Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 51

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะดลใจผู้ทำลายล้าง

มาสู้กับบาบิโลนและชาวเลบคามาย

2 เราจะส่งคนต่างชาติมายังบาบิโลน

เพื่อฝัดร่อนและล้างผลาญดินแดนนั้น

พวกเขาจะมาสู้รบกับบาบิโลนทุกด้าน

ในวันแห่งหายนะของบาบิโลน

3 อย่าให้พลธนูโก่งธนูได้

และอย่าให้เขาหยิบเสื้อเกราะมาสวมทัน

อย่าไว้ชีวิตชายหนุ่มของดินแดนนั้น

จงทำลายทั้งกองทัพให้สิ้นไป

4 พวกเขาจะล้มตายในบาบิโลน

บาดเจ็บสาหัสตามถนนหนทาง

5 เพราะพระเจ้า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

ไม่ได้ทรงทอดทิ้งอิสราเอลและยูดาห์

แม้ดินแดนของเขาจะเต็มไปด้วยความผิด

ต่อหน้าองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล

6 “จงหนีจากบาบิโลน!

จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!

อย่าพลอยถูกทำลายเพราะบาปของมัน

ถึงเวลาการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว

พระองค์จะทรงกระทำแก่บาบิโลนให้สาสม

7 บาบิโลนเป็นถ้วยทองคำในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

บาบิโลนทำให้ทั้งโลกเมามาย

ชนชาติทั้งหลายได้ดื่มเหล้าองุ่นของบาบิโลน

บัดนี้พวกเขาจึงคลุ้มคลั่งไป

8 บาบิโลนจะล่มจมอย่างฉับพลัน แล้วก็แหลกลาญ

จงร่ำไห้ให้กับมัน!

เอายามาบำบัดความเจ็บปวดให้บาบิโลนสิ

เผื่อว่ามันจะหาย

9 “ ‘เราน่าจะรักษาบาบิโลนให้หาย

แต่มันก็ไม่ยอมหาย

ให้เราทิ้งบาบิโลน และต่างคนต่างกลับไปยังดินแดนของตน

เพราะโทษทัณฑ์ของบาบิโลนสูงเสียดฟ้า

สูงเทียมเมฆ’

10 “ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความเป็นธรรมแก่เราแล้ว

มาเถิด ให้เราบอกกล่าวในศิโยน

ถึงสิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราได้ทรงกระทำ’

11 “จงลับลูกศรให้แหลมคม

จงหยิบโล่ขึ้นเตรียมพร้อม

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเร่งเร้าเหล่ากษัตริย์แห่งมีเดีย

เพราะทรงตั้งใจจะทำลายบาบิโลน

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแก้แค้น

แก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์

12 จงชูธงขึ้นประชิดกำแพงของบาบิโลน!

จงเสริมกำลังผู้รักษาการณ์

จงวางยามประจำ

จงเตรียมกองซุ่มโจมตีไว้!

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้สำเร็จตามที่ทรงมุ่งหมายไว้

ตามประกาศิตเกี่ยวกับชาวบาบิโลน

13 เจ้าผู้อาศัยริมห้วงน้ำทั้งหลาย

และมีทรัพย์สมบัติมั่งคั่ง

ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว

ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะถูกตัดขาด

14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ได้ปฏิญาณไว้โดยอ้างพระองค์เองว่า

แน่นอน เราจะให้ผู้คนเนืองแน่นดินแดนของเจ้าเหมือนตั๊กแตนฝูงมหึมา

และพวกเขาจะโห่ร้องมีชัยเหนือเจ้า

15 “พระองค์ทรงสร้างโลกโดยฤทธานุภาพ

ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระปรีชาญาณ

และทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจ

16 เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ห้วงน้ำในฟ้าสวรรค์ก็ร้องคำราม

พระองค์ทรงให้เมฆลอยขึ้นจากสุดปลายแผ่นดินโลก

ทรงส่งฟ้าแลบให้มากับฝน

และทรงนำกระแสลมออกมาจากคลัง

17 “ทุกคนก็สิ้นคิดและขาดความรู้

ช่างทองทุกคนอับอายขายหน้าเพราะรูปเคารพของตน

เทวรูปของเขาเป็นสิ่งจอมปลอม

พวกมันไม่มีลมหายใจ

18 มันเป็นของไร้ค่า เป็นสิ่งที่น่าเยาะเย้ย

เมื่อถึงเวลาพิพากษา มันก็พินาศ

19 แต่พระองค์ผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือยาโคบไม่เหมือนเทวรูปเหล่านี้

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง

รวมทั้งเผ่าที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

20 “เจ้าเป็นตะบองรบ

เป็นอาวุธสำหรับทำสงครามของเรา

ซึ่งเราใช้เจ้าทุบบรรดาประชาชาติ

เราใช้เจ้าทำลายอาณาจักรต่างๆ

21 เราใช้เจ้าทุบม้าและพลม้า

เราใช้เจ้าทุบรถม้าศึกและพลขับ

22 เราใช้เจ้าทุบผู้ชายและผู้หญิง

เราใช้เจ้าทุบคนแก่และเด็ก

เราใช้เจ้าทุบชายหนุ่มและหญิงสาว

23 เราใช้เจ้าทุบคนเลี้ยงแกะและฝูงแกะ

เราใช้เจ้าทุบชาวนาและวัว

เราใช้เจ้าทุบผู้ว่าการและขุนนางทั้งหลาย

24 “เราจะตอบสนองบาบิโลนและคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในบาบิโลนต่อหน้าต่อตาเจ้าเพราะความผิดทั้งหมดที่เขาทำในศิโยน”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 “เราเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าภูเขาผู้ทำลายล้างเอ๋ย

เจ้าผู้ผลาญทำลายทั้งโลก”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“เราจะเหยียดมือออกสู้กับเจ้า

จะกลิ้งเจ้าลงจากหน้าผา

และเผาเจ้าให้วอดวาย

26 จะไม่มีการสกัดหินจากเจ้าไปเป็นศิลาหัวมุม

หรือทำเป็นฐานราก

เพราะเจ้าจะถูกทิ้งร้างตลอดไป”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

27 “จงชูธงขึ้นในดินแดนนั้น!

จงเป่าแตรในหมู่ประชาชาติ

จงเตรียมชนชาติต่างๆ ไว้สู้รบกับมัน

จงเรียกอาณาจักรเหล่านี้มาสู้กับมัน

คือเรียกอารารัต มินนี และอัชเคนัส

จงตั้งแม่ทัพขึ้นสู้รบกับดินแดนนั้น

จงส่งฝูงม้ามาให้เนืองแน่นเหมือนฝูงตั๊กแตน

28 จงเตรียมประชาชาติทั้งหลายมาสู้รบกับบาบิโลน

ได้แก่บรรดากษัตริย์มีเดีย

ผู้ว่าการและขุนนางทั้งปวง

ตลอดจนประเทศทั้งปวงใต้อาณัติ

29 แผ่นดินก็สั่นสะท้านและทุรนทุราย

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนยันที่จะทำกับบาบิโลนตามที่ทรงตั้งพระทัยไว้

คือทำให้ดินแดนบาบิโลนถูกทิ้งร้าง

ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่

30 นักรบของบาบิโลนหยุดต่อสู้

หมกตัวอยู่ในที่มั่น

พลังของพวกเขาหมดสิ้นไป

เขากลายเป็นเหมือนผู้หญิง

ที่อยู่อาศัยในบาบิโลนถูกวางเพลิง

ลูกกรงประตูเมืองต่างๆ หักพัง

31 นักวิ่งไล่ตามกันไป

ผู้สื่อสารไล่ตามกันไป

เพื่อไปรายงานกษัตริย์บาบิโลนว่า

ทั้งกรุงถูกยึดไปแล้ว

32 ท่าข้ามแม่น้ำถูกยึด

เครื่องกีดขวางถูกเผา

และเหล่าทหารก็ตกใจกลัว”

33 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า

“ธิดาแห่งบาบิโลนเหมือนลานนวดข้าว

เมื่อถึงเวลาก็ถูกเหยียบย่ำ

ไม่ช้าก็จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวบาบิโลน”

34 “กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนได้ขย้ำเรา

พระองค์ได้เหวี่ยงเราลงสู่ความสับสน

พระองค์ได้ทรงทำให้เรากลายเป็นไหเปล่า

พระองค์ได้ทรงกลืนเราเหมือนงูพิษ

กินสิ่งโอชะของเราจนเต็มท้อง

แล้วสำรอกเราออกมา

35 ขอให้ความอำมหิตที่เรากับลูกหลานได้รับนั้นตกอยู่กับบาบิโลนเถิด”

ชาวศิโยนกล่าวดังนั้น

เยรูซาเล็มกล่าวว่า

“ขอให้คนที่อาศัยอยู่ในบาบิโลนชดใช้ที่ทำให้เราสูญเสียเลือดเนื้อ”

36 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ดูเถิด เราจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้า

และแก้แค้นให้เจ้า

เราจะทำให้ทะเล

และธารน้ำของบาบิโลนเหือดแห้ง

37 บาบิโลนจะเป็นซากปรักหักพัง

เป็นที่อยู่ของหมาใน

เป็นเป้าของความสยดสยองและการดูหมิ่น

เป็นที่ซึ่งไม่มีผู้ใดอยู่อาศัย

38 มวลประชากรของบาบิโลนร้องคำรามเหมือนสิงโตหนุ่ม

ครวญครางเหมือนลูกสิงห์

39 แต่ขณะที่พวกเขาถูกเร่งเร้า

เราจะจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา

และทำให้พวกเขามึนเมา

เพื่อพวกเขาจะหัวเราะลั่น

แล้วก็หลับใหลไม่ตื่นตลอดกาล”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

40 “เราจะปราบเขาลง

เหมือนแพะแกะที่ถูกต้อนไปฆ่า

41 “เชชัคจะถูกพิชิต

เมืองซึ่งเป็นที่โอ้อวดของทั่วโลกจะถูกยึด!

บาบิโลนจะเป็นที่สยดสยองยิ่งนัก

ในหมู่ประชาชาติ!

42 ทะเลจะซัดท่วมบาบิโลน

คลื่นคำรามของมันจะกลบบาบิโลนจนมิด

43 เมืองต่างๆ ของบาบิโลนจะถูกทิ้งร้าง

เป็นถิ่นกันดารแห้งแล้ง

เป็นแผ่นดินซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัย

ไม่มีใครสัญจรผ่าน

44 เราจะลงโทษพระเบลในบาบิโลน

ทำให้เขาคายสิ่งที่กลืนลงไปออกมา

ชนชาติทั้งหลายจะไม่หลั่งไหลมาหาพระเบลอีกต่อไป

และกำแพงของบาบิโลนจะพังทลาย

45 “ประชากรของเราเอ๋ย จงออกมาจากบาบิโลน

จงหนีเอาชีวิตรอดเถิด!

จงหนีให้พ้นจากพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

46 อย่าเสียขวัญหรือหวาดหวั่น

เมื่อได้ยินข่าวลือในดินแดนนั้น

ปีนี้ลือกันว่าอย่างนี้ ปีหน้าลือกันว่าอย่างนั้น

ข่าวลือเรื่องการนองเลือดในแผ่นดิน

และเรื่องนักปกครองต่อสู้กัน

47 เพราะเวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน

เวลาที่เราจะลงโทษรูปเคารพทั้งหลายของบาบิโลน

ดินแดนบาบิโลนทั้งหมดจะอับอายขายหน้า

และบรรดาผู้ถูกฆ่าจะนอนตายอยู่ในนั้น

48 แล้วฟ้าสวรรค์กับแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งในนั้น

จะโห่ร้องยินดีเหนือบาบิโลน

เพราะบรรดาผู้ทำลายจากทางเหนือ

จะมาโจมตีบาบิโลน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

49 “บาบิโลนจะต้องล่มจมเพราะชนอิสราเอลที่ถูกฆ่า

เช่นเดียวกับคนทั่วโลกที่ถูกฆ่า

ที่ต้องล้มตายเพราะบาบิโลน

50 พวกเจ้าผู้หนีรอดจากคมดาบ

จงไปเสีย อย่ามัวร่ำไรอยู่!

ในแดนไกลโพ้น จงระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า

และคิดถึงเยรูซาเล็ม”

51 “เราอับอายขายหน้า

เพราะเราถูกสบประมาท

และความอัปยศกลบหน้าเรา

เพราะคนต่างชาติเข้ามาในที่บริสุทธิ์

ของพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

52 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่วันเวลาจะมาถึง

เมื่อเราจะลงโทษรูปเคารพต่างๆ ของบาบิโลน

และทั่วดินแดนบาบิโลน

จะครวญครางเพราะความย่อยยับ

53 ถึงแม้ว่าบาบิโลนสูงเทียมฟ้า

และเสริมป้อมปราการให้แข็งแกร่ง

เราก็จะส่งผู้ทำลายมารบกับมัน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

54 “เสียงร้องดังมาจากบาบิโลน

เสียงหายนะใหญ่หลวง

ดังมาจากดินแดนของชาวบาบิโลน

55 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำลายล้างบาบิโลน

จะทรงสยบเสียงอึกทึกน่ารำคาญของมัน

คลื่นศัตรูจะรุกเข้ามาเหมือนห้วงน้ำใหญ่

เสียงสนั่นของเขาจะดังก้อง

56 ผู้ทำลายจะมาสู้กับบาบิโลน

นักรบของบาบิโลนจะถูกจับเป็นเชลย

ธนูของเขาจะถูกหักทิ้ง

เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งการตอบสนอง

พระองค์จะทรงตอบสนองอย่างสาสม

57 เราจะทำให้เหล่าขุนนางและปราชญ์ของบาบิโลนมึนเมา

ตลอดจนผู้ว่าการ นายทหารและนักรบทั้งหลาย

พวกเขาจะหลับใหลและไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล”

องค์กษัตริย์ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

58 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“กำแพงหนาของบาบิโลนจะถูกทลายราบ

และประตูสูงของมันจะถูกเผา

ประชาชาติทั้งหลายจะเหนื่อยเปล่า

สิ่งที่ได้ลงแรงไว้จะกลายเป็นเพียงเชื้อไฟ”

59 ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อความซึ่งเยเรมีย์สั่งไว้กับผู้ดูแลแขวงชื่อเสไรอาห์บุตรเนริยาห์บุตรมาอาเสอาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนพร้อมกับกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในปีที่สี่แห่งรัชกาลของพระองค์

60 เยเรมีย์บันทึกเกี่ยวกับภัยพิบัติทั้งปวงซึ่งจะเกิดขึ้นกับบาบิโลนไว้ในหนังสือม้วนทั้งหมดซึ่งบันทึกมาข้างต้นเกี่ยวกับบาบิโลน

61 เยเรมีย์กล่าวกับเสไรอาห์ว่า “เมื่อท่านไปถึงบาบิโลน จงอ่านออกเสียงข้อความทั้งหมดนี้

62 แล้วจงกล่าวว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ได้ตรัสไว้ว่าจะทรงทำลายสถานที่นี้จนไม่มีทั้งคนและสัตว์อาศัยอยู่ในดินแดนนี้เลย มันจะถูกทิ้งร้างตลอดกาล’

63 เมื่อท่านอ่านจบแล้ว จงเอาหนังสือม้วนนี้ผูกเข้ากับก้อนหินแล้วเหวี่ยงลงในแม่น้ำยูเฟรติส

64 จากนั้นจงกล่าวว่า ‘เช่นนี้แหละ บาบิโลนจะจมลง ไม่ได้ผุดไม่ได้โผล่อีกเลย เพราะภัยพิบัติซึ่งเราจะนำมายังบาบิโลนและพลเมืองของบาบิโลนจะล้มตาย’ ”

ถ้อยคำของเยเรมีย์จบลงเพียงเท่านี้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/51-826bf949e415d7398aebb5ab2009def1.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 52

กรุงเยรูซาเล็มแตก

1 เมื่อเศเดคียาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์พระองค์มีพระชนมายุ 21 พรรษาและทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี ราชมารดาคือฮามุทาลธิดาของเยเรมีย์จากลิบนาห์

2 เศเดคียาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่เยโฮยาคิมได้ทรงทำ

3 เนื่องด้วยพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้จึงเกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็มและยูดาห์ และในที่สุดพระองค์ทรงเหวี่ยงพวกเขาพ้นจากพระพักตร์ของพระองค์

ครั้งนั้นเศเดคียาห์ทรงกบฏต่อกษัตริย์บาบิโลน

4 ฉะนั้นกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนทรงกรีธาทัพหลวงมารบกับกรุงเยรูซาเล็มในวันที่สิบเดือนที่สิบของปีที่เก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมือง แล้วสร้างเชิงเทินล้อมเมืองไว้

5 กรุงเยรูซาเล็มถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์

6 เมื่อถึงวันที่เก้าของเดือนที่สี่ กรุงนี้ก็กันดารอาหารอย่างหนักจนไม่มีอาหารรับประทานเลย

7 แล้วกำแพงเมืองก็ถูกพังลง ทั้งกองทัพก็หนีไปในเวลากลางคืน ผ่านประตูระหว่างกำแพงสองชั้นใกล้ราชอุทยาน แม้ว่าชาวบาบิโลนล้อมเมืองอยู่ พวกเขาหนีไปยังอาราบาห์

8 แต่กองทัพบาบิโลนไล่ล่ากษัตริย์เศเดคียาห์และมาทันพระองค์ในที่ราบเยรีโค ส่วนทหารทั้งปวงของเศเดคียาห์แตกหนีกันไปคนละทิศคนละทาง

9 และพระองค์ทรงถูกจับกุม

พระองค์ทรงถูกคุมตัวมาเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์ในเขตฮามัทและรับการตัดสินโทษ

10 ที่ริบลาห์นี้ กษัตริย์บาบิโลนทรงประหารบรรดาโอรสของเศเดคียาห์ต่อหน้าต่อตาพระองค์ และประหารขุนนางทั้งปวงของยูดาห์

11 แล้วควักพระเนตรของเศเดคียาห์ออกทั้งสองข้าง จองจำพระองค์ด้วยโซ่ตรวนทองสัมฤทธิ์ และคุมตัวไปขังไว้ในคุกในบาบิโลน จวบจนวันที่เศเดคียาห์สิ้นพระชนม์

12 ในวันที่สิบเดือนที่ห้าของปีที่สิบเก้าแห่งรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ผู้รับใช้กษัตริย์บาบิโลนได้มายังกรุงเยรูซาเล็ม

13 เขาจุดไฟเผาพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระราชวัง และบ้านเรือนทุกหลังในเยรูซาเล็ม รวมทั้งอาคารทุกแห่ง

14 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์สั่งการให้กองทัพบาบิโลนทั้งหมดทลายกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม

15 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนประชาชนที่ยากจนข้นแค้นที่สุดบางคน ผู้คนที่ยังอยู่ในกรุงนั้น และช่างฝีมือต่างๆ ที่เหลือ รวมทั้งผู้ที่ออกไปสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลน

16 แต่เนบูซาระดานทิ้งประชากรคนอื่นๆ ที่ยากจนข้นแค้นของดินแดนนั้นไว้ให้ทำสวนองุ่นและทำไร่ไถนา

17 ชาวบาบิโลนทุบเสาหานทองสัมฤทธิ์ทั้งสอง แท่นเคลื่อนที่ และขันสาครทองสัมฤทธิ์ที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและนำทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดไปยังบาบิโลน

18 พวกเขายังได้นำหม้อ ทัพพี กรรไกรตัดไส้ตะเกียง ชามประพรม จานชาม และเครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่ใช้ในพระวิหารไปด้วย

19 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ยังได้ริบสิ่งของทั้งหมดที่ทำด้วยทองคำหรือเงินบริสุทธิ์ไป ไม่ว่าจะเป็นอ่าง กระถางไฟ ชามประพรม หม้อ คันประทีป และจานชามซึ่งใช้ในการถวายเครื่องดื่มบูชา

20 ทองสัมฤทธิ์ที่ได้จากเสาหานทั้งสองต้น ขันสาคร วัวทองสัมฤทธิ์สิบสองตัวรองรับอ่าง แท่นเคลื่อนที่ซึ่งกษัตริย์โซโลมอนทรงสร้างขึ้นเพื่อพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมีปริมาณมากเกินกว่าจะชั่งน้ำหนักได้

21 เสาแต่ละต้นสูง 18 ศอก และมีเส้นรอบวง 12 ศอก หนา 4 นิ้วมือภายในกลวง

22 หัวเสาซึ่งอยู่บนยอดเสามีความสูง 5 ศอกประดับด้วยตาข่ายและผลทับทิมทองสัมฤทธิ์โดยรอบ เหมือนกันทั้งสองเสา

23 รอบๆ มีผลทับทิม 96 ผล จำนวนผลทับทิมที่อยู่เหนือตาข่ายซึ่งล้อมรอบนั้นมี 100 ผล

24 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ได้จับตัวเสไรอาห์หัวหน้าปุโรหิต เศฟันยาห์รองหัวหน้าปุโรหิต และนายประตูสามคนไว้

25 ในหมู่คนที่ยังคงอยู่ในกรุงนั้น เขาได้นำตัวแม่ทัพและราชมนตรีเจ็ดคน ราชเลขาผู้เป็นหัวหน้ากองเกณฑ์พลและคนของเขาอีกหกสิบคนซึ่งพบอยู่ในกรุงนั้นมาเป็นเชลยด้วย

26 ผู้บัญชาการเนบูซาระดานได้นำคนเหล่านี้ทั้งหมดไปเข้าเฝ้ากษัตริย์บาบิโลนที่ริบลาห์

27 กษัตริย์ก็ให้ประหารคนเหล่านี้ที่ริบลาห์ในเขตฮามัท ดังนั้นยูดาห์จึงตกเป็นเชลย ต้องถูกพรากจากดินแดนของตน

28 จำนวนประชาชนซึ่งเนบูคัดเนสซาร์กวาดต้อนไปเป็นเชลยมีดังนี้

ในปีที่เจ็ด ชาวยิวถูกกวาดต้อนไป 3,023 คน

29 ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเนบูคัดเนสซาร์ คนจากเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนไป 832 คน

30 ในปีที่ยี่สิบสามแห่งรัชกาลเดียวกัน

เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดต้อนชาวยิวไป 745 คน

รวมชาวยิวที่ถูกกวาดต้อนไปทั้งสิ้น 4,600 คน

เยโฮยาคีนได้รับการปลดปล่อย

31 ในปีที่สามสิบเจ็ดของการที่กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ตกเป็นเชลย ซึ่งเป็นปีที่เอวิลเมโรดักขึ้นเป็นกษัตริย์บาบิโลน พระองค์ทรงปล่อยกษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์ออกจากคุกในวันที่ยี่สิบห้าเดือนที่สิบสอง

32 พระองค์ตรัสกับเยโฮยาคีนอย่างอ่อนโยนและให้ประทับนั่งในตำแหน่งที่มีเกียรติกว่ากษัตริย์อื่นๆ ที่ถูกจับมาเป็นเชลยในบาบิโลน

33 ฉะนั้นเยโฮยาคีนจึงได้ทรงถอดชุดนักโทษออกและได้ทรงร่วมโต๊ะเสวยกับกษัตริย์เป็นประจำตลอดพระชนม์ชีพ

34 กษัตริย์บาบิโลนยังได้ประทานเบี้ยเลี้ยงประจำวันแก่เยโฮยาคีนตลอดพระชนม์ชีพจวบจนวันที่เยโฮยาคีนสิ้นพระชนม์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/52-1307bede3ec491ae411b32e265f4bad0.mp3?version_id=179—