Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 31

การแก้แค้นชาวมีเดียน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงแก้แค้นชาวมีเดียนให้ชนอิสราเอล หลังจากนั้นเจ้าจะตาย”

3 ดังนั้นโมเสสจึงกล่าวแก่ประชากรว่า “พวกเจ้าบางคนจะต้องเตรียมอาวุธไปทำสงครามกับชาวมีเดียน เพื่อนำการแก้แค้นขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปถึงพวกเขา

4 จงเกณฑ์พลอิสราเอลมาเผ่าละหนึ่งพันคน”

5 พวกเขาจึงรวมกำลังพลได้ 12,000 คนจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล และถืออาวุธเข้าสู่สงคราม

6 โมเสสส่งคนที่ได้มาเผ่าละหนึ่งพันคนนั้นไปรบโดยมีฟีเนหัสบุตรของปุโรหิตเอเลอาซาร์นำทัพไป พร้อมด้วยเครื่องใช้จากสถานนมัสการและแตรสัญญาณ

7 พวกเขาสู้รบกับมีเดียนตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาโมเสส และฆ่าผู้ชายทุกคน

8 รวมทั้งกษัตริย์ทั้งห้าของชาวมีเดียนคือ เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา บาลาอัมบุตรเบโอร์ก็ถูกฆ่าตายด้วยดาบ

9 กองทัพอิสราเอลจับกุมผู้หญิงและเด็กชาวมีเดียนมาเป็นเชลย ทั้งกวาดต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมดและริบข้าวของมาด้วย

10 แล้วเผาเมืองและค่ายพักของชาวมีเดียนจนหมดสิ้น

11 พวกเขากวาดต้อนคน ฝูงสัตว์ และริบทรัพย์สินทั้งหมด

12 แล้วนำมามอบให้โมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และชุมนุมประชากรอิสราเอลซึ่งตั้งค่ายพักอยู่ในที่ราบโมอับ ริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

13 โมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และบรรดาผู้นำของชุมชนออกมารอรับพวกเขานอกค่าย

14 โมเสสโกรธนายทหารและแม่ทัพนายกองที่กลับจากการรบเหล่านั้น

15 โมเสสถามพวกเขาว่า “ทำไมจึงปล่อยให้พวกผู้หญิงรอดชีวิตอยู่ได้?

16 คนเหล่านี้แหละที่ทำตามคำแนะนำของบาลาอัม และชักนำชนอิสราเอลให้หันเหจากองค์พระผู้เป็นเจ้าในเหตุการณ์ที่เปโอร์ เป็นต้นเหตุแห่งภัยพิบัติที่ทำลายล้างประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า

17 จงฆ่าเด็กผู้ชายทุกคนและผู้หญิงทุกคนที่เคยหลับนอนกับผู้ชายแล้ว

18 แต่จงไว้ชีวิตหญิงสาวที่ยังไม่เคยหลับนอนกับผู้ชายไว้สำหรับพวกเจ้า

19 “พวกเจ้าทุกคนที่ฆ่าคนหรือแตะต้องซากศพ จงออกไปอยู่นอกค่ายพักเป็นเวลาเจ็ดวัน แล้วจงชำระตัวเองและเชลยของเจ้าในวันที่สามและวันที่เจ็ด

20 จงชำระเครื่องนุ่งห่มและทุกสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ ขนแพะ หรือไม้ให้สะอาดด้วย”

21 จากนั้นปุโรหิตเอเลอาซาร์กล่าวกับทหารที่กลับมาจากการรบว่า “นี่คือข้อกำหนดตามบทบัญญัติซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โมเสส

22 คือทอง เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก ดีบุก ตะกั่ว

23 และสิ่งใดๆ ซึ่งทนความร้อนได้ จงเอาไปเผาไฟเพื่อชำระ จากนั้นล้างด้วยน้ำชำระมลทิน แต่สิ่งใดที่ไม่ทนความร้อนจะต้องล้างด้วยน้ำ

24 ในวันที่เจ็ดจงซักเสื้อผ้า แล้วท่านจะสะอาด และกลับเข้ามาในค่ายพักได้”

แบ่งของที่ริบมา

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

26 “เจ้าและปุโรหิตเอเลอาซาร์กับหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของแต่ละเผ่า จงนับจำนวนคนและสัตว์ทั้งหมดที่ยึดมาได้

27 แล้วแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นของคนที่ร่วมรบ อีกส่วนหนึ่งเป็นของประชากรที่เหลือ

28 ให้นำหนึ่งในห้าร้อยจากส่วนของผู้ที่ร่วมรบ ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะหรือแพะมาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

29 ส่วนดังกล่าวที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้านี้ยกให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์

30 ให้เลือกหนึ่งในห้าสิบจากส่วนที่เป็นของประชากรอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะ แพะ หรือสัตว์อื่นๆ มอบให้คนเลวีซึ่งรับผิดชอบดูแลพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

31 ดังนั้นโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์จึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

32 ทรัพย์สินที่ผู้ออกรบยึดมาได้ได้แก่ แกะ 675,000 ตัว

33 วัว 72,000 ตัว

34 ลา 61,000 ตัว

35 และหญิงสาวพรหมจารี 32,000 คน

36 ครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของบรรดาผู้ออกรบคือ

แกะ 337,500 ตัว

37 ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 675 ตัว

38 วัว 36,000 ตัว ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 72 ตัว

39 ลา 30,500 ตัว ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 61 ตัว

40 ผู้คน 16,000 คน ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า 32 คน

41 โมเสสมอบส่วนที่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดนั้นให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

42 หลังจากโมเสสแบ่งส่วนที่ยกให้ผู้ร่วมรบไปแล้ว อีกครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของประชากรอิสราเอล

43 ได้แก่ แกะ 337,500 ตัว

44 วัว 36,000 ตัว

45 ลา 30,500 ตัว

46 และผู้คน 16,000 คน

47 โมเสสมอบหนึ่งในห้าสิบของส่วนข้างต้นนี้ให้คนเลวีผู้รับผิดชอบดูแลพลับพลาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งไว้

48 จากนั้นเหล่าแม่ทัพนายกองซึ่งบัญชาการพลรบต่างๆ มาพบโมเสส

49 และเรียนว่า “พวกข้าพเจ้าได้ตรวจนับคนที่ออกรบ ไม่มีล้มหายตายจากไปแม้แต่คนเดียว

50 ดังนั้นพวกเราจึงนำเครื่องทองที่เราริบได้ มาถวายเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้แก่ กำไลมือ สร้อยข้อมือ แหวนตรา ตุ้มหู และสร้อยคอ เพื่อขอลบบาปให้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลายต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า”

51 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์รับเครื่องทองของถวายทั้งหมดนี้จากพวกเขา

52 รวมแล้วได้ทองที่เหล่าแม่ทัพนายกองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าหนักประมาณ 190 กิโลกรัม

53 ทหารแต่ละคนได้ครองทรัพย์สินต่างๆ เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว

54 โมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์รับเครื่องทองเหล่านี้จากเหล่าแม่ทัพนายกอง และนำมาเก็บรักษาไว้ในเต็นท์นัดพบ เป็นอนุสรณ์สำหรับประชากรอิสราเอลต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/31-6c71b8625f302adcb5e8b72faa6dad51.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 32

เผ่าที่อยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

1 คนเผ่ารูเบนและคนเผ่ากาดซึ่งมีฝูงสัตว์เป็นจำนวนมาก เห็นว่าดินแดนยาเซอร์และกิเลอาดเป็นทำเลเหมาะแก่ฝูงสัตว์

2 ดังนั้นจึงพากันมาพบโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และเหล่าผู้นำของชุมชน แล้วกล่าวว่า

3 “อาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ และเบโอน

4 ดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปราบต่อหน้าประชากรอิสราเอล เป็นทำเลที่ดีเหมาะสำหรับฝูงสัตว์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย

5 หากพวกเราเป็นที่โปรดปรานของท่าน ก็โปรดยกดินแดนส่วนนี้ให้ผู้รับใช้ของท่านแทนดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนนั้นเถิด”

6 โมเสสกล่าวกับคนเผ่ากาดและคนเผ่ารูเบนว่า “จะให้พี่น้องร่วมชาติออกรบขณะที่พวกท่านนั่งอยู่ที่นี่หรือ?

7 เหตุใดพวกท่านบั่นทอนกำลังใจพี่น้องอิสราเอลไม่ให้ข้ามไปยังดินแดนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่พวกเขา?

8 บรรพบุรุษของพวกท่านก็ทำเช่นนี้ เมื่อเราส่งพวกเขาจากคาเดชบารเนียไปสำรวจดินแดนนั้น

9 หลังจากพวกเขากลับมาจากหุบเขาเอชโคล์และดูดินแดนนั้นแล้ว พวกเขาก็ทำให้พี่น้องอิสราเอลท้อใจ ไม่ยอมเข้าสู่ดินแดนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เขา

10 ในวันนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธและทรงปฏิญาณว่า

11 ‘เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ติดตามเราอย่างสุดหัวใจ ดังนั้นจะไม่มีผู้ชายสักคนที่อายุยี่สิบปีขึ้นไปซึ่งออกมาจากอียิปต์จะได้เห็นดินแดนที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ

12 ไม่มีเลยสักคน ยกเว้นคาเลบบุตรเยฟุนเนห์แห่งเคนัสและโยชูวาบุตรนูนผู้ได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดใจ’

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอล และทรงกระทำให้เขาทั้งหลายเร่ร่อนในถิ่นกันดารตลอดสี่สิบปี ตราบจนคนในชั่วอายุนั้นที่ทำชั่วในสายพระเนตรของพระองค์ตายหมด

14 “แต่นี่พวกท่านเชื้อไม่ทิ้งแถว เดินตามรอยบรรพบุรุษ ทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอิสราเอลยิ่งขึ้น

15 หากพวกท่านหันไปจากการติดตามพระเจ้า พระองค์จะทรงปล่อยประชากรทั้งหมดนี้ไว้ในถิ่นกันดารอีก ท่านย่อมจะเป็นต้นเหตุของความย่อยยับของเหล่าประชากร”

16 พวกเขาจึงชี้แจงว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น พวกข้าพเจ้าเพียงแต่จะสร้างคอกให้ฝูงสัตว์เลี้ยง และสร้างบ้านเรือนให้ผู้หญิงกับเด็กอยู่

17 ส่วนพวกข้าพเจ้าจะถืออาวุธนำหน้าชนอิสราเอลอื่นๆ จนกว่าจะได้นำพวกเขาไปยังดินแดนกรรมสิทธิ์ ในขณะที่พวกผู้หญิงกับเด็กของเราจะอาศัยในเมืองป้อมปราการ เพื่อปกป้องพวกเขาให้พ้นจากชาวดินแดนนั้น

18 พวกข้าพเจ้าจะไม่กลับมาบ้านจนกว่าอิสราเอลทุกคนจะได้รับมรดกของเขาเสียก่อน

19 พวกเราจะไม่รับดินแดนใดๆ ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เพราะเราได้รับมรดกของเราที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนี้แล้ว”

20 โมเสสจึงกล่าวว่า “หากท่านจะทำตามคำพูด คือถืออาวุธออกรบฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า

21 และหากทุกคนในพวกท่านจับอาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตราบจนพระองค์ทรงขับไล่เหล่าศัตรูของพระองค์พ้นจากเบื้องพระพักตร์

22 ท่านจะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อแผ่นดินนั้นสยบราบคาบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และท่านจะพ้นจากหน้าที่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่ออิสราเอล แล้วดินแดนฟากตะวันออกนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า

23 “แต่ถ้าพวกท่านไม่ทำตามที่พูดไว้ ท่านก็ได้ทำบาปต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจงรู้แน่เถิดว่าบาปนั้นจะตามสนองท่าน

24 จงไปสร้างบ้านเมืองให้ผู้หญิงและเด็กของท่าน สร้างคอกให้ฝูงสัตว์ของท่าน และจงทำตามที่ท่านสัญญาไว้”

25 ชนเผ่ารูเบนและเผ่ากาดตอบว่า “เราผู้รับใช้ของท่านจะทำตามที่เจ้านายของเราสั่ง

26 บุตรหลาน ภรรยา และฝูงสัตว์ของข้าพเจ้าทั้งหลายจะอยู่ที่เมืองต่างๆ ในดินแดนกิเลอาดนี้

27 แต่ผู้รับใช้ของท่านที่เป็นชายทุกคนจะจับอาวุธออกศึก จะข้ามไปสู้รบต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตามที่เจ้านายของเราบอก”

28 โมเสสจึงออกคำสั่งแก่ปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน และผู้นำเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเกี่ยวกับคนเหล่านี้ว่า

29 “หากผู้ชายเผ่ากาดและเผ่ารูเบนทุกคนจับอาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนร่วมออกรบกับท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและเมื่อปราบดินแดนนั้นได้แล้ว จงยกดินแดนกิเลอาดให้พวกเขาครอบครอง

30 แต่หากพวกเขาไม่ข้ามไปร่วมทัพกับท่าน พวกเขาจะต้องรับดินแดนร่วมกับตระกูลอื่นๆ ในคานาอัน”

31 คนเผ่ากาดและเผ่ารูเบนตอบว่า “ผู้รับใช้ของท่านจะปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา

32 เราจะถืออาวุธข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่คานาอันต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ดินแดนกรรมสิทธิ์ของเราจะอยู่ที่ฟากนี้ของแม่น้ำ”

33 โมเสสจึงกำหนดให้ดินแดนของกษัตริย์สิโหนของชาวอาโมไรต์ และของกษัตริย์โอกแห่งบาชาน ทั้งที่ดินและเมืองต่างๆ กับอาณาบริเวณโดยรอบเป็นของเผ่ากาด รูเบน และครึ่งหนึ่งของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ

34 คนเผ่ากาดสร้างเมืองดีโบน อาทาโรท อาโรเออร์

35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์ โยกเบฮาห์

36 เบธนิมราห์ และเบธฮาราน เป็นเมืองที่มีป้อมปราการและสร้างคอกสำหรับฝูงสัตว์

37 เผ่ารูเบนสร้างเมืองเฮชโบน เอเลอาเลห์ คีริยาธาอิม

38 เนโบ บาอัลเมโอน (ชาวอิสราเอลได้เปลี่ยนชื่อเมืองเหล่านี้) และสิบมาห์ พวกเขาได้ตั้งชื่อเมืองที่สร้างขึ้นใหม่

39 เชื้อสายมาคีร์แห่งเผ่ามนัสเสห์ไปตีเมืองกิเลอาด และขับไล่ชาวอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่นั่นออกไป

40 โมเสสจึงยกเมืองกิเลอาดให้คนมาคีร์ซึ่งเป็นลูกหลานของมนัสเสห์อาศัย และพวกเขาได้ตั้งถิ่นฐานที่นั่น

41 ยาอีร์แห่งเผ่ามนัสเสห์ได้ยึดถิ่นฐานของพวกเขาและเปลี่ยนชื่อเป็นฮัฟโวทยาอีร์

42 และโนบาห์ได้ยึดเคนาทกับหมู่บ้านโดยรอบ และตั้งชื่อว่าโนบาห์ตามชื่อของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/32-323f09a219a30d44520c8160211a5059.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 33

เส้นทางการเดินทางของอิสราเอล

1 ต่อไปนี้คือเส้นทางออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นหมู่เหล่าภายใต้การนำของโมเสสกับอาโรน

2 โมเสสบันทึกลำดับการเดินทางทุกระยะตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

3 ชนอิสราเอลออกจากเมืองราเมเสสในวันที่สิบห้าเดือนที่หนึ่ง วันรุ่งขึ้นหลังจากพิธีปัสกา พวกเขายกพลออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ต่อหน้าต่อตาชาวอียิปต์

4 ซึ่งยุ่งอยู่กับการฝังศพบรรดาบุตรหัวปีที่ถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าประหาร เนื่องด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษพระต่างๆ ของอียิปต์

5 ชนอิสราเอลออกจากราเมเสสมาตั้งค่ายที่สุคคท

6 จากสุคคทมาตั้งค่ายที่เอธามใกล้ถิ่นกันดาร

7 จากเอธามวกกลับไปที่ปีหะหิโรท ไปยังแถบตะวันออกของบาอัลเซโฟน และตั้งค่ายใกล้ๆ มิกดล

8 ออกจากปีหะหิโรท แล้วข้ามทะเลเข้าไปในถิ่นกันดาร และหลังจากเดินทางเป็นเวลาสามวันในถิ่นกันดาร เอธามก็มาตั้งค่ายที่มาราห์

9 ออกจากมาราห์แล้วมาถึงเอลิม ที่ซึ่งมีธารน้ำพุสิบสองแห่ง และมีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น พวกเขาตั้งค่ายอยู่ที่นั่น

10 จากเอลิม พวกเขามาตั้งค่ายพักริมทะเลแดง

11 และจากทะเลแดงมาตั้งค่ายที่ถิ่นกันดารสิน

12 จากถิ่นกันดารสินมาตั้งค่ายที่โดฟคาห์

13 จากโดฟคาห์มาตั้งค่ายที่อาลูช

14 จากอาลูชมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่ซึ่งไม่มีน้ำให้ประชากรดื่ม

15 จากเรฟีดิม พวกเขามายังถิ่นกันดารซีนาย

16 จากถิ่นกันดารซีนายมาตั้งค่ายที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์

17 จากขิบโรทหัทธาอาวาห์มาตั้งค่ายที่ฮาเซโรท

18 จากฮาเซโรทมาตั้งค่ายที่ริทมาห์

19 จากริทมาห์มาตั้งค่ายที่ริมโมนเปเรศ

20 จากริมโมนเปเรศมาตั้งค่ายที่ลิบนาห์

21 จากลิบนาห์มาตั้งค่ายที่ริสสาห์

22 จากริสสาห์มาตั้งค่ายที่เคเฮลาธาห์

23 จากเคเฮลาธาห์มาตั้งค่ายที่ภูเขาเชเฟอร์

24 จากภูเขาเชเฟอร์มาตั้งค่ายที่ฮาราดาห์

25 จากฮาราดาห์มาตั้งค่ายที่มักเฮโลท

26 จากมักเฮโลทมาตั้งค่ายที่ทาหัท

27 จากทาหัทมาตั้งค่ายที่เทราห์

28 จากเทราห์มาตั้งค่ายที่มิทคาห์

29 จากมิทคาห์มาตั้งค่ายที่ฮัชโมนาห์

30 จากฮัชโมนาห์มาตั้งค่ายที่โมเสโรท

31 จากโมเสโรทมาตั้งค่ายที่เบเนยาอะคัน

32 จากเบเนยาอะคันมาตั้งค่ายที่โฮร์ฮักกีดกาด

33 จากโฮร์ฮักกีดกาดมาตั้งค่ายที่โยทบาธาห์

34 จากโยทบาธาห์มาตั้งค่ายที่อับโรนาห์

35 จากอับโรนาห์มาตั้งค่ายที่เอซีโอนเกเบอร์

36 จากเอซีโอนเกเบอร์มาตั้งค่ายที่คาเดชในถิ่นกันดารศิน

37 จากคาเดชมาตั้งค่ายที่ภูเขาโฮร์ ตรงชายแดนเอโดม

38 ปุโรหิตอาโรนขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและสิ้นชีวิตที่นั่น ในวันที่หนึ่งเดือนที่ห้าปีที่สี่สิบนับตั้งแต่ชนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์

39 เมื่ออาโรนสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์นั้น เขามีอายุ 123 ปี

40 กษัตริย์ชาวคานาอันแห่งอาราดผู้อาศัยอยู่ในเนเกบที่คานาอันได้ข่าวว่าชนอิสราเอลยกมา

41 จากภูเขาโฮร์มาตั้งค่ายที่ศัลโมนาห์

42 จากศัลโมนาห์มาตั้งค่ายที่ปูโนน

43 จากปูโนนมาตั้งค่ายที่โอโบท

44 จากโอโบทมาตั้งค่ายที่อิเยอาบาริมที่ชายแดนโมอับ

45 จากไอยิมมาตั้งค่ายที่ดีโบนกาด

46 จากดีโบนกาดมาตั้งค่ายที่อัลโมนดิบลาธาอิม

47 จากอัลโมนดิบลาธาอิมมาตั้งค่ายที่เทือกเขาอาบาริมใกล้เนโบ

48 จากเทือกเขาอาบาริมมาตั้งค่ายในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโค

49 ที่ซึ่งพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน จากเบธเยชิโมทจดอาแบลชิทธีม

50 ในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคนี้เององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสสว่า

51 “จงแจ้งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปยังดินแดนคานาอัน

52 จงขับไล่ชาวดินแดนนั้นออกไปให้หมด และทำลายล้างรูปเคารพทั้งปวงของพวกเขา ไม่ว่าหินสลัก รูปเคารพที่หล่อขึ้น และสถานบูชาบนที่สูงของพวกเขา

53 จงเข้ายึดและตั้งถิ่นฐานที่นั่นเพราะเรายกดินแดนนี้ให้เจ้า

54 จงทอดฉลากแบ่งสรรที่ดินกันตามตระกูล ที่ดินผืนใหญ่จะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลใหญ่ ส่วนที่เล็กลงมาจะจับฉลากแบ่งกันในหมู่ตระกูลเล็ก สิ่งที่เขาจับฉลากได้ก็จะเป็นของเขา จงแบ่งที่ดินไปตามเผ่าบรรพบุรุษของท่าน

55 “ ‘แต่หากเจ้าทั้งหลายไม่ยอมขับไล่ประชากรที่อาศัยอยู่ที่นั่นออกไป คนที่เหลืออยู่จะเป็นหอกข้างแคร่และจะเป็นหนามยอกอกของเจ้า พวกเขาจะก่อปัญหาให้กับเจ้าในดินแดนที่เจ้าอาศัยอยู่

56 และเราจะทำกับเจ้าตามที่เราวางแผนไว้ว่าจะทำกับพวกเขา’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/33-c8061320dd7d61798715ebcde54367aa.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 34

เขตแดนคานาอัน

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

2 “จงสั่งประชากรอิสราเอลว่า ‘เมื่อเจ้าทั้งหลายเข้าสู่คานาอันดินแดนซึ่งจะแบ่งสรรยกให้เป็นมรดกของเจ้านั้นจะมีพรมแดนดังนี้

3 “ ‘ดินแดนทางใต้คือถิ่นกันดารศิน เลียบไปตามพรมแดนเอโดม เขตแดนทางใต้ด้านฝั่งตะวันออกเริ่มจากทะเลตาย

4 ไล่ลงมาผ่านช่องแคบแมงป่องไปยังศิน ลงใต้ไปที่คาเดชบารเนีย เรื่อยมาถึงฮาซารัดดาร์และอัสโมน

5 จากอัสโมนวกไปตามลำน้ำแห่งอียิปต์และสิ้นสุดลงที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

6 “ ‘พรมแดนตะวันตกของเจ้าคือชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

7 “ ‘พรมแดนด้านเหนือของเจ้าเริ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเรื่อยไปถึงภูเขาโฮร์

8 ไปยังเลโบฮามัทไปเศดัด

9 เรื่อยไปถึงศิโฟรนจนจดฮาซาเรนัน

10 “ ‘พรมแดนตะวันออกเริ่มจากฮาซาเรนันจนถึงที่เชฟาม

11 เรื่อยลงมาถึงริบลาห์ ด้านตะวันออกของเมืองอายิน ไล่มาตามลาดเขาด้านตะวันออกของทะเลคินเนเรท

12 แล้วเรื่อยมาตามแม่น้ำจอร์แดนและสิ้นสุดที่ทะเลเกลือ

“ ‘นี่จะเป็นดินแดนของพวกเจ้าตามพรมแดนโดยรอบ’ ”

13 โมเสสสั่งชนอิสราเอลว่า “จงจับฉลากแบ่งสรรดินแดนนี้เป็นมรดกองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ให้แบ่งกันในหมู่เก้าเผ่าและอีกครึ่งเผ่า

14 เพราะเผ่ารูเบน กาดและมนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้รับมรดกของตนแล้ว

15 สองเผ่าและครึ่งเผ่านี้ได้รับดินแดนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแห่งเยรีโคเป็นมรดก”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

17 “ต่อไปนี้เป็นรายชื่อผู้ที่จะทำหน้าที่จัดสรรมรดกในดินแดนคือ ปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน

18 และผู้นำซึ่งได้รับแต่งตั้งจากแต่ละเผ่า เพื่อช่วยแบ่งสรรดินแดนนั้น

19 รายชื่อของพวกเขา ได้แก่

คาเลบบุตรเยฟุนเนห์

จากเผ่ายูดาห์

20 เชมูเอลบุตรอัมมีฮูด

จากเผ่าสิเมโอน

21 เอลีดาดบุตรคิสโลน

จากเผ่าเบนยามิน

22 บุคคีบุตรโยกลี

ผู้นำจากเผ่าดาน

23 ฮันนีเอลบุตรเอโฟด

ผู้นำจากเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ

24 เคมูเอลบุตรชิฟทาน

ผู้นำจากเผ่าเอฟราอิมบุตรโยเซฟ

25 เอลีซาฟานบุตรปารนาค

ผู้นำจากเผ่าเศบูลุน

26 ปัลทีเอลบุตรอัสซาน

ผู้นำจากเผ่าอิสสาคาร์

27 อาหิฮูดบุตรเชโลมี

ผู้นำจากเผ่าอาเชอร์

28 เปดาเฮลบุตรอัมมีฮูด

ผู้นำจากเผ่านัฟทาลี”

29 คนเหล่านี้คือผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้จัดสรรมรดกแก่ชนอิสราเอลในดินแดนคานาอัน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/34-f041d22e26ceb23ed99b0f4df1f8730d.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 35

เมืองของพวกเลวี

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดน ตรงข้ามเมืองเยรีโคว่า

2 “จงสั่งชนอิสราเอลให้ยกเมืองบางเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบจากมรดกที่ชาวอิสราเอลครอบครองให้แก่ชนเลวี

3 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่พักอาศัยของพวกเขา และทุ่งหญ้าซึ่งอยู่รายรอบสำหรับฝูงสัตว์ของเขา

4 “ทุ่งหญ้าของชนเลวีมีระยะห่างประมาณ 450 เมตรจากกำแพงเมืองทั้งสี่ด้าน

5 ฉะนั้นจะมีอาณาเขตด้านทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตกด้านละประมาณ 900 เมตรโดยมีเมืองอยู่ใจกลาง พวกเขาจะได้ใช้พื้นที่นี้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์สำหรับเมืองนั้นๆ

เมืองลี้ภัย

6 “เจ้าจงยกเมืองหกแห่งให้แก่คนเลวี เพื่อเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปลี้ภัย นอกจากนั้นจงยกเมืองต่างๆ ให้อีก 42 เมือง

7 เจ้าต้องยกเมืองให้ชนเลวีรวมทั้งหมด 48 หัวเมืองและทุ่งหญ้าโดยรอบ

8 เมืองที่เจ้ายกให้คนเลวีจากดินแดนที่คนอิสราเอลครอบครองจะต้องเป็นไปตามสัดส่วนของมรดกในแต่ละเผ่า คือเผ่าที่มีมากก็ให้มาก แต่เผ่าที่มีน้อยก็ให้น้อย”

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า

10 “จงบอกชนอิสราเอลว่า ‘เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าสู่คานาอันแล้ว

11 จงกำหนดเมืองลี้ภัยไว้ เพื่อผู้ที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีเข้าไปพักพิง

12 เมืองเหล่านี้จะเป็นที่หลบหนีจากการแก้แค้นจากญาติของผู้ตาย เพื่อไม่ให้จำเลยตายก่อนที่จะถูกไต่สวนต่อหน้าชุมนุมประชากร

13 เมืองทั้งหกแห่งนี้จะเป็นเมืองลี้ภัย

14 โดยมีสามแห่งตั้งอยู่ในดินแดนคานาอันและอีกสามแห่งอยู่ที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน

15 เมืองลี้ภัยทั้งหกแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่หลบภัยของชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่สำหรับคนต่างด้าวและผู้สัญจรอีกด้วย เพื่อว่าใครก็ตามที่ได้ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาจะได้หนีไปที่นั่น

16 “ ‘แต่ผู้ใดใช้เหล็กฟาดผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร

17 หรือหากผู้ใดใช้ก้อนหินทุบผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกรและต้องถูกประหาร

18 หรือหากผู้ใดใช้ไม้ตีผู้อื่นตาย เขาเป็นฆาตกร และต้องถูกประหารเช่นกัน

19 ผู้แก้แค้นจะสังหารฆาตกรได้เมื่อพบตัว

20 หากผู้ใดจงใจผลักหรือขว้างสิ่งใดใส่ผู้อื่นด้วยความมุ่งร้าย ทำให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

21 หรือหากผู้ใดชกต่อยผู้อื่นจนตายด้วยความโกรธ เขาเป็นฆาตกร ผู้แก้แค้นจะฆ่าเขาได้เมื่อพบตัว

22 “ ‘แต่หากผู้ใดผลักหรือขว้างปาสิ่งใดใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่ได้ทำด้วยความเกลียดชัง

23 หรือทำก้อนหินตกใส่ผู้อื่นโดยไม่เจตนา ไม่เห็น และไม่ได้เป็นศัตรูกัน เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย

24 ชุมนุมประชากรจะต้องตัดสินความระหว่างบุคคลนั้นกับผู้แก้แค้นตามกฎระเบียบเหล่านี้

25 ชุมนุมประชากรต้องปกป้องผู้ถูกกล่าวหาจากผู้แก้แค้น และส่งเขากลับไปยังเมืองที่เขาไปลี้ภัยนั้น และเขาต้องอยู่ที่นั่นจวบจนมหาปุโรหิตผู้ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์สิ้นชีวิตลง

26 “ ‘แต่หากผู้ถูกกล่าวหาหนีออกจากเมืองลี้ภัย

27 และผู้แก้แค้นพบเขานอกเมืองนั้นและฆ่าเขาไม่ถือเป็นการฆาตกรรม

28 เพราะผู้ถูกกล่าวหาต้องพักอยู่ในเมืองลี้ภัยจวบจนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิตเท่านั้น หลังจากนั้นเขาจึงสามารถกลับภูมิลำเนาเดิมของตน

29 “ ‘นี่เป็นข้อกำหนดตามกฎหมายสำหรับเจ้าทั้งหลายสืบไปทุกชั่วอายุ ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ที่ไหน

30 “ ‘ฆาตกรทุกคนจะถูกประหารก็ต่อเมื่อมีพยานมากกว่าหนึ่งปาก หากมีพยานกล่าวหาเพียงปากเดียว จำเลยไม่ต้องถูกประหาร

31 “ ‘อย่ารับค่าไถ่ชีวิตของฆาตกรผู้สมควรตาย เขาจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน

32 “ ‘และอย่ารับค่าไถ่จากผู้ที่หนีไปอยู่ในเมืองลี้ภัย เพื่อให้เขากลับภูมิลำเนาก่อนมหาปุโรหิตสิ้นชีวิต

33 “ ‘อย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอยู่แปดเปื้อนมลทิน เพราะการฆาตกรรมทำให้แผ่นดินแปดเปื้อน และไม่อาจชำระมลทินให้แผ่นดินได้ นอกจากใช้เลือดของฆาตกร

34 เจ้าอย่าได้สร้างมลทินแก่แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่และที่เราสถิตอยู่ เพราะเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ท่ามกลางชนอิสราเอล’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/35-e954382322ddce418fb11828bd264c6f.mp3?version_id=179—

Categories
กันดารวิถี

กันดารวิถี 36

มรดกของบุตรสาวเศโลเฟหัด

1 บรรดาหัวหน้าครอบครัวในตระกูลกิเลอาดบุตรมาคีร์ บุตรมนัสเสห์ ผู้ซึ่งอยู่ในตระกูลต่างๆ ที่เป็นลูกหลานของโยเซฟ มาพบโมเสสและพวกผู้นำซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวของอิสราเอล

2 พวกเขาร้องเรียนว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้ท่านจัดสรรที่ดินโดยจับฉลากกันในหมู่ประชากรอิสราเอล และให้ยกมรดกของเศโลเฟหัดญาติของเราแก่เหล่าบุตรสาวของเขา

3 แต่หากพวกนางแต่งงานกับชนอิสราเอลเผ่าอื่น ที่ดินมรดกของพวกนางก็จะกลายเป็นของคนเผ่าที่นางแต่งงานด้วย ทำให้ที่ดินรวมของเผ่าของเราลดลงไป

4 เมื่อถึงปีกึ่งศตวรรษของอิสราเอล มรดกของพวกนางก็จะถูกรวมเข้ากับมรดกของเผ่าที่พวกนางแต่งงานด้วย เป็นการเอาที่ดินของพวกนางไปจากส่วนมรดกตามเผ่าที่เป็นของบรรพบุรุษของเรา”

5 โมเสสจึงแจ้งพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าชุมชนอิสราเอลว่า “สิ่งที่เผ่าของลูกหลานโยเซฟร้องเรียนมาก็ถูกต้อง

6 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่าบุตรสาวทั้งหลายของเศโลเฟหัดจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องเป็นคนในเผ่าของบิดาของพวกนาง

7 มรดกในอิสราเอลจะต้องไม่เปลี่ยนกรรมสิทธิ์จากของเผ่าหนึ่งไปเป็นของอีกเผ่าหนึ่ง เพราะชาวอิสราเอลทุกคนจะต้องรักษาที่ดินของเผ่าซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา

8 หญิงสาวทุกเผ่าของอิสราเอลที่เป็นทายาทรับมรดกจะต้องแต่งงานกับชายเผ่าเดียวกัน เพื่ออิสราเอลจะรักษาที่ดินอันเป็นมรดกของบรรพบุรุษของตน

9 มรดกจะต้องไม่เปลี่ยนกรรมสิทธิ์จากเผ่าหนึ่งไปสู่อีกเผ่าหนึ่ง เพราะว่าชาวอิสราเอลแต่ละเผ่าจะต้องรักษาที่ดินอันเป็นมรดกของตนไว้”

10 บุตรสาวของเศโลเฟหัดจึงปฏิบัติตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส

11 บุตรสาวของเศโลเฟหัดทั้งมาห์ลาห์ ทีรซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์และโนอาห์ จึงแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องทางสายบิดา

12 พวกนางแต่งงานกับชายในตระกูลต่างๆ ของเผ่ามนัสเสห์บุตรโยเซฟ มรดกของพวกนางจึงยังคงอยู่ในตระกูลและเผ่าของบิดา

13 ทั้งหมดนี้คือคำบัญชาและกฎระเบียบซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่ประชากรอิสราเอลผ่านทางโมเสสในที่ราบโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามเมืองเยรีโค

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/NUM/36-36f4b058ff29b6ec0ee9cad90fdab984.mp3?version_id=179—