Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 11

1 จงทำตามอย่างข้าพเจ้าเหมือนที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์

วางตัวให้เหมาะสมในการนมัสการ

2 ข้าพเจ้าขอชมเชยพวกท่านที่ระลึกถึงข้าพเจ้าในทุกเรื่องและยึดถือคำสั่งสอนตามที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดให้แก่ท่าน

3 แต่ขอให้ท่านตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคนและชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระคริสต์

4 ชายทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยมีผ้าคลุมศีรษะอยู่ก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของเขา

5 และหญิงทุกคนที่อธิษฐานหรือเผยพระวจนะโดยไม่มีผ้าคลุมศีรษะก็สร้างความอัปยศแก่ศีรษะของนางประหนึ่งว่านางได้โกนศีรษะ

6 ถ้าผู้หญิงไม่คลุมศีรษะ นางก็เหมือนได้กล้อนผมไปแล้ว แต่เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะกล้อนหรือโกนผม นางก็ควรคลุมศีรษะ

7 ผู้ชายไม่ควรคลุมศีรษะ เพราะเขาคือพระฉายและศักดิ์ศรีของพระเจ้า แต่ผู้หญิงคือศักดิ์ศรีของผู้ชาย

8 เพราะผู้ชายไม่ได้มาจากผู้หญิง แต่ผู้หญิงมาจากผู้ชาย

9 และไม่ได้ทรงสร้างผู้ชายขึ้นสำหรับผู้หญิง แต่ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นสำหรับผู้ชาย

10 ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงควรมีสิทธิอำนาจเหนือศีรษะของนางเพราะเหล่าทูตสวรรค์

11 อย่างไรก็ตามในองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้หญิงไม่เป็นอิสระจากผู้ชายและผู้ชายไม่เป็นอิสระจากผู้หญิง

12 เพราะว่าผู้หญิงมาจากผู้ชายและผู้ชายเกิดมาจากผู้หญิง แต่ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า

13 พวกท่านจงวินิจฉัยเองเถิดว่าควรหรือไม่ที่ผู้หญิงจะอธิษฐานต่อพระเจ้าโดยไม่คลุมศีรษะของนาง?

14 ธรรมชาติไม่สอนหรือว่าที่ผู้ชายจะไว้ผมยาวนั้นก็น่าอาย

15 แต่ถ้าหากผู้หญิงไว้ผมยาวก็สมศักดิ์ศรีเพราะผมยาวมีไว้ให้คลุมศีรษะ

16 ใครจะโต้แย้งข้อนี้ เรากับคริสตจักรต่างๆ ของพระเจ้าไม่มีข้อปฏิบัติเป็นอย่างอื่น

พิธีมหาสนิท

17 ในข้อปฏิบัติต่อไปนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจชมเชยพวกท่านเพราะการประชุมของพวกท่านมีผลเสียมากกว่าผลดี

18 ประการแรกข้าพเจ้าได้ยินว่าเมื่อพวกท่านประชุมกันในฐานะที่เป็นคริสตจักร มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่บ้าง

19 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย

20 เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ที่ท่านรับประทานไม่ใช่งานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 เพราะต่างรับประทานโดยไม่รอคนอื่นเลย คนหนึ่งยังหิว ส่วนอีกคนเมามาย

22 พวกท่านไม่มีบ้านที่จะนั่งกินดื่มหรืออย่างไร? หรือว่าพวกท่านลบหลู่คริสตจักรของพระเจ้าด้วยการทำให้คนที่ขัดสนอับอาย? ข้าพเจ้าจะพูดอะไรกับพวกท่านดี? จะให้ข้าพเจ้าชมเชยพวกท่านเพราะสิ่งนี้หรือ? ไม่อย่างแน่นอน!

23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้ารับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้นพระองค์ทรงหยิบขนมปัง

24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้วทรงหักและตรัสว่า “นี่คือกายของเราซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา”

25 เมื่อรับประทานแล้วทรงหยิบถ้วยขึ้นกระทำอย่างเดียวกันและตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา”

26 เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา

27 ฉะนั้นใครก็ตามที่กินขนมปังหรือดื่มจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่สมควร ก็ได้ทำผิดบาปต่อพระกายและพระโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า

28 แต่ละคนควรจะตรวจสอบตนเองก่อนรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้

29 เพราะผู้ที่รับประทานและดื่มโดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ก็รับประทานและดื่มสิ่งที่เป็นเหตุให้ตนเองถูกพิพากษาลงโทษ

30 นี่คือสาเหตุที่พวกท่านหลายคนอ่อนแอและเจ็บป่วย บางคนก็ล่วงลับไป

31 แต่ถ้าเราได้วินิจฉัยตนเอง เราก็จะไม่ต้องตกอยู่ในการพิพากษา

32 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเรานั้น พระองค์ทรงตีสอนเราเพื่อไม่ให้เราต้องรับโทษร่วมกับโลก

33 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านเข้ามาพร้อมกันเพื่อรับประทานในพิธีมหาสนิท จงรอซึ่งกันและกัน

34 ถ้าใครหิวก็ควรรับประทานที่บ้านเพื่อว่าเวลาพวกท่านมาประชุมกันจะได้ไม่จบลงด้วยการพิพากษาลงโทษ

และเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะให้ข้อแนะนำอื่นๆ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/11-9de037bdfb7c1683ed03a3a2b5e7c604.mp3?version_id=179—

Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 12

ของประทานฝ่ายวิญญาณ

1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ

2 ท่านก็รู้อยู่ว่าเมื่อท่านยังไม่เชื่อพระเจ้า ท่านได้ถูกชักจูงโดยทางหนึ่งทางใดให้หลงผิดไปพึ่งรูปเคารพที่พูดไม่ได้

3 ฉะนั้นข้าพเจ้าขอบอกท่านว่าไม่มีใครที่กล่าวโดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะพูดว่า “ขอให้พระเยซูถูกแช่ง” และไม่มีใครสามารถพูดได้ว่า “พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” นอกจากผู้ที่กล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

4 ของประทานมีหลายชนิด แต่พระวิญญาณองค์เดียวกันเป็นผู้ประทาน

5 งานรับใช้มีหลายประเภท แต่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน

6 การงานมีต่างๆ กัน แต่พระเจ้าองค์เดียวกันทรงกระทำการทั้งหมดในคนทั้งปวง

7 การสำแดงของพระวิญญาณมีแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน

8 คนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งสติปัญญาโดยพระวิญญาณ ส่วนอีกคนหนึ่งได้รับถ้อยคำแห่งความรู้โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน

9 อีกคนได้รับของประทานแห่งความเชื่อโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ส่วนอีกคนมีของประทานในการรักษาโรคโดยพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้น

10 คนหนึ่งได้รับฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ อีกคนเผยพระวจนะได้ คนหนึ่งสังเกตแยกแยะวิญญาณต่างๆ ได้ ส่วนอีกคนสามารถพูดภาษาแปลกๆและอีกคนแปลภาษาแปลกๆได้

11 ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการงานของพระวิญญาณองค์เดียวกัน และพระองค์ประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่แต่ละคนตามที่ทรงกำหนดไว้

หลายส่วนในกายเดียวกัน

12 กายนั้นเป็นกายเดียวแม้จะประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน และแม้อวัยวะทั้งหมดจะมีหลายส่วนก็ประกอบกันเป็นกายเดียว พระคริสต์ก็เช่นกัน

13 เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือเป็นไท และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน

14 กายนั้นไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว แต่ประกอบด้วยหลายอวัยวะ

15 หากเท้าจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เท้าเลิกเป็นอวัยวะของร่างกายนั้น

16 และหากหูจะพูดว่า “เพราะฉันไม่ใช่ตา ฉันจึงไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น” นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หูเลิกเป็นอวัยวะของร่างกายนั้น

17 หากทั้งร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? หากทั้งร่างกายเป็นหู การได้กลิ่นจะอยู่ที่ไหน?

18 แต่ที่จริงพระเจ้าทรงจัดอวัยวะต่างๆ ทุกๆ ส่วนไว้ในร่างกายตามที่ทรงประสงค์

19 ถ้าทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีที่ไหน?

20 เช่นนั้นแหละมีหลายอวัยวะแต่เป็นกายเดียวกัน

21 ตาไม่อาจพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ!” และศีรษะไม่อาจพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ!”

22 ในทางตรงกันข้ามอวัยวะต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าอ่อนแอกว่าก็เสียไม่ได้

23 และอวัยวะที่เราคิดว่าไม่ค่อยมีเกียรติ เรายังให้เกียรติเป็นพิเศษ และอวัยวะที่ไม่น่าดู เราก็ดูแลเป็นพิเศษ

24 ส่วนอวัยวะที่น่าดูอยู่แล้วไม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่พระเจ้าทรงรวมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเข้าด้วยกัน และอวัยวะที่ไร้เกียรตินั้นพระองค์ทรงให้เกียรติมากขึ้น

25 เพื่อจะไม่มีการแตกแยกกันในร่างกาย แต่เพื่อให้อวัยวะต่างๆ ห่วงใยกันอย่างเท่าเทียมกัน

26 ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ ทุกส่วนก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งมีเกียรติ ทุกส่วนก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย

27 ท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ พวกท่านแต่ละคนเป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น

28 และในคริสตจักร พระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งอัครทูตเป็นอันดับแรก อันดับที่สองคือผู้เผยพระวจนะ อันดับที่สามคือผู้สอน จากนั้นคือผู้ทำการอัศจรรย์ ผู้มีของประทานในการรักษาโรค ผู้สามารถช่วยเหลือผู้อื่น ผู้มีของประทานในการบริหารงาน และผู้พูดภาษาแปลกๆ

29 ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นผู้สอนหรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ?

30 ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆหรือ? ทุกคนแปลได้หรือ?

31 แต่ให้เราใฝ่หาของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

ความรัก

และบัดนี้ข้าพเจ้าจะสำแดงหนทางที่ดีเยี่ยมที่สุดแก่ท่าน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/12-39689ed91a34624e2fc7a7d1039d2f56.mp3?version_id=179—

Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 13

1 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่กำลังส่งเสียง

2 หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร

3 แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟแต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์

4 ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง

5 ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด

6 ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง

7 ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะจะเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆ จะเงียบหาย ความรู้จะล่วงพ้นไป

9 เพราะเรารู้เพียงบางส่วนและเราเผยพระวจนะเพียงบางส่วน

10 แต่เมื่อความสมบูรณ์พร้อมมาถึง สิ่งที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดสิ้นไป

11 เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใช้เหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็ทิ้งวิถีทางอย่างเด็กไว้เบื้องหลัง

12 เวลานี้เราเห็นแต่เงาสะท้อนเลือนรางเหมือนมองในกระจก แต่เวลานั้นเราจะเห็นกันหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้ง

13 ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/13-054aecb9bc3e6e684d0dc3ff2c4b499f.mp3?version_id=179—

Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 14

ของประทานในการเผยพระวจนะและการพูดภาษาแปลกๆ

1 จงดำเนินในวิถีแห่งความรักและใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณอย่างกระตือรือร้น โดยเฉพาะการเผยพระวจนะ

2 เพราะผู้ที่พูดภาษาแปลกๆไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า อันที่จริงไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เขาพูดเลย เขากล่าวข้อล้ำลึกด้วยจิตวิญญาณของเขา

3 แต่ทุกคนที่เผยพระวจนะนั้นกล่าวแก่คนทั้งหลายเพื่อทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้กำลังใจและเพื่อปลอบโยน

4 ผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เสริมสร้างตัวเอง ส่วนผู้ที่เผยพระวจนะเสริมสร้างคริสตจักร

5 ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าอยากให้ท่านเผยพระวจนะได้ ผู้ที่เผยพระวจนะนั้นยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่พูดภาษาแปลกๆ เว้นแต่เขาแปลภาษานั้นๆ ได้เพื่อคริสตจักรจะได้รับเสริมสร้าง

6 พี่น้องทั้งหลาย หากข้าพเจ้ามาหาท่านพร้อมกับพูดภาษาแปลกๆ ข้าพเจ้าจะอำนวยประโยชน์อันใดแก่ท่าน? นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำการทรงสำแดง หรือความรู้ หรือการเผยพระวจนะ หรือถ้อยคำสั่งสอนมาให้

7 แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็เปล่งเสียงได้ ตัวอย่างเช่นขลุ่ยหรือพิณ ใครจะรู้ว่าเขากำลังบรรเลงทำนองอะไรหากไม่เล่นตามโน้ตให้ชัดเจน?

8 และถ้าแตรศึกเป่าเรียกไม่ชัดเจนใครจะเตรียมพร้อมออกรบ?

9 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน หากท่านพูดด้วยถ้อยคำที่คนไม่เข้าใจ ใครจะรู้ว่าท่านกำลังพูดอะไร? ท่านก็ได้แต่พูดลมๆ แล้งๆ

10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในโลกย่อมมีภาษาสารพัดแบบ แต่ไม่มีภาษาไหนที่ปราศจากความหมาย

11 หากข้าพเจ้าจับใจความที่เขาพูดอยู่ไม่ได้ ข้าพเจ้ากับผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษากัน

12 ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ในเมื่อท่านใฝ่หาของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ ก็จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร

13 ด้วยเหตุนี้ผู้ใดพูดภาษาแปลกๆ ได้ ควรอธิษฐานขอให้เขาแปลสิ่งที่เขาพูดได้ด้วย

14 เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดของข้าพเจ้า

15 ฉะนั้นข้าพเจ้าควรทำอย่างไร? ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะอธิษฐานด้วยความคิดเช่นกัน ข้าพเจ้าจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณ แต่ข้าพเจ้าก็จะร้องเพลงด้วยความคิดเช่นกัน

16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณของท่าน คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจจะกล่าว “อาเมน” ขานรับการขอบพระคุณของท่านได้อย่างไรในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร?

17 ท่านอาจจะขอบพระคุณได้อย่างดีเยี่ยม แต่ไม่ได้เสริมสร้างคนอื่น

18 ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าพวกท่านทั้งหมด

19 แต่ในคริสตจักรข้าพเจ้าขอพูดสักห้าคำที่คนฟังเข้าใจได้เพื่อสอนคนอื่น ดีกว่าพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ

20 พี่น้องทั้งหลาย เลิกคิดแบบเด็กๆ เสียเถิด ในเรื่องความชั่วจงเป็นทารก แต่ในด้านความคิดจงเป็นผู้ใหญ่

21 ตามที่มีเขียนไว้ในบทบัญญัติว่า

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เราจะพูดกับชนชาตินี้ผ่านทางคนต่างภาษา

ผ่านริมฝีปากของคนต่างชาติ

แต่กระนั้นเขาก็ยังจะไม่ฟังเรา”

22 ฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆ จึงเป็นหมายสำคัญไม่ใช่สำหรับผู้เชื่อ แต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ แต่การเผยพระวจนะนั้นสำหรับผู้เชื่อ ไม่ใช่ผู้ที่ไม่เชื่อ

23 ด้วยเหตุนี้หากทั้งคริสตจักรมาประชุมกันและทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แล้วคนที่ไม่เข้าใจหรือผู้ที่ไม่เชื่อเข้ามา จะไม่หาว่าท่านเสียสติไปหรือ?

24 แต่ถ้าหากผู้ที่ไม่เชื่อหรือคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาขณะที่ทุกคนกำลังเผยพระวจนะ ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้เขาสำนึกว่าเขาเป็นคนบาปและทั้งหมดนี้จะพิพากษาเขา

25 และความลับต่างๆ ในใจเขาจะถูกตีแผ่ ดังนั้นเขาจะกราบลงนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “พระเจ้าสถิตท่ามกลางพวกท่านจริงๆ!”

การนมัสการอย่างมีระเบียบ

26 พี่น้องทั้งหลาย แล้วเราจะว่าอย่างไรดี? เมื่อพวกท่านมาประชุมกัน ทุกคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน การทรงสำแดง ภาษาแปลกๆ หรือการแปลภาษาแปลกๆ ทั้งหมดนี้ต้องทำเพื่อให้คริสตจักรเข้มแข็งขึ้น

27 หากใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงพูดแค่สองคนหรืออย่างมากที่สุดสามคน โดยพูดทีละคนและต้องมีคนแปลความ

28 หากไม่มีคนแปล ผู้พูดควรอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร พูดกับตัวเองและทูลต่อพระเจ้า

29 ส่วนผู้เผยพระวจนะควรพูดสักสองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูดให้ดี

30 หากมีการทรงสำแดงแก่บางคนที่นั่งอยู่ ให้ผู้พูดคนแรกนิ่งก่อน

31 เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดจะได้เผยพระวจนะทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้รับคำสอนและคำให้กำลังใจ

32 จิตวิญญาณของผู้เผยพระวจนะย่อมอยู่ในบังคับของผู้เผยพระวจนะ

33 เพราะพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข

ตามที่ปฏิบัติกันในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า

34 ผู้หญิงควรนิ่งเสียในคริสตจักร ไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องนอบน้อมยอมจำนนตามที่บทบัญญัติระบุ

35 ถ้าอยากถามเรื่องใด ควรถามสามีที่บ้าน เป็นเรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะพูดขึ้นมาในคริสตจักร

36 พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมีมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?

37 ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือมีของประทานฝ่ายจิตวิญญาณก็ให้เขายอมรับว่าข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้เป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

38 ถ้าเขาละเลยเรื่องนี้ ตัวเขาเองจะถูกละเลย

39 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า จงกระตือรือร้นในการเผยพระวจนะ และอย่าห้ามการพูดภาษาแปลกๆ เลย

40 แต่ควรทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/14-ff6ce166765123525b77b0759d57d443.mp3?version_id=179—

Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 15

พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์

1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้

2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอดโดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์

3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่านคือ พระคริสต์ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์

4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้

5 และทรงปรากฏแก่เปโตรจากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน

6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว

7 จากนั้นพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง

8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ

9 เพราะข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในหมู่อัครทูตและไม่คู่ควรแม้กระทั่งจะได้ชื่อว่าอัครทูต เพราะข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า

10 แต่โดยพระคุณของพระเจ้าข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้านั้นไม่ใช่ว่าจะไร้ผล ข้าพเจ้าทำงานหนักยิ่งกว่าพวกเขาทั้งปวง แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ พระคุณของพระเจ้าซึ่งดำรงอยู่กับข้าพเจ้าต่างหากที่ทำ

11 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือพวกเขา นี่คือสิ่งที่เราประกาศและนี่คือสิ่งที่ท่านได้เชื่อ

การเป็นขึ้นจากตาย

12 แต่ถ้าเราประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตาย เหตุใดพวกท่านบางคนยังกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย?

13 ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระคริสต์เองก็ไม่ได้เป็นขึ้นจากตายด้วย

14 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นจากตาย คำเทศนาของเราก็ไร้ค่าและความเชื่อของท่านก็ไร้ค่า

15 ยิ่งไปกว่านั้นกลายเป็นว่าเราเป็นพยานเท็จเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย แต่ถ้าความจริงคือพระเจ้าไม่ได้ทรงให้คนตายเป็นขึ้นมา พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมา

16 เพราะถ้าพระเจ้าไม่ทรงให้คนตายเป็นขึ้นแล้ว พระองค์ย่อมไม่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นเช่นกัน

17 และถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ความเชื่อของท่านก็ไร้ผล ท่านยังคงอยู่ในบาปของตน

18 แล้วบรรดาผู้ที่ล่วงลับไปในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย

19 ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงเพื่อชีวิตนี้ เราก็น่าสมเพชกว่าคนทั้งปวง

20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป

21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตายก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน

22 เพราะว่าในอาดัมคนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น

23 แต่จะเป็นไปตามลำดับคือ พระคริสต์ผู้เป็นผลแรก จากนั้นบรรดาคนของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมา

24 แล้วจุดจบก็มาถึงเมื่อพระองค์ทรงถวายอาณาจักรแด่พระเจ้าพระบิดา หลังจากที่ทรงทำลายเทพผู้ปกครองอาณาจักร เทพผู้ทรงอำนาจ และเทพผู้ทรงเดชานุภาพทั้งปวง

25 เพราะพระองค์จะต้องครอบครองจนกว่าพระองค์จะได้สยบศัตรูทั้งสิ้นไว้ใต้พระบาทของพระองค์

26 ศัตรูตัวสุดท้ายที่ต้องทรงทำลายคือความตาย

27 เพราะพระองค์ “ได้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้พระบาทของพระองค์”ที่ว่า “ทุกสิ่ง” อยู่ใต้พระองค์นี้เป็นที่ชัดเจนว่าไม่รวมถึงพระเจ้าเองผู้ทรงให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระคริสต์

28 เมื่อพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้แล้ว พระบุตรเองจะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ทรงทำให้ทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าจะทรงอยู่เหนือทุกสิ่ง

29 เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว บรรดาผู้ที่รับบัพติศมาสำหรับคนตายจะทำอย่างไร? ถ้าคนตายไม่คืนชีวิต ทำไมยังมีคนรับบัพติศมาเพื่อผู้ตาย?

30 และสำหรับเรา ทำไมเราจึงต้องเผชิญภยันตรายอยู่ทุกเวลา?

31 ข้าพเจ้าตายทุกวัน พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความเช่นนั้น สิ่งนี้แน่นอนเหมือนที่ข้าพเจ้าภาคภูมิใจในพวกท่านในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับพวกสัตว์ป่าในเอเฟซัสเพียงเพื่อเหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าได้อะไร? หากพระเจ้าไม่ได้ให้คนตายเป็นขึ้นมา

“ให้เรากินและดื่ม

เพราะพรุ่งนี้เราก็ตายแล้ว”

33 อย่าให้ใครชักจูงให้หลงผิดเลย “เพื่อนเลวย่อมทำให้อุปนิสัยที่ดีเสื่อมทรามไป”

34 จงกลับมีสติสัมปชัญญะอย่างที่ควรเถิดและเลิกทำบาป เพราะมีบางคนไม่รู้จักพระเจ้าเลย ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ

กายที่เป็นขึ้นจากตาย

35 แต่บางคนอาจจะถามว่า “คนตายเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเป็นขึ้นร่างกายของเขาจะเป็นแบบไหน?”

36 ช่างเขลาเสียจริง! สิ่งที่ท่านหว่านลงจะไม่มีชีวิตขึ้นมา ถ้าสิ่งนั้นไม่ตายเสียก่อน

37 เมื่อท่านหว่าน ท่านไม่ได้ปลูกต้นที่โตเต็มที่แล้ว แต่ท่านปลูกแค่เมล็ด ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดข้าวสาลีหรือเมล็ดพืชใดๆ

38 แต่พระเจ้าประทานลำต้นตามที่ได้ทรงกำหนดไว้ และพระองค์ประทานลำต้นของมันเองให้แก่เมล็ดแต่ละชนิด

39 เนื้อทั้งปวงไม่เหมือนกัน เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง สัตว์ต่างๆ ก็อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ปีกสัตว์น้ำก็อีกอย่างหนึ่ง

40 กายก็มีทั้งแบบสวรรค์และแบบฝ่ายโลกเช่นกัน แต่สง่าราศีของกายแบบสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายแบบฝ่ายโลกก็อีกอย่างหนึ่ง

41 สง่าราศีของดวงอาทิตย์เป็นแบบหนึ่ง ดวงจันทร์ก็อีกแบบหนึ่ง และดวงดาวก็อีกแบบหนึ่ง อันที่จริงสง่าราศีของดาวแต่ละดวงก็ต่างกัน

42 การเป็นขึ้นมาของคนตายก็เช่นกัน กายที่หว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ที่เป็นขึ้นมาใหม่จะไม่เสื่อมสลาย

43 ที่หว่านลงนั้นไร้ศักดิ์ศรี ที่เป็นขึ้นเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี ที่หว่านลงนั้นอ่อนแอ ที่เป็นขึ้นทรงพลัง

44 ที่หว่านลงนั้นเป็นกายธรรมชาติ ที่เป็นขึ้นเป็นกายวิญญาณ

ถ้ามีกายธรรมชาติย่อมมีกายวิญญาณด้วย

45 จึงมีเขียนไว้ว่า “อาดัมมนุษย์คนแรกจึงกลายเป็นผู้มีชีวิต”ส่วนอาดัมคนหลังเป็นวิญญาณผู้ให้ชีวิต

46 กายวิญญาณไม่ได้มาก่อน แต่กายธรรมชาติมาก่อนและกายวิญญาณมาทีหลัง

47 มนุษย์คนแรกมาจากธุลีดินของโลกนี้ มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์

48 คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น

49 และเราเกิดมามีลักษณะเหมือนกับคนฝ่ายโลกอย่างไร เราก็จะมีลักษณะเหมือนกับคนจากสวรรค์อย่างนั้น

50 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอประกาศว่าเนื้อและเลือดไม่อาจรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก และสิ่งที่เสื่อมสลายไม่อาจรับสิ่งที่ไม่เสื่อมสลายเป็นมรดก

51 ฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกข้อล้ำลึกแก่ท่าน คือเราจะไม่ล่วงลับกันทั้งหมด แต่พวกเราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

52 ชั่วแวบเดียวในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น คนตายจะถูกทำให้เป็นขึ้นแบบไม่เสื่อมสลายและเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลง

53 เพราะที่เสื่อมสลายต้องสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้ต้องสวมที่ไม่มีวันตาย

54 เมื่อที่เสื่อมสลายนั้นสวมที่ไม่เสื่อมสลาย และที่ตายได้นั้นสวมที่ไม่มีวันตายแล้ว คำกล่าวที่ได้บันทึกไว้ก็จะเป็นจริงคือ “ความตายก็พ่ายแพ้ถูกกลืนหายไป”

55 “ความตายเอ๋ย ไหนล่ะชัยชนะของเจ้า?

ความตายเอ๋ย ไหนล่ะเหล็กไนของเจ้า?”

56 เหล็กไนของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือบทบัญญัติ

57 แต่ขอบพระคุณพระเจ้า! พระองค์ประทานชัยชนะแก่เราโดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา

58 เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงตั้งมั่นอยู่ อย่าให้สิ่งใดทำให้ท่านหวั่นไหว จงทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านรู้ว่าในองค์พระผู้เป็นเจ้า การงานของท่านจะไม่สูญเปล่า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/15-7442f508d5676dfb1c8672a3351bb84c.mp3?version_id=179—

Categories
1โครินธ์

1โครินธ์ 16

การเรี่ยไรเพื่อประชากรของพระเจ้า

1 เกี่ยวกับการเรี่ยไรเพื่อประชากรของพระเจ้านั้น ขอให้ท่านทำเหมือนที่ข้าพเจ้าบอกแก่คริสตจักรต่างๆ ในกาลาเทีย

2 ทุกวันต้นสัปดาห์ท่านแต่ละคนควรแยกเงินจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสมกับรายได้ของตน เก็บสะสมเงินนี้ไว้เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาจะได้ไม่ต้องเรี่ยไร

3 แล้วเมื่อข้าพเจ้ามาก็จะมอบจดหมายแนะนำตัวให้กับคนที่ท่านเห็นชอบ และส่งพวกเขาไปยังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับเงินถวายของท่าน

4 หากเป็นการเหมาะสมที่ข้าพเจ้าจะไปด้วย คนเหล่านั้นก็จะไปพร้อมกับข้าพเจ้า

คำขอร้องส่วนตัว

5 เมื่อข้าพเจ้าผ่านแคว้นมาซิโดเนียแล้วจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าจะเดินทางผ่านมาซิโดเนีย

6 ข้าพเจ้าอาจจะพักอยู่กับพวกท่านระยะหนึ่งหรืออยู่จนสิ้นฤดูหนาวก็เป็นได้ เพื่อท่านจะได้ช่วยเหลือข้าพเจ้าในการเดินทางไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม

7 ตอนนี้ข้าพเจ้าแค่ผ่านมาและไม่อยากพบปะกับท่านเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ถ้าพระเจ้าทรงอนุญาต ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับพวกท่านสักระยะหนึ่ง

8 แต่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่เมืองเอเฟซัสต่อจนถึงเทศกาลเพ็นเทคอสต์

9 เพราะประตูได้เปิดกว้างให้ข้าพเจ้าทำงานอย่างเกิดผล แต่คนต่อต้านข้าพเจ้าก็มีมาก

10 หากทิโมธีมา ขอท่านช่วยดูแลไม่ให้เขาหวั่นเกรงสิ่งใดขณะที่เขาอยู่กับท่าน เพราะเขาก็ทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับข้าพเจ้า

11 ฉะนั้นอย่าให้ใครปฏิเสธที่จะยอมรับเขา ช่วยส่งเขาเดินทางต่อไปอย่างสันติเพื่อเขาจะได้กลับมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากำลังคอยเขากับพวกพี่น้องอยู่

12 เกี่ยวกับอปอลโลพี่น้องของเรานั้น ข้าพเจ้าคะยั้นคะยอให้เขามาหาท่านพร้อมกับพวกพี่น้อง แต่เขายังไม่ประสงค์จะมาตอนนี้ เขาจะมาเมื่อมีโอกาส

13 ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง ยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ เด็ดเดี่ยวกล้าหาญและเข้มแข็ง

14 จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก

15 ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าครอบครัวของสเทฟานัสเป็นผู้กลับใจกลุ่มแรกในแคว้นอาคายา และพวกเขาถวายตัวรับใช้ประชากรของพระเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่าน

16 ยอมเชื่อฟังคนเหล่านี้และทุกคนที่ร่วมงานร่วมตรากตรำ

17 ข้าพเจ้าดีใจเมื่อสเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส กับอาคายคัสมาถึง เพราะพวกเขาได้ให้สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับจากท่าน

18 พวกเขาได้ฟื้นจิตใจของข้าพเจ้าและของท่านทั้งหลายขึ้นใหม่ด้วย คนเช่นนี้สมควรได้รับการนับถือ

คำลงท้าย

19 คริสตจักรต่างๆ ในแถบแคว้นเอเชียฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย อาควิลลากับปริสสิลลาและคริสตจักรในบ้านของพวกเขาฝากความคิดถึงในองค์พระผู้เป็นเจ้ามายังท่าน

20 พี่น้องทั้งปวงที่นี่ฝากความคิดถึงมายังท่าน จงทักทายกันด้วยการจุมพิตอันบริสุทธิ์

21 คำลงท้ายนี้ข้าพเจ้าเปาโลเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง

22 ถ้าผู้ใดไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเสด็จมาเถิด!

23 ขอพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย

24 ข้าพเจ้าขอส่งความรักมายังท่านทุกคนในพระเยซูคริสต์ อาเมน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/1CO/16-1ef099e765bcede31b113037013133df.mp3?version_id=179—