของบ่าวสาว

ในนครนี้อีกต่อไป

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะพ่อค้าทั้งหลายของเจ้าได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของโลก

เจ้าได้ใช้มนต์สะกดมวลประชาชาติให้หลงไป

24 ในนครนี้เขาได้พบเลือดของเหล่าผู้เผยพระวจนะและเลือดของประชากรของพระเจ้า

และเลือดของคนทั้งปวงที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/18-4c8d50861a65c5cae92c98fad1d9b8f0.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 19

สรรเสริญพระเจ้า!

1 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงกึกก้องราวกับเสียงผู้คนเป็นอันมากในสวรรค์ร้องตะโกนว่า

“ฮาเลลูยา!

ความรอดมาจากพระเจ้าของเรา พระองค์ทรงพระเกียรติสิริและเดชานุภาพ

2 เพราะบรรดาการพิพากษาของพระองค์เที่ยงธรรมและเที่ยงแท้

พระองค์ทรงตัดสินโทษหญิงโสเภณีตัวฉกาจนั้นแล้ว

ผู้ซึ่งทำให้โลกเสื่อมทรามด้วยการล่วงประเวณีของนาง

พระองค์ทรงให้นางชดใช้เลือดของผู้รับใช้ของพระองค์แล้ว”

3 และพวกเขาร้องตะโกนอีกครั้งว่า

“ฮาเลลูยา!

ควันไฟจากนครนั้นพลุ่งขึ้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์”

4 ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่หมอบกราบนมัสการพระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่ง และร้องว่า

“อาเมน ฮาเลลูยา!”

5 แล้วมีเสียงหนึ่งดังจากพระที่นั่งกล่าวว่า

“ท่านทั้งปวงที่เป็นผู้รับใช้ของพระองค์

ผู้ที่ยำเกรงพระองค์

ทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย

จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา”

6 จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงคล้ายเสียงผู้คนมากมายเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกรากและเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้องตะโกนว่า

“ฮาเลลูยา!

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

ของเราทรงครอบครองอยู่

7 ให้เราทั้งหลายชื่นชมยินดีและเปรมปรีดิ์

และถวายพระเกียรติสิริแด่พระองค์!

เพราะถึงกำหนดอภิเษกสมรสของพระเมษโปดกแล้ว

และเจ้าสาวของพระองค์เตรียมตัวพร้อมแล้ว

8 ทรงให้เจ้าสาวสวมชุดผ้าลินินเนื้อดี

ที่สะอาดสดใสแล้ว”

(ผ้าลินินเนื้อดีหมายถึงการประพฤติอันชอบธรรมของประชากรของพระเจ้า)

9 แล้วทูตสวรรค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “จงเขียนว่า ‘ความสุขมีแก่บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญมายังงานเลี้ยงฉลองอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก!’ ” และทูตนั้นกล่าวอีกว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นพระวจนะแท้ของพระเจ้า”

10 ถึงตรงนี้ข้าพเจ้าหมอบลงแทบเท้าทูตสวรรค์เพื่อนมัสการ แต่ทูตนั้นกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “อย่าทำเช่นนั้น! เราเป็นเพื่อนผู้รับใช้ร่วมกับท่านและร่วมกับพี่น้องของท่านที่ยึดมั่นในคำพยานเรื่องพระเยซู จงนมัสการพระเจ้า! เพราะคำพยานเรื่องพระเยซูนั้นคือหัวใจของการเผยพระวจนะ”

ผู้ทรงม้าขาว

11 ข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์เปิดอยู่และมีม้าขาวตัวหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า พระนามของพระองค์ผู้ทรงม้านั้นคือพระผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงแท้ พระองค์ทรงพิพากษาและสู้ศึกด้วยความยุติธรรม

12 พระเนตรของพระองค์ดุจไฟโชติช่วง บนพระเศียรมีมงกุฎหลายอัน ทรงมีพระนามจารึกไว้บนพระกาย ไม่มีผู้ใดรู้จักพระนามนั้นเลยนอกจากพระองค์เอง

13 ทรงฉลองพระองค์ซึ่งได้จุ่มในเลือด และพระนามของพระองค์คือพระวาทะของพระเจ้า

14 บรรดากองทัพสวรรค์สวมอาภรณ์ผ้าลินินเนื้อดีขาวสะอาดนั่งบนหลังม้าขาวกำลังตามเสด็จพระองค์ไป

15 พระแสงคมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ทรงใช้พระแสงนี้ฟาดฟันประชาชาติ “พระองค์จะทรงปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็ก”พระองค์ทรงเหยียบย่ำองุ่นในบ่อย่ำแห่งพระพิโรธเกรี้ยวกราดของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์

16 ที่เสื้อคลุมและต้นขาจารึกพระนามของพระองค์ว่า

กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย เจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย

17 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่ที่ดวงอาทิตย์ร้องเสียงดังประกาศแก่นกทั้งมวลซึ่งบินอยู่กลางอากาศว่า “จงมาร่วมชุมนุมกันในงานเลี้ยงใหญ่ของพระเจ้า

18 เพื่อเจ้าจะได้กินเนื้อของกษัตริย์ เนื้อของขุนพลและนายทหาร เนื้อม้าและเนื้อคนขี่ม้า และเนื้อประชาชนทั้งปวง เนื้อของทาสและไท เนื้อของผู้ใหญ่และผู้น้อย”

19 แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายนั้นกับบรรดากษัตริย์ของโลกพร้อมทั้งกองทัพของพวกเขามาชุมนุมกันเพื่อรบกับพระองค์ผู้ทรงม้าขาวและกองทัพของพระองค์

20 แต่สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมด้วยผู้เผยพระวจนะเท็จซึ่งได้ทำหมายสำคัญแทนสัตว์ร้ายนั้น ด้วยหมายสำคัญเหล่านี้เขาได้ล่อลวงบรรดาผู้ที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้ายนั้นและได้กราบนมัสการรูปจำลองของมัน ทั้งสัตว์ร้ายและผู้เผยพระวจนะเท็จถูกโยนลงในบึงไฟกำมะถันลุกโชนทั้งเป็น

21 ส่วนพวกที่เหลือถูกฆ่าด้วยพระแสงดาบซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ผู้ทรงม้าขาว แล้วนกทั้งปวงก็รุมทึ้งกินเนื้อคนเหล่านั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/19-bab4789c3ce0b01997e642ecf8ce058a.mp3?version_id=179—

Categories
วิวรณ์

วิวรณ์ 20

ช่วงพันปี

1 ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ถือกุญแจนรกขุมลึกและโซ่เส้นใหญ่ในมือ

2 ทูตนั้นจับพญานาคคืองูดึกดำบรรพ์ผู้เป็นมารหรือซาตานล่ามมันไว้พันปี

3 ท่านโยนมันลงในนรกขุมลึก ลั่นกุญแจประทับตราเพื่อไม่ให้มันออกมาล่อลวงประชาชาติต่างๆ ได้อีกจนกว่าจะครบพันปี หลังจากนั้นต้องปล่อยมันออกมาชั่วระยะสั้นๆ

4 ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ต่างๆ ซึ่งผู้ที่นั่งบนบัลลังก์นั้นคือบรรดาผู้ได้รับอำนาจให้พิพากษา และข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของบรรดาผู้ถูกตัดหัวเนื่องจากเป็นพยานเพื่อพระเยซูและเนื่องด้วยพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้ายหรือรูปจำลองของมันและไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือ คนเหล่านี้คืนชีวิตเป็นขึ้นมาใหม่และครอบครองร่วมกับพระคริสต์พันปี

5 (ส่วนผู้ตายอื่นๆ ยังไม่กลับมีชีวิตจนกว่าจะสิ้นพันปีนั้น) นี่คือการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรก

6 ผู้ร่วมในการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรกนี้ก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านี้ พวกเขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์เป็นเวลาพันปี

ซาตานพินาศ

7 เมื่อพันปีล่วงไปแล้ว ซาตานจะถูกปล่อยออกจากที่คุมขัง

8 มันจะออกไปล่อลวงบรรดาประชาชาติทั่วสี่มุมโลกที่เรียกว่าโกกและมาโกก ระดมพวกเขามาทำศึก คนพวกนี้มีจำนวนมากมายเหมือนเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล

9 พวกเขากรีธาทัพข้ามโลกมาล้อมค่ายของประชากรของพระเจ้า คือนครซึ่งพระองค์ทรงรักนั้น แต่ไฟจากสวรรค์ลงมาเผาผลาญพวกเขาเสียสิ้น

10 และพญามารที่ล่อลวงพวกเขาก็ถูกโยนลงในบึงไฟกำมะถันที่ลุกโชน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายกับผู้เผยพระวจนะเท็จถูกโยนลงไปก่อนแล้ว พวกมันจะทนทุกข์ทรมานทั้งกลางวันกลางคืนสืบๆ ไปเป็นนิตย์

การพิพากษาคนตาย

11 แล้วข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาวพร้อมทั้งผู้ที่ประทับบนพระที่นั่งนั้น เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ แผ่นดินโลกและท้องฟ้าก็หายไป ไม่มีที่สำหรับทั้งสองสิ่งนี้แล้ว

12 และข้าพเจ้าเห็นบรรดาผู้ตายทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง หนังสือเล่มต่างๆ เปิดออก หนังสืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต และผู้ที่ตายแล้วทั้งหมดก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตนตามที่บันทึกไว้ในหนังสือเหล่านั้น

13 ทะเลคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนมรณาก็คืนคนตายที่อยู่ในนั้นและแต่ละคนถูกพิพากษาตามการกระทำของตน

14 แล้วความตายและแดนมรณาก็ถูกโยนลงในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละคือความตายครั้งที่สอง

15 ถ้าผู้ใดไม่ได้มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตผู้นั้นต้องถูกทิ้งลงในบึงไฟ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/REV/20-f963f7b3ef4512a6e35c5b92fce69bf5.mp3?version_id=179—