Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 21

กษัตริย์แห่งอาราดพ่ายแพ้

1 เมื่อกษัตริย์แห่งอาราดชาวคานาอันผู้อาศัยอยู่ในเนเกบได้ยินข่าวว่าอิสราเอลเคลื่อนเข้ามาตามเส้นทางสู่อาธาริม เขาก็มาโจมตีอิสราเอลและจับบางคนไปเป็นเชลย

2 อิสราเอลจึงถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “หากพระองค์ทรงช่วยให้พวกเรารบชนะคนเหล่านี้ พวกเราจะทำลายล้างเมืองต่างๆ ของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง”

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอของอิสราเอล และทรงมอบชาวคานาอันไว้ในมือของพวกเขา พวกเขาทำลายล้างคนเหล่านั้นกับเมืองต่างๆ จนหมดสิ้น ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า โฮรมาห์

งูทองสัมฤทธิ์

4 พวกเขาเดินทางจากภูเขาโฮร์ไปตามทางที่จะไปทะเลแดงเพื่ออ้อมดินแดนเอโดม แต่ประชากรยิ่งรู้สึกท้อแท้มากขึ้น

5 พากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านถึงได้พาเราออกจากอียิปต์มาตายในถิ่นกันดารนี้? ไม่มีขนมปัง! ไม่มีน้ำ! เราเกลียดมานาที่แสนจะน่าเบื่อ!”

6 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงส่งงูพิษมาในหมู่พวกเขา ชนอิสราเอลหลายคนถูกงูกัดตาย

7 ประชากรจึงมาหาโมเสสและร้องว่า “พวกข้าพเจ้าได้ทำบาปที่บ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ากับบ่นว่าท่าน โปรดอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้นำงูออกไปเถิด” ดังนั้นโมเสสจึงอธิษฐานเผื่อประชากร

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงทำงูตัวหนึ่งติดไว้ที่ยอดเสา ผู้ใดถูกงูกัด จงมองดูงูนั้นแล้วจะรอดชีวิต”

9 โมเสสจึงทำงูจากทองสัมฤทธิ์ติดไว้ที่ยอดเสา และเมื่อผู้ที่ถูกงูกัดมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็มีชีวิตอยู่

เดินทางไปโมอับ

10 ชนอิสราเอลออกเดินทางมาตั้งค่ายอยู่ที่โอโบท

11 แล้วเดินทางต่อมายังอิเยอาบาริมในถิ่นกันดารตรงข้ามโมอับด้านตะวันออก

12 พวกเขาเดินทางต่อจากที่นั่น และมาตั้งค่ายพักที่หุบเขาเศเรด

13 แล้วเคลื่อนมาตั้งค่ายที่ริมแม่น้ำอารโนนในถิ่นกันดาร ซึ่งต่อเข้าไปในเขตแดนของชาวอาโมไรต์ แม่น้ำอารโนนเป็นเส้นพรมแดนระหว่างโมอับกับอาโมไรต์

14 ด้วยเหตุนี้ในหนังสือสงครามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงระบุว่า

“…วาเฮบในเมืองสุฟาห์และลำห้วย

อารโนน

15 และลาดเขาของลำห้วย

ซึ่งนำไปสู่ที่ตั้งของเมืองอาร์

เลียบไปตามเขตแดนของโมอับ”

16 จากที่นั่นอิสราเอลเดินทางต่อมายังเบเออร์ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงเรียกชุมนุมประชากร เราจะให้น้ำแก่พวกเขา”

17 อิสราเอลจึงขับร้องเพลงนี้ว่า

“บ่อน้ำเอ๋ย จงให้น้ำพุ่งขึ้นมาเถิด

ให้เราขับขานลำนำน้ำ

18 บ่อซึ่งบรรดาผู้นำได้ขุดขึ้น

ฝีมือเจาะของเหล่าเจ้านาย

ด้วยคทาและไม้เท้าของท่านเหล่านั้น”

แล้วพวกเขาก็ออกจากถิ่นกันดารเดินทางไปมัทธานาห์

19 ผ่านมัทธานาห์ นาหะลีเอลและบาโมท

20 จนมาถึงหุบเขาในโมอับ มียอดเขาปิสกาห์ซึ่งมองลงมาเห็นถิ่นกันดาร

พิชิตกษัตริย์สิโหนและโอก

21 อิสราเอลส่งทูตเข้าพบกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์เพื่อแจ้งว่า

22 “โปรดอนุญาตให้เราผ่านแดน เราจะไม่ออกนอกทางหลวงจนกว่าจะผ่านดินแดนของท่านไปแล้ว จะไม่รุกล้ำที่นาหรือสวนองุ่นของท่าน จะไม่ดื่มน้ำจากบ่อของท่าน”

23 แต่สิโหนไม่ยอมให้อิสราเอลผ่านแดน ทั้งยังยกทัพทั้งหมดมาสู้กับอิสราเอลในถิ่นกันดารโดยรบกันที่ยาฮาส

24 อิสราเอลจึงสังหารสิโหนและครอบครองดินแดนของเขา ตั้งแต่แม่น้ำอารโนนจดแม่น้ำยับบอก ไปประชิดพรมแดนของพวกอัมโมน เนื่องจากชายแดนของพวกเขามีแนวป้องกันเข้มแข็ง

25 อิสราเอลได้ยึดครองเมืองทั้งหมดของชาวอาโมไรต์ รวมทั้งเฮชโบนและถิ่นที่อาศัยโดยรอบ

26 เฮชโบนเป็นนครของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ ซึ่งได้รบกับกษัตริย์ของชนโมอับคนก่อน และยึดครองดินแดนทั้งหมดของเขามาจนจดแม่น้ำอารโนน

27 ด้วยเหตุนี้เหล่ากวีจึงขับขานว่า

“เชิญมาเฮชโบน และสร้างมันขึ้นใหม่

มากู้นครของสิโหนเถิด

28 “ไฟออกมาจากเฮชโบน

เปลวไฟกล้าจากนครแห่งสิโหน

เผาผลาญเมืองอาร์แห่งโมอับ

พลเมืองของที่สูงแห่งอารโนน

29 วิบัติแก่เจ้า โมอับเอ๋ย!

เจ้าถูกทำลายแล้ว ประชากรของพระเคโมชเอ๋ย!

เคโมชปล่อยให้บรรดาบุตรชายของตนต้องลี้ภัย

และบุตรสาวของตนต้องตกเป็นเชลย

เป็นเชลยของสิโหนกษัตริย์แห่งชาวอาโมไรต์

30 “แต่เราได้โค่นล้มพวกเขา

เฮชโบนถูกทำลายจนถึงดีโบน

เราล้มล้างพวกเขาไปไกลถึงโนฟาห์

ซึ่งขยายไปจนจดเมเดบา”

31 ดังนั้นอิสราเอลจึงตั้งถิ่นฐานในดินแดนของชาวอาโมไรต์

32 หลังจากโมเสสได้ส่งคนไปสำรวจเมืองยาเซอร์ ชนอิสราเอลก็ยึดถิ่นฐานโดยรอบได้ และขับไล่ชาวอาโมไรต์ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นออกไป

33 แล้วพวกเขาวกไปตามเส้นทางสู่บาชาน และกษัตริย์โอกแห่งบาชานยกทัพมาเผชิญหน้ากันที่เอเดรอี

34 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราได้มอบเขาและกองทัพทั้งหมดตลอดจนดินแดนของเขาให้เจ้าแล้ว จงพิชิตเขาเหมือนที่ได้พิชิตสิโหนกษัตริย์ชาวอาโมไรต์ผู้ครองเฮชโบน”

35 อิสราเอลก็สังหารโอก บุตรหลาน และกองทัพทั้งหมดของเขา ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้สักคนเดียว แล้วอิสราเอลก็เข้าครอบครองดินแดนนั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/21-1c285cf80990020b8531e93fa0982556.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 22

บาลาคและบาลาอัม

1 แล้วประชากรอิสราเอลเดินทางมาถึงที่ราบโมอับ และตั้งค่ายพักริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

2 ฝ่ายบาลาคบุตรศิปโปร์ได้เห็นการทั้งปวงซึ่งอิสราเอลทำแก่ชาวอาโมไรต์

3 และโมอับหวาดผวาเนื่องจากอิสราเอลมีกำลังคนมากมาย โมอับคร้ามกลัวชนอิสราเอลอย่างยิ่ง

4 ชาวโมอับจึงหารือกับบรรดาผู้นำมีเดียนว่า “ฝูงชนนี้จะมากลืนกินทุกอย่างเหมือนวัวกินหญ้า”

ดังนั้นบาลาคบุตรศิปโปร์ผู้เป็นกษัตริย์โมอับในเวลานั้น

5 จึงส่งผู้สื่อสารไปเรียกตัวบาลาอัมบุตรเบโอร์ ซึ่งอยู่ที่เปโธร์บ้านเกิดเมืองนอนของเขาใกล้แม่น้ำยูเฟรติส กษัตริย์บาลาคกล่าวว่า

“ชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์ แห่กันมามืดฟ้ามัวดินและมาประชิดแดนข้าพเจ้าแล้ว

6 โปรดมาแช่งคนเหล่านี้ให้เราด้วยเพราะพวกเขาแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา เผื่อว่าเราจะได้ขับไล่พวกเขาออกจากดินแดน เพราะเราทราบมาว่าทุกคนที่ท่านอวยพรก็ได้รับพร ส่วนคนที่ท่านสาปแช่งก็ต้องคำสาป”

7 เหล่าผู้อาวุโสของโมอับและมีเดียนจึงจากไปและนำเงินค่าคำสาปไปด้วย เมื่อมาพบบาลาอัม ก็แจ้งตามที่บาลาคกล่าว

8 บาลาอัมกล่าวว่า “เชิญพักค้างคืนที่นี่ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะนำคำตอบที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้” ดังนั้นพวกเจ้านายแห่งโมอับจึงพักอยู่ด้วย

9 พระเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัมและตรัสถามว่า “คนเหล่านี้ที่อยู่กับเจ้าเป็นใคร?”

10 บาลาอัมทูลพระเจ้าว่า “บาลาคบุตรศิปโปร์กษัตริย์แห่งโมอับส่งข่าวมาว่า

11 ‘ชนชาติหนึ่งที่ออกมาจากอียิปต์อย่างมืดฟ้ามัวดิน บัดนี้ขอเชิญท่านไปสาปแช่งพวกเขาให้เรา เผื่อว่าเราจะสามารถสู้รบและขับไล่พวกเขาออกไปได้’ ”

12 แต่พระเจ้าตรัสกับบาลาอัมว่า “อย่าไปกับพวกนั้น เจ้าจะสาปแช่งคนเหล่านั้นไม่ได้เพราะพวกเขาได้รับพรแล้ว”

13 เช้าวันรุ่งขึ้นบาลาอัมลุกขึ้นและบอกเจ้านายที่บาลาคส่งมาว่า “กลับไปประเทศของพวกท่านเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปกับพวกท่าน”

14 ดังนั้นเจ้านายชาวโมอับจึงกลับไปรายงานบาลาคว่า “บาลาอัมไม่ยอมมากับพวกเรา”

15 บาลาคพยายามอีกครั้ง โดยส่งกองเกียรติยศยิ่งกว่าครั้งก่อนมา

16 พวกเขามาแจ้งบาลาอัมว่า

“บาลาคบุตรศิปโปร์กล่าวว่า อย่าให้มีสิ่งใดมาขัดขวางไม่ให้ท่านมาหาเรา

17 เพราะเราจะตอบแทนท่านอย่างงาม และทำตามทุกอย่างที่ท่านบอก มาแช่งชนชาตินี้ให้เราเถิด”

18 แต่บาลาอัมตอบว่า “แม้บาลาคจะยกปราสาทที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดนอกเหนือพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

19 เอาเถอะ เชิญค้างคืนที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าจะดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะตรัสอะไรเพิ่มเติมบ้างหรือไม่”

20 คืนนั้นพระเจ้าเสด็จมาตรัสกับบาลาอัมว่า “ในเมื่อคนเหล่านี้มาเรียกเจ้า ก็จงไปกับเขา แต่จงทำตามที่เราสั่งเท่านั้น”

ลาของบาลาอัม

21 ครั้นรุ่งเช้าบาลาอัมก็ลุกขึ้นผูกอานลาไปกับพวกเจ้านายของโมอับ

22 แต่พระเจ้าทรงพระพิโรธบาลาอัม ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ามายืนดักอยู่กลางถนนเพื่อขัดขวางเขา บาลาอัมขี่ลาไปและมีคนรับใช้สองคนไปด้วย

23 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนถือดาบอยู่กลางทาง ก็เบี่ยงออกนอกทางเข้าไปในทุ่งนา แต่บาลาอัมตีลาเพื่อบังคับให้มันกลับเข้าทางเดิม

24 จากนั้นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ามายืนอยู่ตรงทางแคบระหว่างกำแพงรั้วสวนองุ่นสองฟาก

25 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เบียดตัวชิดรั้วทำให้เท้าของบาลาอัมกระแทกกับกำแพงรั้ว เขาจึงตีลาอีก

26 แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าล่วงหน้าไปและยืนอยู่ตรงที่แคบซึ่งลาไม่สามารถจะหันไปทางไหนได้เลย

27 เมื่อลาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็หมอบลงโดยที่บาลาอัมยังนั่งอยู่บนหลัง เขาจึงโกรธและเอาไม้เท้าตีลาอีก

28 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดปากลา ลาจึงพูดกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรท่านหรือจึงมาตีข้าพเจ้าถึงสามครั้ง?”

29 บาลาอัมตอบว่า “ก็เจ้าน่ะสิ ทำให้เรากลายเป็นอ้ายงั่ง! ถ้าเรามีดาบสักเล่มอยู่ในมือ เราจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้”

30 ลากล่าวกับบาลาอัมว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่ลาของท่านซึ่งท่านขี่มาจนถึงตอนนี้หรือ? ข้าพเจ้าเคยทำกับท่านเช่นนี้มาก่อนหรือเปล่า?”

เขาตอบว่า “ไม่เคย”

31 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดตาของบาลาอัม เขาเห็นทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนถือดาบอยู่กลางทาง เขาก็ทรุดกายและหมอบกราบซบหน้าลง

32 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงตีลาถึงสามครั้ง? เรามาขัดขวางเจ้าเพราะเจ้ากำลังผลีผลามออกไปนอกลู่นอกทาง

33 ลาเห็นเรา แล้วก็หลบเลี่ยงไปถึงสามครั้ง ไม่เช่นนั้นเราคงประหารเจ้าแน่นอน และปล่อยให้ลารอดชีวิตไป”

34 บาลาอัมกล่าวกับทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปแล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่กลางทางเพื่อขัดขวางข้าพเจ้า ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็จะกลับ”

35 ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับบาลาอัมว่า “จงไปกับคนเหล่านี้เถิด แต่จงพูดตามที่เราสั่งเท่านั้น” ดังนั้นบาลาอัมจึงไปกับพวกเจ้านายที่บาลาคส่งมา

36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมกำลังมาก็ออกมาพบที่ชายแดน คือที่เมืองของชาวโมอับ ริมแม่น้ำอารโนน

37 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า “เราส่งคนไปเชิญท่านมาโดยด่วนไม่ใช่หรือ? เหตุใดท่านจึงไม่ยอมมา? เราไม่สามารถปูนบำเหน็จแก่ท่านหรือ?”

38 บาลาอัมตอบว่า “ข้าพเจ้ามาแล้วก็จริง แต่ไม่อาจพูดอะไรได้ ต้องพูดแต่สิ่งที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าเท่านั้น”

39 แล้วบาลาอัมก็ร่วมทางไปกับบาลาคถึงที่คีริยาทหุโซท

40 บาลาคเอาวัวและแกะถวายบูชา และยกบางส่วนให้บาลาอัมกับเหล่าเจ้านายที่มาด้วย

41 วันรุ่งขึ้นบาลาคพาบาลาอัมขึ้นไปบนบาโมทบาอัลซึ่งเขามองลงมาเห็นประชากรอิสราเอลบางส่วน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/22-05f20b56cea2ef789444317c8eac6786.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 23

บาลาอัมทำนายเป็นครั้งแรก

1 บาลาอัมกล่าวว่า “จงก่อแท่นบูชาขึ้นที่นี่เจ็ดแท่น และเตรียมวัวหนุ่มกับแกะผู้อย่างละเจ็ดตัวให้ข้าพเจ้า”

2 บาลาคก็ปฏิบัติตามโดยถวายวัวหนุ่มและแกะผู้อย่างละตัวบนแท่นแต่ละแท่น

3 แล้วบาลาอัมกล่าวกับบาลาคว่า “จงยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาของท่านที่นี่ ข้าพเจ้าจะไปดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาหาข้าพเจ้าหรือไม่ แล้วข้าพเจ้าจะบอกให้ฟังว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร” แล้วเขาก็ขึ้นไปบนยอดเนินเขา

4 พระเจ้ามาปรากฏแก่บาลาอัม และเขากราบทูลว่า “ข้าพระองค์ได้เตรียมแท่นบูชาเจ็ดแท่น และได้ถวายวัวหนุ่มกับแกะผู้อย่างละตัวบนแท่นแต่ละแท่น”

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ถ้อยคำในปากของบาลาอัมและตรัสว่า “จงกลับไปหาบาลาค และกล่าวกับเขาตามนี้”

6 บาลาอัมจึงกลับลงมา และพบบาลาคยืนอยู่ข้างเครื่องบูชาพร้อมด้วยบรรดาเจ้านายของโมอับ

7 บาลาอัมจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“บาลาคนำข้าพเจ้ามาจากอารัม

กษัตริย์แห่งโมอับพาข้าพเจ้ามาจากภูเขาทางตะวันออก

เขากล่าวว่า ‘มาเถิด มาแช่งยาโคบให้เรา

จงมาประณามอิสราเอล’

8 ข้าพเจ้าจะสาปแช่ง

ผู้ที่พระเจ้าไม่ได้ทรงสาปแช่งได้อย่างไร?

ข้าพเจ้าจะประณาม

ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงประณามได้อย่างไร?

9 จากยอดผา ข้าพเจ้าเห็นคนเหล่านั้น

จากเบื้องสูง ข้าพเจ้าแลเห็นพวกเขา

ข้าพเจ้าเห็นชนชาติหนึ่งอยู่ตามลำพัง

และไม่ได้ถือว่าตนเป็นหนึ่งในบรรดาประชาชาติ

10 ใครเล่าอาจนับยาโคบซึ่งมากมายดั่งผงธุลี?

ใครเล่าอาจนับแม้เพียงเสี้ยวของอิสราเอล?

ขอให้ข้าพเจ้าได้ตายอย่างคนชอบธรรมเถิด

ขอให้บั้นปลายชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเช่นพวกเขาเถิด!”

11 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า “ท่านทำอะไร? เราพาท่านมาแช่งศัตรู ท่านกลับมาอวยพรพวกเขา!”

12 บาลาอัมตอบว่า “ข้าพเจ้าต้องพูดสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ไว้ในปากของข้าพเจ้าไม่ใช่หรือ?”

คำทำนายครั้งที่สองของบาลาอัม

13 บาลาคจึงพูดกับเขาว่า “เชิญไปยังอีกที่หนึ่งกับข้าพเจ้า ที่นั่นท่านจะเห็นคนอิสราเอลเพียงส่วนหนึ่ง และจงสาปแช่งพวกเขาเพื่อข้าพเจ้าที่นั่น”

14 บาลาคจึงพาบาลาอัมไปยังทุ่งโศฟิม บนยอดเขาปิสกาห์ ก่อแท่นบูชาขึ้นเจ็ดแท่น และถวายวัวหนุ่มกับแกะผู้อย่างละตัวบนแท่นแต่ละแท่น

15 บาลาอัมบอกบาลาคว่า “จงยืนข้างเครื่องบูชาของท่าน ข้าพเจ้าจะไปเข้าเฝ้าพระเจ้าที่โน่น”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาหาบาลาอัม ทรงใส่ถ้อยคำไว้ในปากของเขาและตรัสว่า “จงกลับไปหาบาลาคและกล่าวกับเขาตามนี้”

17 เขาจึงกลับมาหาบาลาคและพบเขากับเจ้านายของโมอับยืนอยู่ข้างเครื่องบูชา บาลาคถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอะไรบ้าง?”

18 บาลาอัมจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“ลุกขึ้นเถิด บาลาค ฟังนะ

บุตรศิปโปร์เอ๋ย จงฟังเรา

19 พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา

พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์

มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้วไม่ทรงกระทำ?

หรือทรงสัญญาไว้แล้วไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น?

20 ข้าพเจ้าได้รับคำบัญชาให้อวยพร

พระเจ้าได้ทรงอวยพร ข้าพเจ้าไม่อาจกล่าวเป็นอื่น

21 “ไม่เห็นเคราะห์กรรมอันใดในยาโคบ

ไม่พบความทุกข์ยากใดในอิสราเอล

องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของพวกเขาสถิตกับพวกเขา

เสียงโห่ร้องถวายพรชัยองค์กษัตริย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา

22 พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์

พวกเขาทรงพลังอย่างกระทิง

23 ไม่มีอาถรรพ์ใดๆ ตกแก่ยาโคบ

ไม่อาจทำเวทมนตร์ใดๆ แก่อิสราเอล

ถึงเวลาแล้วที่จะพูดถึงยาโคบ

ที่จะพูดถึงอิสราเอลว่า ‘ดูสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเถิด!’

24 ประชากรเหล่านี้ผงาดขึ้นมาเยี่ยงนางสิงห์

พวกเขาตื่นขึ้นเยี่ยงราชสีห์

พวกเขาจะไม่หยุดพักจนกว่าจะได้เขมือบเหยื่อ

และได้ดื่มเลือดของเหยื่อเสียก่อน”

25 บาลาคกล่าวกับบาลาอัมว่า “ถ้าท่านจะไม่แช่งด่าพวกเขา ก็อย่าอวยพรเขาเลย!”

26 บาลาอัมตอบว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าพเจ้าจะต้องทำตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส?”

คำทำนายครั้งที่สามของบาลาอัม

27 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง พระเจ้าอาจพอพระทัยที่จะให้ท่านแช่งพวกเขาที่นั่น”

28 บาลาคจึงพาบาลาอัมไปที่ยอดเขาเปโอร์ซึ่งมองลงมาเห็นถิ่นกันดาร

29 บาลาอัมกล่าวว่า “จงก่อแท่นบูชาเจ็ดแท่นและเตรียมวัวหนุ่มเจ็ดตัวกับแกะผู้เจ็ดตัวเป็นเครื่องบูชา”

30 บาลาคก็ทำตามที่บาลาอัมกล่าว และถวายวัวหนุ่มและแกะผู้อย่างละหนึ่งตัวบนแท่นแต่ละแท่น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/23-eac66ca8c7efbc2df673714885da2295.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 24

1 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่จะอวยพรอิสราเอล ก็ไม่ได้ไปเสี่ยงทายเหมือนครั้งก่อนๆ แต่ตรงไปมองดูถิ่นกันดารทันที

2 เมื่อบาลาอัมมองไปเห็นอิสราเอลแยกตั้งค่ายตามเผ่า พระวิญญาณของพระเจ้าก็มาอยู่เหนือบาลาอัม

3 เขาจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์

คำทำนายของผู้มีตาสว่าง

4 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้า

ผู้เห็นนิมิตจากองค์ทรงฤทธิ์

ผู้ล้มลง แล้วตาก็เปิดออก

5 “ยาโคบเอ๋ย! เต็นท์ของท่านงามยิ่งนัก

อิสราเอลเอ๋ย ที่พำนักของท่านงามเหลือเกิน

6 “พวกเขาแผ่ขยายออกไปดั่งหุบเขา

ดั่งอุทยานริมแม่น้ำ

ดั่งต้นกฤษณาซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลูกไว้

ดั่งต้นสนซีดาร์ริมน้ำ

7 น้ำจะไหลล้นจากถังของเขา

เมล็ดพันธุ์ของเขาจะมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์

“กษัตริย์ของเขาจะยิ่งใหญ่กว่าอากัก

ราชอาณาจักรของเขาจะได้รับการเชิดชู

8 “พระเจ้าทรงพาพวกเขาออกจากอียิปต์

พวกเขาทรงพลังเยี่ยงวัวป่า

พวกเขาเขมือบชนชาติต่างๆ ซึ่งเป็นศัตรู

หักกระดูกของพวกนั้นเป็นชิ้นๆ

พวกเขาทิ่มแทงคนเหล่านั้นด้วยลูกธนู

9 พวกเขาเอนตัวลงนอนเยี่ยงราชสีห์

เยี่ยงนางสิงห์ ใครจะกล้าไปแหย่พวกเขาได้?

“ขอให้ผู้ที่อวยพรท่านได้รับพร

และให้ผู้ที่แช่งท่านถูกแช่ง!”

10 บาลาคโกรธจัด ทุบกำปั้นและตวาดว่า “เราเรียกให้เจ้ามาแช่งศัตรู แต่เจ้ากลับมาอวยพรพวกมันถึงสามครั้งสามครา

11 ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ กลับบ้านไป! เราคิดจะปูนบำเหน็จให้เจ้าอย่างงาม แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขัดขวางไว้เสียแล้ว”

12 บาลาอัมตอบบาลาคว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้บอกผู้สื่อสารของท่านหรอกหรือว่า

13 ‘ถึงแม้บาลาคจะยกปราสาทที่เต็มไปด้วยเงินและทองให้ ข้าพเจ้าก็ไม่อาจทำสิ่งใดนอกเหนือพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพูดอะไรตามใจชอบไม่ว่าดีหรือร้าย ต้องพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเท่านั้น’?

14 บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปหาพวกพ้อง แต่ขอเตือนถึงสิ่งที่ชนชาตินี้จะทำแก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า”

คำทำนายครั้งที่สี่ของบาลาอัม

15 เขาจึงกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์

คำทำนายของผู้มีตาสว่าง

16 คำพยากรณ์ของผู้ได้ยินพระดำรัสของพระเจ้า

ผู้มีความรู้จากองค์ผู้สูงสุด

ผู้เห็นนิมิตจากองค์ทรงฤทธิ์

ผู้ล้มลง แล้วตาก็เปิดออก

17 “ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่ขณะนี้

ข้าพเจ้ามองเห็น แต่ไม่ใช่ระยะใกล้

ดาวดวงหนึ่งจะออกมาจากยาโคบ

ธารพระกรจะรุ่งเรืองออกมาจากอิสราเอล

ผู้นั้นจะบดขยี้หน้าผากของโมอับ

และทุบกะโหลกศีรษะพงศ์พันธุ์ของเชท

18 เอโดมจะถูกพิชิต

เสอีร์ศัตรูของเขาก็จะถูกพิชิต

ส่วนอิสราเอลจะเข้มแข็งขึ้น

19 จะมีผู้ครอบครองผู้หนึ่งออกมาจากยาโคบ

และจะทำลายล้างผู้รอดตายของเมืองนั้น”

คำทำนายครั้งสุดท้ายของบาลาอัม

20 จากนั้นบาลาอัมมองดูชาวอามาเลข และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“อามาเลขเป็นประชาชาติหมายเลขหนึ่ง

แต่เขาจะพินาศย่อยยับในที่สุด”

21 แล้วเขามองดูชาวเคไนต์และกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“ที่พำนักของเจ้ามั่นคง

รังของเขาอยู่ที่ซอกหิน

22 กระนั้นเจ้าชาวเคไนต์จะถูกทำลายล้าง

เมื่ออัสชูร์มากวาดต้อนเจ้าไปเป็นเชลย”

23 แล้วบาลาอัมกล่าวคำพยากรณ์ว่า

“อนิจจา ใครเล่าจะรอดชีวิตอยู่ได้เมื่อพระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้?

24 เรือจะมาจากชายฝั่งคิททิม

และพวกเขาจะปราบทั้งอัสชูร์และเอเบอร์

แต่พวกเขาก็จะพินาศย่อยยับเช่นกัน”

25 แล้วบาลาอัมก็ลุกขึ้นกลับไปยังที่อยู่ของตน และบาลาคก็ไปตามทางของเขา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/24-0569549e5bd1c389ff51e76866a293a8.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 25

โมอับล่อลวงอิสราเอล

1 ขณะอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ชิทธีม พวกผู้ชายเริ่มทำผิดทางเพศกับหญิงชาวโมอับ

2 ผู้เชื้อเชิญพวกเขาไปร่วมเซ่นสังเวยแก่พระของพวกนาง พวกเขาก็ร่วมงานเลี้ยงและกราบไหว้พระเหล่านั้น

3 อิสราเอลหันไปร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งนัก

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำตัวบรรดาผู้นำของประชาชนเหล่านั้นมาประหาร แล้วแขวนไว้กลางแดดระอุต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะหันเหไปจากอิสราเอล”

5 ดังนั้นโมเสสจึงสั่งเหล่าตุลาการของอิสราเอลว่า “พวกท่านแต่ละคนจะต้องประหารคนของพวกท่านที่ได้ร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์”

6 ขณะนั้นชายอิสราเอลคนหนึ่งพาหญิงชาวมีเดียนเข้ามาในค่ายพักต่อหน้าต่อตาโมเสสและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งหมดซึ่งยืนร่ำไห้อยู่ตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ

7 เมื่อฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์บุตรของปุโรหิตอาโรนเห็นเช่นนี้ ก็ละจากชุมนุมประชากรและจับทวน

8 ติดตามชายผู้นั้นเข้าไปในเต็นท์ แล้วพุ่งทวนทะลุร่างของคนทั้งสอง ภัยพิบัติที่เกิดแก่ชนอิสราเอลก็สงบลง

9 แต่ก็มีผู้เสียชีวิตเพราะภัยพิบัติไปแล้วถึง 24,000 คน

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

11 “ฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์ หลานชายปุโรหิตอาโรน เป็นผู้หันโทสะของเราไปจากชนอิสราเอล เพราะเขาเจ็บแค้นแทนเรา เพื่อปกป้องเกียรติของเรา เราจึงหยุดทำลายล้างอิสราเอลตามที่ตั้งใจไว้

12 ฉะนั้นจงบอกเขาว่าเราได้ตั้งพันธสัญญาแห่งสันติภาพกับเขา

13 เขากับลูกหลานจะได้ถือพันธสัญญาครองความเป็นปุโรหิตตลอดไป เนื่องจากเขามีใจกระตือรือร้นเพื่อเกียรติของพระเจ้าของเขา และได้ลบบาปให้ชนอิสราเอล”

14 ชาวอิสราเอลคนที่ถูกประหารพร้อมหญิงชาวมีเดียนนั้นคือศิมรีบุตรของสาลู เขาเป็นผู้นำคนหนึ่งของตระกูลสิเมโอน

15 หญิงคนนั้นชื่อคสบี บุตรสาวศูร์ซึ่งเป็นผู้นำคนหนึ่งของชาวมีเดียน

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

17 “จงตั้งตนเป็นศัตรูกับชาวมีเดียนและประหารพวกเขา

18 เพราะพวกเขาทำตัวเป็นศัตรูโดยหลอกลวงพวกเจ้าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เปโอร์ และเรื่องคสบีบุตรสาวผู้นำแห่งมีเดียน หญิงผู้ถูกประหารในคราวภัยพิบัติอันเนื่องมาจากเปโอร์”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/25-ef99a0ca646d3dabb7dab0adc0a0296c.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 26

สำมะโนประชากรครั้งที่สอง

1 หลังจากภัยพิบัติยุติลงแล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและเอเลอาซาร์บุตรปุโรหิตอาโรนว่า

2 “จงทำสำมะโนประชากรชายทุกคนในอิสราเอลที่มีอายุยี่สิบปีขึ้นไป เพื่อสำรวจว่าในแต่ละครอบครัวมีใครบ้างที่สามารถออกรบได้”

3 ดังนั้นโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงแจ้งพวกเขาขณะตั้งค่ายอยู่ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า

4 “จงทำสำมะโนประชากรชายอายุยี่สิบปีขึ้นไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส”

ชนอิสราเอลที่ออกมาจากอียิปต์ ได้แก่

5 วงศ์วานของรูเบนบุตรหัวปีของอิสราเอลได้แก่

ตระกูลฮาโนคจากฮาโนค

ตระกูลปัลลูจากปัลลู

6 ตระกูลเฮสโรนจากเฮสโรน

ตระกูลคารมีจากคารมี

7 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของรูเบน นับได้ 43,730 คน

8 บุตรชายของปัลลูคือเอลีอับ

9 และบุตรชายของเอลีอับคือ เนมูเอล ดาธาน และอาบีรัม ดาธานและอาบีรัมนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของชุมชนซึ่งได้กบฏต่อโมเสสและต่ออาโรน และเป็นพรรคพวกของโคราห์เมื่อเขากบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

10 พื้นธรณีแยกออกและสูบพวกเขาลงไปพร้อมกับโคราห์ และพรรคพวกของเขา 250 คนถูกไฟคลอกตาย และนั่นเป็นเครื่องเตือนเหล่าประชากร

11 แต่เชื้อสายโคราห์ไม่ได้สูญสิ้นไป

12 วงศ์วานของสิเมโอนแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเนมูเอลจากเนมูเอล

ตระกูลยามีนจากยามีน

ตระกูลยาคีนจากยาคีน

13 ตระกูลเศราห์จากเศราห์

และตระกูลชาอูลจากชาอูล

14 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของสิเมโอน นับได้ 22,200 คน

15 วงศ์วานของกาดแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเศโฟนจากเศโฟน

ตระกูลฮักกีจากฮักกี

ตระกูลชูนีจากชูนี

16 ตระกูลโอสนีจากโอสนี

ตระกูลเอรีจากเอรี

17 ตระกูลอาโรดีจากอาโรดี

และตระกูลอาเรลีจากอาเรลี

18 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของกาด นับได้ 40,500 คน

19 เอร์และโอนันบุตรชายของยูดาห์เสียชีวิตที่คานาอัน

20 วงศ์วานของยูดาห์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเชลาห์จากเชลาห์

ตระกูลเปเรศจากเปเรศ

ตระกูลเศราห์จากเศราห์

21 วงศ์วานของเปเรศ ได้แก่

ตระกูลเฮสโรนจากเฮสโรน

และตระกูลฮามูลจากฮามูล

22 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของยูดาห์ นับได้ 76,500 คน

23 วงศ์วานของอิสสาคาร์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลโทลาจากโทลา

ตระกูลปูวาห์จากปูวาห์

24 ตระกูลยาชูบจากยาชูบ

และตระกูลชิมโรนจากชิมโรน

25 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของอิสสาคาร์ นับได้ 64,300 คน

26 วงศ์วานของเศบูลุน แยกตามตระกูลได้แก่

ตระกูลเสเรดจากเสเรด

ตระกูลเอโลนจากเอโลน

และตระกูลยาเลเอลจากยาเลเอล

27 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเศบูลุน นับได้ 60,500 คน

28 วงศ์วานของโยเซฟแยกตามตระกูลนับตามมนัสเสห์และเอฟราอิมคือ

29 วงศ์วานของมนัสเสห์ ได้แก่

ตระกูลมาคีร์จากมาคีร์

(มาคีร์เป็นบิดาของกิเลอาด)

ตระกูลกิเลอาดจากกิเลอาด

30 วงศ์วานของกิเลอาด ได้แก่

ตระกูลอีเยเซอร์จากอีเยเซอร์

ตระกูลเฮเลคจากเฮเลค

31 ตระกูลอัสรีเอลจากอัสรีเอล

ตระกูลเชเคมจากเชเคม

32 ตระกูลเชมิดาจากเชมิดา

และตระกูลเฮเฟอร์จากเฮเฟอร์

33 (เศโลเฟหัดบุตรเฮเฟอร์ไม่มีบุตรชาย

มีแต่บุตรสาวได้แก่ มาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และทีรซาห์)

34 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของมนัสเสห์ นับได้ 52,700 คน

35 วงศ์วานของเอฟราอิมแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลชูเธลาห์จากชูเธลาห์

ตระกูลเบเคอร์จากเบเคอร์

ตระกูลทาหานจากทาหาน

36 วงศ์วานของชูเธลาห์คือ

ตระกูลเอรานจากเอราน

37 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเอฟราอิมนับได้ 32,500 คน

ทั้งหมดนี้คือวงศ์วานของโยเซฟแยกตามตระกูล

38 วงศ์วานของเบนยามินแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเบลาจากเบลา

ตระกูลอัชเบลจากอัชเบล

ตระกูลอาหิรัมจากอาหิรัม

39 ตระกูลชูฟามจากชูฟาม

และตระกูลหุฟามจากหุฟาม

40 วงศ์วานของเบลาทางอาร์ดและนาอามาน ได้แก่

ตระกูลอาร์ดจากอาร์ด

และตระกูลนาอามานจากนาอามาน

41 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของเบนยามิน นับได้ 45,600 คน

42 วงศ์วานของดานแยกตามตระกูลคือ

ตระกูลชูฮัมจากชูฮัม

นี่คือตระกูลของดาน

43 ทั้งหมดล้วนอยู่ในตระกูลชูฮัม รวม 64,400 คน

44 วงศ์วานของอาเชอร์แยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลอิมนาห์จากอิมนาห์

ตระกูลอิชวีจากอิชวี

ตระกูลเบรียาห์จากเบรียาห์

45 และวงศ์วานของตระกูลเบรียาห์ ได้แก่

ตระกูลเฮเบอร์จากเฮเบอร์

ตระกูลมัลคีเอลจากมัลคีเอล

46 (อาเชอร์มีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อเสราห์)

47 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของอาเชอร์นับได้ 53,400 คน

48 วงศ์วานของนัฟทาลีแยกตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลยาเซเอลจากยาเซเอล

ตระกูลกูนีจากกูนี

49 ตระกูลเยเซอร์จากเยเซอร์

ตระกูลชิลเลมจากชิลเลม

50 ทั้งหมดนี้คือตระกูลต่างๆ ของนัฟทาลีนับได้ 45,400 คน

51 รวมพลอิสราเอลทั้งหมดได้ 601,730 คน

52 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า

53 “จงแบ่งดินแดนแก่เผ่าต่างๆ ตามสัดส่วนจำนวนคนที่นับได้

54 เผ่าใหญ่ได้รับที่ดินมาก และเผ่าที่เล็กกว่าได้รับที่ดินน้อยลงตามส่วน และแต่ละกลุ่มจะได้รับมรดกตามจำนวนรายชื่อที่ขึ้นทะเบียนไว้

55 ให้จับฉลากแบ่งดินแดน แต่ละกลุ่มได้ครองกรรมสิทธิ์ตามจำนวนรายชื่อเผ่าบรรพบุรุษ

56 แบ่งสรรกรรมสิทธิ์โดยจับฉลากตามส่วนเผ่าใหญ่และเผ่าเล็ก”

57 ต่อไปนี้คือเผ่าเลวีนับตามตระกูล ได้แก่

ตระกูลเกอร์โชนจากเกอร์โชน

ตระกูลโคฮาทจากโคฮาท

ตระกูลเมรารีจากเมรารี

58 ต่อไปนี้ก็คือตระกูลของเลวีด้วย ได้แก่

ตระกูลลิบนี

ตระกูลเฮโบรน

ตระกูลมาห์ลี

ตระกูลมูชี

ตระกูลโคราห์

(โคฮาทเป็นบรรพบุรุษของอัมราม

59 ภรรยาของอัมรามชื่อโยเคเบดผู้เป็นเชื้อสายของเลวี ซึ่งเป็นบุตรสาวของชาวเลวีที่เกิดในอียิปต์ อัมรามมีบุตรชายคืออาโรนกับโมเสส และบุตรสาวชื่อมิเรียม

60 อาโรนมีบุตรชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์

61 แต่นาดับและอาบีฮูสิ้นชีวิตไปเมื่อครั้งจุดไฟที่ไม่ได้รับอนุญาตต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า)

62 จำนวนผู้ชายทั้งหมดในตระกูลเลวีอายุหนึ่งเดือนขึ้นไปนับได้ 23,000 คน แต่ไม่ได้นับรวมเข้าในสำมะโนประชากรของอิสราเอล เพราะชาวเลวีไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ดินเหมือนตระกูลอื่นๆ

63 ทั้งหมดนี้คือสำมะโนประชากรซึ่งโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จัดทำขึ้นในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

64 ไม่มีสักคนเดียวในสำมะโนประชากรนี้ที่มีชื่ออยู่ในสำมะโนประชากรคราวก่อนซึ่งโมเสสและปุโรหิตอาโรนทำขึ้นในถิ่นกันดารซีนาย

65 ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแก่ชาวอิสราเอลเหล่านั้นว่าพวกเขาจะตายในถิ่นกันดารแน่นอน ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์และโยชูวาบุตรนูน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/26-fea0d8389b9cd04b648529f558fedf7a.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 27

บุตรสาวของเศโลเฟหัด

1 บุตรสาวของเศโลเฟหัดได้แก่ มาห์ลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีรซาห์ เศโลเฟหัดซึ่งอยู่ในตระกูลของมนัสเสห์เป็นบุตร ของเฮเฟอร์บุตรกิเลอาดซึ่งเป็นบุตรมาคีร์บุตรของมนัสเสห์

2 หญิงเหล่านี้มายังบริเวณทางเข้าเต็นท์นัดพบและร้องเรียนต่อโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ หัวหน้าตระกูลต่างๆ และชุมนุมประชากรทั้งหมดว่า

3 “บิดาของพวกเราเสียชีวิตในถิ่นกันดารเพราะบาปของท่านเอง และท่านไม่มีบุตรชาย ท่านไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกโคราห์ที่รวมหัวกันกบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

4 เหตุใดนามของท่านจะต้องถูกลบไปจากตระกูลเพียงเพราะท่านไม่มีบุตรชาย? โปรดให้พวกข้าพเจ้าได้รับกรรมสิทธิ์ร่วมกับญาติพี่น้องของบิดาเถิด”

5 โมเสสจึงกราบทูลเรื่องนี้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

6 และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า

7 “บุตรสาวของเศโลเฟหัดพูดถูก เจ้าต้องแบ่งที่ดินให้พวกนางเป็นมรดกร่วมกับพี่น้องของบิดา จงยกส่วนแบ่งของบิดาให้แก่พวกนางเถิด

8 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘หากชายใดสิ้นชีวิตไปโดยไม่มีบุตรชาย มรดกของเขาจะยกให้เป็นของบุตรสาว

9 หากคนนั้นไม่มีบุตรสาว มรดกนั้นก็จะยกให้พี่ชายน้องชายของเขา

10 หากเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของบิดาเขา

11 หากบิดาของเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกจะตกเป็นของญาติสนิทที่สุดในตระกูลของเขา นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับชนอิสราเอลตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส’ ”

โยชูวารับหน้าที่สืบต่อจากโมเสส

12 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงขึ้นไปบนเทือกเขาอาบาริมนี้ และมองดูแผ่นดินที่เรายกให้ชนอิสราเอล

13 เมื่อเจ้าได้ดูแล้ว เจ้าก็จะตายไปอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าเหมือนอาโรนพี่ชายของเจ้า

14 เพราะเจ้าทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของเรา ไม่ได้ให้เกียรติเราในฐานะองค์บริสุทธิ์ต่อหน้าชนอิสราเอล เมื่อครั้งที่พวกเขากำเริบเสิบสานเรื่องน้ำในถิ่นกันดารศิน” (นี่เป็นปัญหาเรื่องน้ำซึ่งเกิดที่เมรีบาห์ที่คาเดชในถิ่นกันดารศิน)

15 โมเสสกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

16 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งจิตวิญญาณของมวลมนุษยชาติ ขอทรงแต่งตั้งผู้นำของชุมชนนี้

17 เป็นผู้ที่จะนำพวกเขาออกรบ คอยพิทักษ์พวกเขา เพื่อประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่เป็นอย่างแกะที่ปราศจากคนเลี้ยง”

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงนำโยชูวาบุตรนูนผู้มีพระวิญญาณอยู่ภายในเข้ามา แล้ววางมือบนเขา

19 โดยให้เขายืนอยู่ต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์และชุมนุมประชากรทั้งปวง แล้วแต่งตั้งเขาต่อหน้าคนเหล่านั้น

20 จงมอบสิทธิอำนาจของเจ้าบางส่วนให้เขา เพื่อชุมชนอิสราเอลทั้งหมดจะเชื่อฟังเขา

21 เขาจะยืนอยู่ต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์ผู้ซึ่งทูลขอคำตัดสินให้เขาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยฉลากศักดิ์สิทธิ์แล้วโยชูวาและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงก็จะทำตามคำสั่งของปุโรหิตเอเลอาซาร์”

22 โมเสสก็ปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา เขาพาโยชูวามาต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์และชุมนุมประชากรทั้งปวง

23 แล้วโมเสสจึงวางมือบนโยชูวาและแต่งตั้งเขาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/27-ef19f4ca5bd9c56d36018a92b6020b3b.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 28

เครื่องบูชาประจำวัน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘จงใส่ใจที่จะนำเครื่องบูชามาถวายเราตามเวลาที่กำหนด เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่เราพอใจ’

3 จงบอกเขาว่า ‘เครื่องบูชาด้วยไฟที่เจ้านำมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นประกอบด้วยลูกแกะอายุหนึ่งขวบซึ่งไม่มีตำหนิ วันละสองตัว เป็นเครื่องเผาบูชาประจำวัน

4 ตัวหนึ่งถวายตอนเช้า อีกตัวหนึ่งถวายตอนพลบค่ำ

5 และถวายธัญบูชาควบคู่คือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 2 ลิตรเคล้าน้ำมันมะกอกประมาณ 1 ลิตร

6 นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่กำหนดไว้ที่ภูเขาซีนาย ให้ถวายเป็นประจำ เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

7 เครื่องดื่มบูชาที่ถวายควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัวนั้นคือเหล้าประมาณ 1 ลิตร ให้รินเครื่องดื่มบูชานี้ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าในสถานนมัสการ

8 จงถวายลูกแกะตัวที่สองในตอนพลบค่ำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาอย่างเดียวกับในตอนเช้า เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

เครื่องบูชาสำหรับวันสะบาโต

9 “ ‘ในวันสะบาโต จงถวายลูกแกะอายุหนึ่งขวบไม่มีตำหนิสองตัว ควบคู่กับเครื่องดื่มบูชาและธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 4.5 ลิตรเคล้าน้ำมัน

10 เป็นเครื่องเผาบูชาสำหรับทุกวันสะบาโต นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามปกติ

เครื่องบูชาประจำทุกเดือน

11 “ ‘ทุกวันต้นเดือนจงถวายเครื่องเผาบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าโดยใช้วัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

12 เจ้าต้องถวายธัญบูชาคือ ถวายแป้งโม่ละเอียดเคล้าน้ำมันประมาณ 6.5 ลิตรควบคู่กับวัวหนุ่มแต่ละตัว ถวายประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

13 และถวายประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว นี่เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

14 เครื่องดื่มบูชาควบคู่กับวัวคือเหล้าองุ่นประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับแกะคือ เหล้าองุ่นประมาณ 1.2 ลิตรและควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัวคือเหล้าองุ่นประมาณ 1 ลิตร นี่เป็นเครื่องเผาบูชาที่ถวายทุกเดือนในวันขึ้นหนึ่งค่ำตลอดทั้งปี

15 และถวายแพะผู้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาตามปกติควบคู่กับเครื่องดื่มบูชา

เทศกาลปัสกา

16 “ ‘ในวันที่สิบสี่ของเดือนที่หนึ่ง จงถือเทศกาลปัสกาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 ในวันที่สิบห้าของเดือนเดียวกันเป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลโดยการรับประทานขนมปังไม่ใส่เชื้อตลอดเจ็ดวัน

18 ในวันแรกของเทศกาล จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงานในวันนั้น

19 เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาด้วยไฟแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเครื่องเผาบูชาคือวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

20 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวแต่ละตัว แป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

21 และแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

22 จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปของเจ้าด้วย

23 เครื่องบูชาเหล่านี้จะถวายเพิ่มเติมจากเครื่องเผาบูชาประจำวันที่ถวายตอนเช้า

24 ทุกวันตลอดสัปดาห์ของเทศกาลนี้ จงเตรียมอาหารเหล่านี้ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย เพิ่มเติมจากเครื่องเผาบูชาและเครื่องดื่มบูชาประจำวัน

25 ในวันที่เจ็ดให้จัดประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

เทศกาลแห่งสัปดาห์

26 “ ‘ในวันถวายผลแรก เมื่อเจ้านำเครื่องบูชาที่เป็นเมล็ดข้าวใหม่ในช่วงเทศกาลแห่งสัปดาห์มาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

27 จงถวายวัวหนุ่มสองตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัวเป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

28 พร้อมด้วยธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวแต่ละตัว ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

29 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

30 และจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับเจ้า

31 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาที่ถวายเป็นประจำและธัญบูชา จงถวายเครื่องดื่มบูชาด้วย เจ้าต้องแน่ใจว่าสัตว์ที่นำมาถวายนั้นไม่มีตำหนิใดๆ เลย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/28-9da069afd04b34f792cb6dd8205185ff.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 29

เทศกาลเสียงแตร

1 “ ‘ในวันที่หนึ่งเดือนที่เจ็ดของทุกปี จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน ให้เจ้าเป่าแตรในวันนี้

2 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

3 ถวายธัญบูชาคือ แป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

4 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

5 และจงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาปของเจ้า

6 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชา ธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาที่ถวายเป็นประจำทุกวันและทุกเดือน จงถวายเครื่องบูชาตามที่กล่าวมานี้ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นกลิ่นหอมที่พอพระทัย

วันลบบาป

7 “ ‘ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนั้น จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์ เจ้าต้องบังคับตนและอย่าทำงาน

8 จงถวายวัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องเผาบูชา เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

9 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่ม ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้

10 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

11 นอกเหนือจากเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อลบบาป และเครื่องเผาบูชาที่ถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

เทศกาลอยู่เพิง

12 “ ‘ในวันที่สิบห้าของเดือนที่เจ็ด จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน จงฉลองเทศกาลแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเจ็ดวัน

13 จงถวายเครื่องเผาบูชาได้แก่ วัวหนุ่มสิบสามตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

14 ถวายธัญบูชาคือแป้งโม่ละเอียดประมาณ 6.5 ลิตรเคล้าน้ำมันควบคู่กับวัวหนุ่มแต่ละตัว ถวายแป้งประมาณ 4.5 ลิตรควบคู่กับแกะผู้แต่ละตัว

15 และถวายแป้งประมาณ 2 ลิตรควบคู่กับลูกแกะแต่ละตัว

16 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

17 “ ‘ในวันที่สองของเทศกาล จงถวายวัวหนุ่มสิบสองตัว แกะผู้สองตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

18 ควบคู่กับเครื่องธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

19 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

20 “ ‘ในวันที่สาม จงถวายวัวหนุ่มสิบเอ็ดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

21 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

22 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

23 “ ‘ในวันที่สี่ จงถวายวัวหนุ่มสิบตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

24 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

25 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

26 “ ‘ในวันที่ห้า จงถวายวัวหนุ่มเก้าตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

27 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

28 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

29 “ ‘ในวันที่หก จงถวายวัวหนุ่มแปดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

30 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

31 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

32 “ ‘ในวันที่เจ็ด จงถวายวัวหนุ่มเจ็ดตัว แกะผู้สองตัว และลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบสิบสี่ตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ

33 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

34 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

35 “ ‘ในวันที่แปด จงจัดการประชุมนมัสการศักดิ์สิทธิ์และอย่าทำงาน

36 จงถวายเครื่องเผาบูชาคือ วัวหนุ่มหนึ่งตัว แกะผู้หนึ่งตัว ลูกแกะตัวผู้อายุหนึ่งขวบเจ็ดตัว ทั้งหมดล้วนไม่มีตำหนิ เป็นเครื่องบูชาด้วยไฟ เป็นกลิ่นหอมที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

37 ควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชาตามจำนวนที่กำหนดไว้

38 นอกเหนือจากเครื่องเผาบูชาซึ่งถวายเป็นประจำควบคู่กับธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา จงถวายแพะผู้หนึ่งตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย

39 “ ‘นอกเหนือจากของถวายตามสัตย์ปฏิญาณและเครื่องบูชาตามความสมัครใจของท่าน จงถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา เครื่องดื่มบูชา และเครื่องสันติบูชา จงถวายเครื่องบูชาเหล่านี้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในเทศกาลต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ด้วย’ ”

40 โมเสสจึงแจ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดนี้แก่ประชากรอิสราเอล

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/29-4f85eb96ee1733745a4540fee28f8a2b.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 30

คำปฏิญาณ

1 โมเสสแจ้งหัวหน้าเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาดังนี้คือ

2 ผู้ใดถวายปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือลั่นวาจาสาบานว่าจะทำสิ่งใด ก็อย่าผิดคำปฏิญาณให้เขาทำตามที่ลั่นวาจาไว้ทุกประการ

3 “หญิงสาวคนใดที่ยังอยู่ในการปกครองของบิดาและกล่าวปฏิญาณต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือกล่าวคำสาบาน

4 และบิดาของนางได้ยินนางกล่าวปฏิญาณหรือคำสาบานนั้น แต่เขาไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการของนางก็ยังมีผลอยู่

5 แต่หากบิดาของนางได้ยินและคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นก็เป็นโมฆะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนางเนื่องจากบิดาของนางคัดค้าน

6 “หากนางแต่งงานหลังจากที่ได้กล่าวปฏิญาณหรือพลั้งปากสาบานโดยไม่ยั้งคิด

7 และสามีของนางได้ทราบคำปฏิญาณนั้นในภายหลังและไม่ได้ทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานของนางก็ยังคงมีผลอยู่

8 แต่หากสามีของนางได้ทราบและคัดค้านคำปฏิญาณหรือวาจาพลั้งปากของนางนั้นก็เป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง

9 “แต่คำปฏิญาณหรือคำสาบานของหญิงม่ายหรือหญิงที่ถูกหย่าร้างจะยังมีผลบังคับ

10 “หากหญิงที่อยู่กินกับสามีกล่าวคำปฏิญาหรือคำสาบานผูกมัดตัวเอง

11 และสามีของนางได้ยินคำปฏิญาณนั้น แต่ไม่ได้คัดค้านหรือทักท้วงอะไร คำปฏิญาณหรือคำสาบานทุกประการก็ยังคงมีผลอยู่

12 แต่หากสามีของนางได้ยินแล้วคัดค้านคำปฏิญาณหรือคำสาบานจากปากของนางถือเป็นโมฆะ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถือโทษนาง

13 ฉะนั้นสามีของนางอาจจะรับรองคำปฏิญาณหรือทำให้เป็นโมฆะก็ได้

14 แต่หากเขาไม่ได้พูดอะไรนับตั้งแต่ที่เขาได้ยิน ให้ถือว่าเขาได้รับรองคำปฏิญาณนั้นแล้ว การที่เขาไม่ได้กล่าวทักท้วงใดๆ ให้ถือเป็นการยืนยันรับรองคำปฏิญาณหรือคำสาบานนั้นๆ

15 แต่ถ้าเขามากล่าวทักท้วงในภายหลัง เขาจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดของนาง”

16 ทั้งหมดนี้คือระเบียบซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสสเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสามีกับภรรยา และบิดากับบุตรสาวในปกครอง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/30-32df4f5810d12d82e4ef6527a8169d64.mp3?version_id=179—