Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 21

กำเนิดอิสอัค

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเสด็จมาโปรดซาราห์ตามที่ตรัสไว้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามสัญญาที่ให้แก่ซาราห์ไว้

2 ซาราห์ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายแก่อับราฮัมเมื่อเขาชราแล้ว ตรงตามเวลาที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับเขา

3 อับราฮัมตั้งชื่อบุตรที่ซาราห์คลอดให้ว่าอิสอัค

4 เมื่ออิสอัคบุตรของเขาอายุครบแปดวัน อับราฮัมให้เขาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้

5 เมื่ออิสอัคบุตรของเขาเกิดมา อับราฮัมอายุได้หนึ่งร้อยปี

6 ซาราห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำให้ฉันหัวเราะ ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้จะพลอยหัวเราะไปกับฉันด้วย”

7 และนางกล่าวอีกว่า “ใครจะคิดว่าซาราห์จะมีลูกให้กับอับราฮัม? แต่ฉันก็ได้คลอดลูกชายให้เขาเมื่อเขาชราแล้ว”

นางฮาการ์กับอิชมาเอลถูกขับไล่ออกจากบ้าน

8 เด็กนั้นก็เติบโตขึ้นและหย่านม ในวันที่อิสอัคหย่านม อับราฮัมจัดงานเลี้ยงใหญ่

9 แต่ซาราห์เห็นบุตรของนางฮาการ์ชาวอียิปต์ที่เกิดแก่อับราฮัมกำลังหัวเราะเยาะ

10 นางจึงพูดกับอับราฮัมว่า “จงไล่เมียทาสกับลูกของนางไปเถิด เพราะลูกของเมียทาสคนนั้นจะไม่มีวันมีส่วนร่วมในกองมรดกกับอิสอัคลูกชายของฉัน”

11 เรื่องนี้ทำให้อับราฮัมทุกข์ใจมากเพราะเกี่ยวข้องกับบุตรชายของเขา

12 แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “อย่าทุกข์ใจเรื่องเด็กคนนั้นกับเมียทาสของเจ้าเลย จงทำตามที่ซาราห์บอก เพราะเชื้อสายของเจ้าจะนับทางอิสอัค

13 และเราจะให้ชนชาติหนึ่งสืบเชื้อสายจากลูกของเมียทาสคนนี้ด้วย เพราะเขาก็เป็นเชื้อสายของเจ้าเหมือนกัน”

14 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นอับราฮัมก็เอาอาหารและน้ำหนึ่งถุงหนังใส่บ่าของฮาการ์ แล้วส่งนางออกไปพร้อมกับบุตรชาย นางก็ระเหเร่ร่อนเข้าไปในถิ่นกันดารเบเออร์เชบา

15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมดแล้ว นางจึงทิ้งลูกชายไว้ใต้พุ่มไม้

16 แล้วเดินหนีไปนั่งอยู่ไม่ไกล ห่างออกไปประมาณระยะยิงธนูตก เพราะนางคิดว่า “ฉันไม่อาจทนดูลูกตายไป” และขณะนั่งอยู่ที่นั่น นางก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น

17 พระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของเด็กหนุ่ม ทูตของพระเจ้าเรียกฮาการ์จากฟ้าสวรรค์และพูดกับนางว่า “ฮาการ์เอ๋ย มีเรื่องอะไรหรือ? อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของเด็กที่นอนอยู่ตรงนั้นแล้ว

18 จงไปประคองเขาขึ้นและจูงมือเขาไป เพราะเราจะทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง”

19 แล้วพระเจ้าทรงเบิกตาของนาง นางก็เห็นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงไปเติมน้ำเต็มถุงหนังและให้เด็กหนุ่มนั้นดื่ม

20 พระเจ้าสถิตกับเด็กหนุ่มคนนั้น ขณะที่เขาเติบโตขึ้น เขาอาศัยในถิ่นกันดารและกลายเป็นนักยิงธนู

21 ขณะเขาอาศัยในถิ่นกันดารแห่งปาราน มารดาได้หาหญิงสาวจากอียิปต์มาเป็นภรรยาของเขา

สนธิสัญญาที่เบเออร์เชบา

22 ครั้งนั้น อาบีเมเลคกับแม่ทัพฟีโคล์กล่าวกับอับราฮัมว่า “พระเจ้าสถิตกับท่านในทุกสิ่งที่ท่านทำ

23 บัดนี้ขอให้ท่านปฏิญาณต่อหน้าพระเจ้าเถิดว่าท่านจะไม่หลอกเรา ไม่หลอกลูกหลานหรือเชื้อสายของเรา ให้จงรักภักดีต่อเราและต่อบ้านเมืองซึ่งท่านมาอาศัยเป็นคนต่างด้าวอยู่นี้เหมือนที่เราจงรักภักดีต่อท่าน”

24 อับราฮัมกล่าวว่า “ข้าพเจ้าขอปฏิญาณ”

25 แล้วอับราฮัมจึงร้องทุกข์ต่ออาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่บริวารของอาบีเมเลคยึดไป

26 แต่อาบีเมเลคตอบว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้บอกเรา และเราเพิ่งได้ยินเรื่องนี้วันนี้เอง”

27 อับราฮัมจึงยกแกะและวัวให้อาบีเมเลค และชายทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน

28 อับราฮัมคัดลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวออกจากฝูง

29 และอาบีเมเลคก็ถามอับราฮัมว่า “ลูกแกะตัวเมียเจ็ดตัวที่ท่านคัดออกมานี้มีความหมายอะไร?”

30 เขาตอบว่า “ขอจงรับลูกแกะเจ็ดตัวนี้จากมือข้าพเจ้าเพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ขุดบ่อน้ำนี้”

31 ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่าเบเออร์เชบาเพราะทั้งสองได้ปฏิญาณร่วมกันที่นั่น

32 หลังจากทำสนธิสัญญาที่เบเออร์เชบาแล้ว อาบีเมเลคกับแม่ทัพฟีโคล์ก็กลับสู่ดินแดนฟีลิสเตีย

33 อับราฮัมได้ปลูกต้นสนหมอกต้นหนึ่งในเบเออร์เชบาและนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ พระเจ้าองค์นิรันดร์

34 และอับราฮัมก็อาศัยอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลานาน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/21-78073a493a38b5014435411af5e227a2.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 22

พระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม

1 ต่อมาพระเจ้าทรงทดสอบอับราฮัม พระองค์ตรัสกับเขาว่า “อับราฮัมเอ๋ย!”

เขาทูลตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”

2 แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ขอเจ้าจงพาลูกชายของเจ้า ลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า ผู้ที่เจ้ารัก คืออิสอัค ไปยังแคว้นโมริยาห์ จงถวายเขาเป็นเครื่องเผาบูชาบนภูเขาแห่งหนึ่งซึ่งเราจะสำแดงแก่เจ้า”

3 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อับราฮัมลุกขึ้นและผูกอานลาของเขา เขาพาคนรับใช้สองคนกับอิสอัคบุตรชายไปด้วย เมื่อเขาได้ตัดฟืนพอสำหรับเครื่องเผาบูชาแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้

4 เมื่อถึงวันที่สาม อับราฮัมเงยหน้าขึ้นและเห็นสถานที่นั้นแต่ไกล

5 เขาพูดกับคนรับใช้ว่า “จงอยู่กับลาที่นี่ ขณะที่เรากับเด็กคนนี้ไปที่โน่น พวกเราจะนมัสการพระเจ้า แล้วพวกเราจะกลับมาหาเจ้า”

6 อับราฮัมจึงเอาฟืนสำหรับเครื่องเผาบูชาใส่บ่าอิสอัค ตัวเขาเองถือมีดและไฟ ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินไปด้วยกันนั้น

7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมบิดาของเขาขึ้นมาว่า “พ่อ”

อับราฮัมตอบว่า “อะไรหรือลูก?”

อิสอัคกล่าวว่า “ไฟกับฟืนก็มีอยู่ที่นี่แล้ว แต่ลูกแกะสำหรับเผาบูชาอยู่ที่ไหนเล่า?”

8 อับราฮัมตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะจัดเตรียมลูกแกะสำหรับเผาบูชาไว้เอง” แล้วทั้งสองก็เดินต่อไปด้วยกัน

9 เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่ที่พระเจ้าทรงบอกไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาขึ้นและจัดฟืนไว้บนแท่นนั้น เขามัดอิสอัคลูกของเขา แล้ววางบนฟืนเหนือแท่นบูชา

10 จากนั้นเขาเอื้อมมือหยิบมีดจะฆ่าลูกชายของตน

11 แต่ทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเรียกอับราฮัมจากฟ้าสวรรค์ว่า “อับราฮัม! อับราฮัม!”

เขาตอบว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่”

12 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “อย่าแตะต้องเด็กคนนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย บัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้หวงลูกชายของเจ้าจากเรา แม้เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า”

13 อับราฮัมเงยหน้าขึ้นเห็นแกะผู้ตัวหนึ่งเขาของมันเกี่ยวติดอยู่กับพุ่มไม้ จึงไปจับแกะนั้นมาถวายเป็นเครื่องเผาบูชาแทนลูกชายของเขา

14 ดังนั้นอับราฮัมจึงเรียกสถานที่นั้นว่า “พระยาห์เวห์จะทรงจัดเตรียมไว้” อย่างที่พูดกันทุกวันนี้ว่า “จะจัดเตรียมไว้บนภูเขาของพระยาห์เวห์”

15 แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าร้องเรียกอับราฮัมจากฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สอง

16 และกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า เราปฏิญาณโดยตัวของเราเองว่า ด้วยเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้และไม่ได้หวงแม้กระทั่งลูกชายของเจ้า คือลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้า

17 เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและจะทำให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า เหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล ลูกหลานของเจ้าจะครอบครองเมืองต่างๆ ของเหล่าศัตรูของพวกเขา

18 และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเชื้อสายของเจ้า เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเรา”

19 แล้วอับราฮัมก็กลับมาหาคนรับใช้ และพากันกลับไปยังเมืองเบเออร์เชบา อับราฮัมอาศัยอยู่ที่เมืองเบเออร์เชบา

บรรดาบุตรของนาโฮร์

20 ต่อมามีผู้แจ้งอับราฮัมว่า “มิลคาห์ได้เป็นแม่แล้ว นางได้คลอดลูกชายหลายคนให้แก่นาโฮร์น้องชายของท่าน คือ

21 อูสบุตรหัวปี บูสน้องชายของเขา เคมูเอล (บิดาของอารัม)

22 เคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟ และเบธูเอล”

23 เบธูเอลเป็นบิดาของนางเรเบคาห์ มิลคาห์ให้กำเนิดบุตรชายแปดคนนี้แก่นาโฮร์น้องชายของอับราฮัม

24 นอกจากนี้นาโฮร์ยังมีบุตรชายอีกสี่คนซึ่งเกิดจากเรอูมาห์ภรรยาน้อย ได้แก่เทบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/22-dbb39c08d52ab8045edeaafa4a5bc3ba.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 23

ซาราห์สิ้นชีวิต

1 ซาราห์มีชีวิตอยู่จนอายุ 127 ปี นี่คือช่วงชีวิตของนางซาราห์

2 นางตายที่คีริยาทอารบา (คือเฮโบรน) ในดินแดนคานาอัน อับราฮัมไว้ทุกข์ให้ซาราห์และคร่ำครวญอาลัยถึงนาง

3 แล้วอับราฮัมลุกขึ้นจากข้างศพภรรยาและกล่าวกับคนฮิตไทต์ว่า

4 “ข้าพเจ้าเป็นคนต่างด้าวต่างแดนในหมู่พวกท่าน ขอที่ดินผืนหนึ่งของท่านให้แก่ข้าพเจ้าไว้ใช้เป็นสุสานเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้า”

5 คนฮิตไทต์ตอบอับราฮัมว่า

6 “นายเจ้าข้า ขอฟังเราเถิด ท่านเป็นเจ้านายผู้ทรงอำนาจในหมู่พวกเรา เชิญฝังผู้ตายของท่านในอุโมงค์ฝังศพที่ดีที่สุดของเรา ไม่มีผู้ใดห้ามท่านฝังผู้ตายของท่านในอุโมงค์ฝังศพของเขา”

7 อับราฮัมลุกขึ้นน้อมคำนับชาวแผ่นดินฮิตไทต์

8 เขากล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ถ้าท่านเต็มใจให้ข้าพเจ้าฝังผู้ตายของข้าพเจ้า ก็ขอได้โปรดฟังข้าพเจ้าและวิงวอนเอโฟรนบุตรของโศหาร์แทนข้าพเจ้า

9 เพื่อเขาจะขายถ้ำมัคเปลาห์ซึ่งอยู่ตรงปลายทุ่งของเขาแก่ข้าพเจ้า ขอให้เขาขายให้ข้าพเจ้าเต็มราคาเพื่อเป็นสุสานท่ามกลางพวกท่าน”

10 ฝ่ายเอโฟรนคนฮิตไทต์ก็นั่งอยู่ในหมู่ชนของเขา และเขาตอบอับราฮัมให้คนฮิตไทต์ทุกคนซึ่งมาชุมนุมกันที่ประตูเมืองนั้นได้ยินด้วย

11 เขากล่าวว่า “อย่าเลยนายเจ้าข้า โปรดฟังข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าให้ที่ดินผืนนี้แก่ท่าน และข้าพเจ้าให้ถ้ำในที่ดินนั้นแก่ท่าน ข้าพเจ้าให้ที่แห่งนี้แก่ท่านต่อหน้าประชาชนของข้าพเจ้า จงฝังผู้ตายของท่านเถิด”

12 อับราฮัมจึงน้อมคำนับชาวแผ่นดินนั้นอีกครั้ง

13 แล้วตอบเอโฟรนให้คนอื่นๆ ได้ยินด้วยว่า “โปรดฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะจ่ายเงินค่าที่ดินผืนนี้ โปรดรับไว้เถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้ฝังผู้ตายของข้าพเจ้าที่นั่น”

14 เอโฟรนตอบอับราฮัมว่า

15 “นายเจ้าข้า โปรดฟังข้าพเจ้า ที่ดินนั้นราคา 400 เชเขลแต่นั่นมีความหมายอะไรระหว่างเรากับท่าน? เชิญฝังผู้ตายของท่านเถิด”

16 อับราฮัมตกลงตามข้อเสนอของเอโฟรน จึงชั่งเงินจ่ายให้ตามราคาที่เขาบอกต่อหน้าคนฮิตไทต์ คือเงิน 400 เชเขลตามน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กันในเวลานั้น

17 ดังนั้นที่ดินของเอโฟรนในมัคเปลาห์ใกล้มัมเร คือทั้งท้องทุ่งและถ้ำในที่ดินผืนนั้น และต้นไม้ทั้งหมดที่อยู่ริมทุ่งได้ถูกโอนกรรมสิทธิ์

18 มาเป็นสมบัติของอับราฮัมต่อหน้าคนฮิตไทต์ทั้งหมดที่มาชุมนุมกันที่ประตูเมือง

19 จากนั้นอับราฮัมจึงฝังศพซาราห์ภรรยาของเขาในถ้ำที่อยู่ในทุ่งมัคเปลาห์ใกล้มัมเร (ซึ่งอยู่ที่เมืองเฮโบรน) ในดินแดนคานาอัน

20 ดังนั้นคนฮิตไทต์ได้โอนทุ่งและถ้ำในที่ดินผืนนั้นให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอับราฮัมเพื่อใช้เป็นสุสาน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/23-cbe4093d1bf9b0376693e49531c76a41.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 24

อิสอัคกับเรเบคาห์

1 อับราฮัมชรามากแล้ว และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเขาทุกด้าน

2 วันหนึ่งอับราฮัมพูดกับหัวหน้าคนรับใช้ซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขาว่า “จงเอามือของเจ้าไว้ที่หว่างขาของเรา

3 ขอให้เจ้าสาบานต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้สร้างสวรรค์และโลก ว่าเจ้าจะไม่หาลูกสาวของชาวคานาอันซึ่งเป็นหมู่ชนที่เราอาศัยอยู่นี้มาเป็นภรรยาลูกชายของเรา

4 แต่จะไปยังบ้านเกิดและญาติพี่น้องของเรา เพื่อหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของเรา”

5 คนรับใช้นั้นจึงถามเขาว่า “หากหญิงสาวนั้นไม่ยอมจากบ้านตามข้าพเจ้ามายังดินแดนนี้เล่า? ข้าพเจ้าควรจะพาลูกชายของท่านกลับไปยังบ้านเมืองที่ท่านจากมาหรือ?”

6 อับราฮัมกล่าวว่า “อย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่นเด็ดขาด

7 พระยาห์เวห์ พระเจ้าผู้สร้างสวรรค์ ผู้ทรงนำเราออกมาจากครัวเรือนของบิดาและจากบ้านเกิดเมืองนอนของเรา ผู้ซึ่งได้ตรัสและสัญญากับเราโดยคำปฏิญาณได้ตรัสว่า ‘เราจะมอบดินแดนนี้แก่เชื้อสายของเจ้า’ พระองค์จะทรงให้ทูตของพระองค์นำเจ้าไป เพื่อเจ้าจะหาภรรยาให้ลูกชายของเราจากที่นั่น

8 ถ้าหญิงนั้นไม่เต็มใจจะกลับมากับเจ้า เจ้าก็พ้นจากคำสาบานนี้ แต่อย่าพาลูกชายของเรากลับไปที่นั่นเด็ดขาด”

9 ดังนั้นคนรับใช้จึงเอามือไว้ที่หว่างขาของอับราฮัมผู้เป็นนายและให้คำสาบานต่อเขาในเรื่องนี้

10 แล้วคนรับใช้นั้นจึงนำอูฐของนายสิบตัวบรรทุกของมีค่าทุกประเภทจากนายของเขาออกเดินทางไปอารัมนาหะราอิม และมุ่งหน้าไปยังเมืองของนาโฮร์

11 เขาให้อูฐหมอบลงพักใกล้บ่อน้ำนอกเมือง ขณะนั้นใกล้เวลาเย็นแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่พวกผู้หญิงพากันออกมาตักน้ำ

12 แล้วเขาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงเมตตาอับราฮัมนายของข้าพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้

13 ดูเถิด ข้าพระองค์ยืนอยู่ที่ข้างบ่อน้ำนี้ และสาวๆ ในเมืองกำลังออกมาตักน้ำ

14 ถ้าหากข้าพระองค์พูดกับหญิงสาวคนใดว่า ‘ขอน้ำในถังของเธอให้ฉันดื่มหน่อย’ แล้วนางตอบว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย’ ก็ถือว่านางเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ให้อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ หากเป็นไปตามนี้ ข้าพระองค์ก็จะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงเมตตานายของข้าพระองค์แล้ว”

15 ขณะที่เขาอธิษฐานยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกถังน้ำใส่บ่าออกมา นางเป็นบุตรสาวของเบธูเอล ผู้เป็นบุตรชายของมิลคาห์ มิลคาห์เป็นภรรยาของนาโฮร์น้องชายของอับราฮัม

16 เรเบคาห์เป็นหญิงงามมาก เป็นสาวพรหมจารี ไม่เคยหลับนอนกับผู้ชาย เธอลงไปที่บ่อน้ำ เติมน้ำเต็มถังแล้วก็ขึ้นมา

17 คนรับใช้นั้นรีบวิ่งไปหานางและกล่าวว่า “ขอน้ำในถังของเธอให้ฉันหน่อยเถิด”

18 นางตอบว่า “นายเจ้าข้า เชิญดื่มเถิด” แล้วนางก็รีบยกถังลงให้เขาดื่มทันที

19 หลังจากให้เขาดื่มน้ำแล้ว นางก็พูดว่า “ฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านกินจนอิ่มด้วย”

20 เธอจึงรีบเทน้ำทั้งหมดจากถังลงในราง แล้ววิ่งไปที่บ่อ ตักน้ำให้อูฐจนทุกตัวกินอิ่ม

21 ชายนั้นเฝ้าสังเกตดูนางอยู่เงียบๆ เพื่อดูว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้การเดินทางของเขาประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่

22 เมื่ออูฐทุกตัวกินน้ำอิ่มแล้ว เขาก็หยิบห่วงจมูกทองคำหนักราวสองสลึงและกำไลทองคู่หนึ่งหนักราว 7 บาทออกมา

23 และเขาถามว่า “เธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร กรุณาบอกฉันเถิดว่าที่บ้านบิดาของเธอมีที่ว่างให้พวกเราพักค้างคืนได้ไหม?”

24 นางตอบเขาว่า “ฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล บุตรชายของมิลคาห์กับนาโฮร์”

25 และนางกล่าวต่อไปว่า “เรามีฟางกับอาหารสัตว์มากมาย พร้อมทั้งที่ว่างให้ท่านพักค้างคืนด้วย”

26 แล้วเขาจึงก้มลงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า

27 และกล่าวว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ผู้ไม่ได้ทรงละทิ้งความเมตตาและความซื่อสัตย์ของพระองค์ต่อนายของข้าพระองค์ ส่วนข้าพระองค์นั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงนำข้าพระองค์ให้เดินทางมาถึงบ้านพี่น้องนายของข้าพระองค์”

28 นางจึงวิ่งกลับไปบอกเรื่องนี้แก่คนที่บ้านของมารดา

29 เรเบคาห์มีพี่ชายคนหนึ่งชื่อลาบัน แล้วลาบันรีบรุดมาพบชายนั้นที่บ่อน้ำ

30 ทันทีที่เขาเห็นห่วงจมูกและกำไลที่ข้อมือของน้องสาว และได้ฟังเรเบคาห์เล่าสิ่งที่ชายคนนั้นพูดกับนางแล้ว เขาก็ออกไปหาชายคนนั้นและพบเขายืนอยู่ข้างบ่อน้ำกับฝูงอูฐ

31 ลาบันกล่าวว่า “มาเถิด ท่านผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพร ทำไมท่านจึงยืนอยู่ข้างนอกตรงนี้? เราได้จัดบ้านไว้และเตรียมที่สำหรับฝูงอูฐแล้ว”

32 ชายนั้นจึงไปที่บ้าน มีคนมาปลดสัมภาระลงจากฝูงอูฐ ให้ฟางและอาหารแก่พวกมัน และจัดหาน้ำมาให้เขาและคนของเขาล้างเท้า

33 แล้วยกอาหารมาตั้งตรงหน้าชายนั้น แต่เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะยังไม่รับประทานจนกว่าจะได้บอกให้ท่านรู้ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องพูด”

ลาบันกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น จงบอกเราเถิด”

34 เขาจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของอับราฮัม

35 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรนายของข้าพเจ้าอย่างล้นเหลือ จนท่านกลายเป็นคนมั่งคั่ง พระองค์ประทานฝูงแกะ ฝูงวัว อูฐ ลา เงินและทอง ตลอดจนคนรับใช้ชายหญิง

36 ต่อมานางซาราห์ภรรยาของนายคลอดลูกชายคนหนึ่งให้นายเมื่อนางอายุมากแล้ว และนายยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ลูกคนนี้

37 แล้วนายก็ให้ข้าพเจ้าสาบานและกล่าวว่า ‘เจ้าจะต้องไม่หาลูกสาวของชาวคานาอันซึ่งเป็นเจ้าของดินแดนที่เราอาศัยอยู่นี้มาเป็นภรรยาของลูกชายเรา

38 แต่จงไปยังครอบครัวบิดาของเรา ไปยังญาติพี่น้องของเรา และหาภรรยาให้ลูกชายของเรา’

39 “แล้วข้าพเจ้าก็ถามนายว่า ‘ถ้าหญิงนั้นไม่ยอมตามข้าพเจ้ามาเล่า?’

40 “นายตอบว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่เราดำเนินชีวิตอยู่ในทางของพระองค์นั้นจะทรงส่งทูตของพระองค์ไปกับเจ้า และจะทรงทำให้การเดินทางของเจ้าประสบความสำเร็จ เพื่อเจ้าจะสามารถหาภรรยาให้ลูกชายของเราจากญาติพี่น้องของเรา และจากครอบครัวบิดาของเรา

41 เมื่อเจ้าไปหาญาติพี่น้องของเราแล้ว เจ้าก็พ้นจากคำสาบานที่ให้กับเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ยอมยกนางให้เจ้า เจ้าก็จะพ้นจากคำสาบาน’

42 “วันนี้เมื่อข้าพเจ้ามาถึงบ่อน้ำก็อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพระองค์ ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ โปรดให้การเดินทางของข้าพระองค์ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ

43 ดูเถิด ข้าพระองค์กำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ถ้าหญิงสาวคนหนึ่งออกมาตักน้ำ และข้าพระองค์พูดกับนางว่า “กรุณาให้ฉันดื่มน้ำจากถังของเธอสักหน่อยเถิด”

44 และถ้านางตอบว่า “เชิญดื่มเถิด และฉันจะตักน้ำให้อูฐของท่านด้วย” ก็ขอให้นางเป็นผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกสรรไว้ให้ลูกชายของนายข้าพเจ้า’

45 “ก่อนที่ข้าพเจ้าจะจบคำอธิษฐานในใจ เรเบคาห์เดินออกมาพร้อมกับแบกถังน้ำบนบ่า นางเดินไปที่บ่อน้ำและตักน้ำ แล้วข้าพเจ้าก็พูดกับนางว่า ‘ขอน้ำให้ฉันดื่มหน่อยเถิด’

46 “นางก็รีบยกถังลงมาจากบ่าและบอกว่า ‘เชิญดื่มเถิด และฉันจะตักน้ำให้ฝูงอูฐของท่านด้วย’ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงดื่ม และนางก็ตักน้ำให้ฝูงอูฐด้วย

47 “ข้าพเจ้าถามนางว่า ‘เธอเป็นลูกเต้าเหล่าใคร?’

“นางก็ตอบว่า ‘เป็นลูกสาวของเบธูเอล ผู้เป็นบุตรของนาโฮร์กับมิลคาห์’

“ข้าพเจ้าจึงสวมห่วงที่จมูกของนางและสวมกำไลที่แขนของนาง

48 แล้วข้าพเจ้าก็ก้มลงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมนายของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาถูกทางเพื่อจะได้นำหลานสาวของน้องชายนายข้าพเจ้าไปให้แก่ลูกชายของเขา

49 บัดนี้ ถ้าท่านจะกรุณานายของข้าพเจ้า ขอบอกข้าพเจ้า และถ้าท่านจะปฏิเสธ ก็โปรดบอกข้าพเจ้าเถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป”

50 ลาบันกับเบธูเอลจึงตอบว่า “เรื่องนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ขอให้เป็นไปตามนั้น

51 เรเบคาห์อยู่นี่ พานางไปเถิด ให้นางไปเป็นภรรยาลูกชายเจ้านายของท่าน ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำ”

52 เมื่อคนรับใช้ของอับราฮัมได้ยินเช่นนั้นก็ก้มกราบลงถึงพื้นนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า

53 แล้วคนรับใช้หยิบแก้วแหวนเงินทองและเสื้อผ้าอาภรณ์ให้นางเรเบคาห์ และให้ของขวัญล้ำค่าต่างๆ แก่พี่ชายและมารดาของนาง

54 แล้วคนรับใช้นั้นกับคนของเขาก็กินดื่มและพักค้างคืนที่นั่น

เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา คนรับใช้นั้นจึงกล่าวว่า “โปรดส่งข้าพเจ้ากลับไปหานายของข้าพเจ้าเถิด”

55 แต่พี่ชายและมารดาของเรเบคาห์ตอบว่า “ขอให้นางอยู่กับเราอีกสักสิบวันแล้วท่านค่อยไป”

56 แต่คนรับใช้นั้นกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ารั้งข้าพเจ้าไว้เลย ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานความสำเร็จแก่การเดินทางของข้าพเจ้าแล้ว ขอได้ส่งข้าพเจ้ากลับไปหานายของข้าพเจ้าเถิด”

57 แล้วพวกเขาจึงกล่าวว่า “ให้เราเรียกนางมาถามดู”

58 ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกเรเบคาห์มาถามว่า “เจ้าจะไปกับชายผู้นี้หรือไม่?”

นางตอบว่า “ฉันจะไป”

59 พวกเขาจึงส่งเรเบคาห์น้องสาวของเขาไปพร้อมกับพี่เลี้ยงของนางและคนรับใช้ของอับราฮัมกับคนของเขา

60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์และกล่าวกับนางว่า

“น้องเอ๋ย ขอให้ลูกหลานของเจ้าทวีขึ้น

เป็นแสนเป็นล้าน

ขอให้วงศ์วานของเจ้าครอบครอง

ประตูเมืองของศัตรู”

61 จากนั้นเรเบคาห์กับบรรดาสาวใช้ของนางก็เตรียมตัวไว้พร้อมและขึ้นอูฐออกเดินทางกลับไปพร้อมกับคนรับใช้นั้น ดังนั้นคนรับใช้ก็พาเรเบคาห์จากไป

62 ฝ่ายอิสอัคกลับมาจากเบเออร์ลาไฮรอย เพราะเขาอยู่ในเนเกบ

63 เย็นวันหนึ่งเขาออกไปที่ท้องทุ่ง เดินคิดใคร่ครวญอยู่ และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นขบวนอูฐกำลังเคลื่อนเข้ามา

64 เรเบคาห์ก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นอิสอัค นางลงมาจากอูฐ

65 และถามคนรับใช้นั้นว่า “ชายคนที่เดินลัดทุ่งมาหาเรานั้นคือใคร?”

คนรับใช้นั้นตอบว่า “ท่านเป็นนายของข้าพเจ้า” นางจึงหยิบผ้ามาคลุมหน้า

66 แล้วคนรับใช้นั้นก็เล่าทุกสิ่งที่เขาทำให้อิสอัคฟัง

67 อิสอัคก็นำเรเบคาห์เข้าไปในเต็นท์ที่ซาราห์ผู้เป็นมารดาของเขาเคยอาศัย และแต่งงานกับเรเบคาห์ ดังนั้นนางจึงมาเป็นภรรยาของเขา และเขารักนาง และอิสอัคก็คลายความเศร้าโศกที่มารดาของเขาเสียชีวิต

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/24-b2ce7c3981976b2652f9d13421bcc9da.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 25

อับราฮัมสิ้นชีวิต

1 อับราฮัมได้มีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อเคทูราห์

2 นางให้กำเนิดบุตรแก่เขาคือ ศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน อิชบาก และชูอาห์

3 โยกชานมีบุตรชายชื่อเชบาและเดดาน ลูกหลานของเดดานคือพวกอัสชูริม เลทูชิม และเลอุมมิม

4 บุตรของมีเดียนคือ เอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์ ทั้งหมดนี้คือลูกหลานของนางเคทูราห์

5 อับราฮัมยกทุกสิ่งที่เขามีให้อิสอัค

6 แต่ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ได้ให้ของบางอย่างแก่บุตรทั้งหลายที่เกิดจากบรรดาภรรยาน้อย และส่งคนเหล่านั้นออกไปยังดินแดนทางทิศตะวันออก แยกไปจากอิสอัคบุตรของเขา

7 อับราฮัมมีอายุรวมทั้งหมด 175 ปี

8 แล้วอับราฮัมก็สิ้นลมหายใจเมื่อชรามากแล้ว เขาเป็นชายชราอายุยืนยาว และเขาก็ถูกรวมไว้กับบรรพบุรุษของเขา

9 อิสอัคกับอิชมาเอลบุตรของอับราฮัมจึงฝังเขาไว้ในถ้ำมัคเปลาห์ใกล้มัมเร ในทุ่งของเอโฟรนบุตรของโศหาร์ชาวฮิตไทต์

10 คือทุ่งที่อับราฮัมได้ซื้อจากชาวฮิตไทต์อับราฮัมถูกฝังไว้กับซาราห์ภรรยาของเขาที่นั่น

11 หลังจากที่อับราฮัมสิ้นชีวิตแล้ว พระเจ้าทรงอวยพรอิสอัคบุตรชายของเขา ขณะนั้นอิสอัคอาศัยอยู่ที่เบเออร์ลาไฮรอย

เชื้อสายของอิชมาเอล

12 นี่คือเรื่องราวของอิชมาเอล บุตรชายของอับราฮัมที่เกิดจากนางฮาการ์สาวใช้ชาวอียิปต์ของนางซาราห์

13 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรทั้งหลายของอิชมาเอล เรียงตามลำดับอายุได้แก่ เนบาโยทบุตรหัวปีของอิชมาเอล เคดาร์ อัดบีเอล มิบสัม

14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา

15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์

16 คนเหล่านี้คือบุตรของอิชมาเอล เป็นชื่อของหัวหน้าเผ่าทั้งสิบสองเผ่า ตามถิ่นฐานและค่ายของเขา

17 อิชมาเอลมีอายุรวมทั้งหมด 137 ปี แล้วก็สิ้นลมหายใจ และเขาก็ถูกรวมไว้กับบรรพบุรุษของเขา

18 ลูกหลานของเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ทั่วดินแดนจากเมืองฮาวิลาห์ไปถึงเมืองชูร์ ใกล้ชายแดนอียิปต์ บนเส้นทางไปยังเมืองอัสชูร์ และพวกเขาอยู่ประจันหน้ากับพี่น้องทั้งปวงของเขา

ยาโคบและเอซาว

19 นี่คือเรื่องราวของอิสอัคบุตรชายของอับราฮัม

อับราฮัมได้เป็นบิดาของอิสอัค

20 อิสอัคอายุได้สี่สิบปีเมื่อเขาแต่งงานกับเรเบคาห์ บุตรสาวของเบธูเอลชาวอารัมจากถิ่นปัดดานอารัม และเป็นน้องสาวของลาบันชาวอารัม

21 อิสอัคอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อภรรยาเพราะนางเป็นหมัน และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเขา นางเรเบคาห์ผู้เป็นภรรยาก็ได้ตั้งครรภ์

22 ทารกในท้องเบียดดันกันจนนางร้องว่า “ทำไมฉันจึงต้องเจอเรื่องนี้?” ดังนั้นนางจึงไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า

23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับนางว่า

“สองชนชาติอยู่ในครรภ์ของเจ้า

สองชนชาติที่เกิดจากตัวเจ้าจะแยกออกจากกัน

ชนชาติหนึ่งจะแข็งแกร่งกว่าอีกชนชาติหนึ่ง

และพี่จะรับใช้น้อง”

24 เมื่อถึงกำหนดคลอด ปรากฏว่ามีลูกแฝดชายอยู่ในครรภ์ของนาง

25 คนแรกที่เกิดมาตัวแดง มีขนทั่วตัวเหมือนเสื้อขนสัตว์ ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งชื่อให้ว่าเอซาว

26 หลังจากนั้นน้องชายของเขาก็คลอดออกมา มือของเขาจับส้นเท้าของเอซาวไว้ ดังนั้นเขาจึงได้ชื่อว่ายาโคบอิสอัคอายุหกสิบปี เมื่อเรเบคาห์ให้กำเนิดบุตรชายทั้งสอง

27 เด็กชายทั้งสองคนเติบโตขึ้น เอซาวเป็นนายพรานผู้ช่ำชอง เป็นคนที่ชอบใช้ชีวิตในทุ่งกว้าง ส่วนยาโคบเป็นคนชอบอยู่กับบ้าน อยู่ตามเต็นท์ต่างๆ

28 อิสอัคชอบกินเนื้อสัตว์ที่ล่ามาได้ เขาจึงรักเอซาว แต่เรเบคาห์รักยาโคบ

29 ครั้งหนึ่งขณะที่ยาโคบกำลังทำอาหาร เอซาวกลับมาจากทุ่งกว้างและกำลังหิวจัด

30 เขากล่าวกับยาโคบว่า “เร็วเข้า ให้ฉันกินอะไรแดงๆ ที่ต้มอยู่นั่นสักหน่อย! ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว!” (เขาจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม)

31 ยาโคบตอบว่า “ขายสิทธิ์บุตรหัวปีของพี่ให้ฉันก่อน”

32 เอซาวตอบว่า “ดูสิ ฉันกำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิ์บุตรหัวปีจะมีประโยชน์อะไรต่อฉัน?”

33 แต่ยาโคบกล่าวว่า “สาบานกับฉันก่อน” ดังนั้นเอซาวจึงสาบานกับเขา ขายสิทธิ์บุตรหัวปีให้แก่ยาโคบ

34 แล้วยาโคบจึงแบ่งขนมปังและถั่วแดงต้มให้เอซาว เขาก็กินดื่มแล้วก็ลุกจากไป

เห็นได้ว่าเอซาวได้ดูถูกสิทธิ์บุตรหัวปีของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/25-683b6950856ef1b3fd7ac561b9810cc0.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 26

อิสอัคและอาบีเมเลค

1 ต่อมาเกิดการกันดารอาหารในดินแดนนั้นอีกครั้งหนึ่งนอกเหนือจากการกันดารอาหารที่เคยเกิดขึ้นในสมัยอับราฮัม อิสอัคจึงไปหากษัตริย์อาบีเมเลคชาวฟีลิสเตียที่เมืองเกราร์

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อิสอัคและตรัสว่า “อย่าลงไปอียิปต์ จงอยู่ในแผ่นดินนี้อย่างที่เราบอกเจ้า

3 จงอาศัยในแผ่นดินนี้สักระยะหนึ่ง เพื่อเราจะอยู่ช่วยเจ้าและอวยพรเจ้า เพราะเราจะยกดินแดนทั้งหมดนี้ให้แก่เจ้ากับลูกหลานของเจ้า และจะทำให้คำปฏิญาณที่เราได้สาบานไว้กับอับราฮัมบิดาของเจ้าสำเร็จ

4 เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และจะยกดินแดนทั้งหมดนี้ให้แก่พวกเขา และประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางวงศ์วานของเจ้า

5 ทั้งนี้เพราะอับราฮัมได้เชื่อฟังเราและรักษาข้อกำหนด คำบัญชา กฎหมาย และบทบัญญัติของเรา”

6 ฉะนั้นอิสอัคยังคงอยู่ที่เมืองเกราร์

7 เมื่อผู้คนที่นั่นถามเรื่องภรรยาของเขา เขาก็ตอบว่า “นางเป็นน้องสาวของข้าพเจ้า” เพราะเขาไม่กล้าบอกว่า “นางเป็นภรรยาของข้าพเจ้า” เขาคิดว่า “ผู้ชายถิ่นนี้อาจจะฆ่าฉันเพราะเรเบคาห์เป็นเหตุ เนื่องจากนางเป็นคนสวย”

8 เมื่ออิสอัคอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานแล้ว กษัตริย์อาบีเมเลคของชาวฟีลิสเตียมองลงมาจากหน้าต่างและเห็นอิสอัคคลอเคลียอยู่กับเรเบคาห์ภรรยาของเขา

9 อาบีเมเลคจึงบัญชาให้นำตัวอิสอัคมาและกล่าวว่า “แท้จริงนางเป็นภรรยาของท่าน! ทำไมท่านจึงบอกว่า ‘นางเป็นน้องสาว’?”

อิสอัคตอบว่า “เพราะข้าพเจ้าคิดว่าตนเองอาจจะต้องตายเพราะนาง”

10 อาบีเมเลคจึงกล่าวว่า “ทำไมท่านทำกับเราอย่างนี้? ถ้าหากว่ามีชายใดไปนอนกับภรรยาของท่าน ท่านก็จะนำความผิดมาตกอยู่กับพวกเรา”

11 ดังนั้นอาบีเมเลคจึงออกคำสั่งถึงคนทั้งปวงว่า “ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินชายคนนี้หรือภรรยาของเขา จะถูกประหารชีวิตอย่างแน่นอน”

12 อิสอัคปลูกพืชผลในดินแดนนั้น และในปีเดียวกันก็เก็บเกี่ยวได้ร้อยเท่า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเขา

13 เขาก็มั่งมีขึ้น ความมั่งคั่งของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นทุกทีจนเขากลายเป็นคนใหญ่คนโต

14 เขามีฝูงแพะแกะ วัว และคนรับใช้มากมายจนชาวฟีลิสเตียอิจฉา

15 ดังนั้นพวกฟีลิสเตียจึงเอาดินถมบ่อน้ำทั้งหมดที่คนรับใช้ของอับราฮัมบิดาของเขาได้ขุดไว้ตั้งแต่สมัยที่อับราฮัมยังมีชีวิตอยู่

16 แล้วอาบีเมเลคกล่าวกับอิสอัคว่า “ย้ายไปอยู่ที่อื่นเถิด ตอนนี้ท่านมีกำลังมากกว่าพวกเราแล้ว”

17 อิสอัคจึงย้ายไปจากที่นั่นและตั้งถิ่นฐานในหุบเขาเกราร์

18 อิสอัคขุดบ่อน้ำต่างๆ ที่ขุดในสมัยอับราฮัมบิดาของเขาขึ้นมาใหม่ พวกฟีลิสเตียได้ถมบ่อน้ำเหล่านี้หลังจากที่อับราฮัมตายไป แล้วอิสอัคก็ตั้งชื่อให้บ่อน้ำตามชื่อเดิมที่บิดาเคยตั้งไว้

19 คนรับใช้ของอิสอัคขุดพบบ่อน้ำจืดแห่งหนึ่งในหุบเขานั้น

20 แต่คนเลี้ยงสัตว์เมืองเกราร์ทะเลาะกับคนเลี้ยงสัตว์ของอิสอัคและกล่าวว่า “น้ำนี้เป็นของเรา!” อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่าเอเสกเพราะพวกเขาโต้เถียงกัน

21 คนของอิสอัคจึงขุดบ่อน้ำขึ้นอีกบ่อหนึ่ง แต่มีการทะเลาะกันเรื่องบ่อน้ำนั้นด้วย ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อว่าสิตนาห์

22 เขาย้ายไปจากที่นั่นแล้วขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง คราวนี้ไม่มีใครมาทะเลาะเรื่องบ่อน้ำนั้น เขาจึงตั้งชื่อว่าเรโหโบทเขากล่าวว่า “บัดนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ประทานที่ให้เราและเราจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นในดินแดนนี้”

23 จากที่นั่นเขาขึ้นไปยังเบเออร์เชบา

24 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่เขาในคืนนั้นและตรัสว่า “เราคือพระเจ้าของอับราฮัมบิดาของเจ้า อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะอวยพรเจ้า และจะให้ลูกหลานของเจ้าทวีจำนวนขึ้นเพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา”

25 อิสอัคจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นและนมัสการออกพระนามของพระยาห์เวห์ เขาตั้งเต็นท์ที่นั่น และคนรับใช้ของเขาก็ขุดบ่อน้ำบ่อหนึ่งขึ้นที่นั่นด้วย

26 ในระหว่างนั้น กษัตริย์อาบีเมเลคกับอาหุสซัทที่ปรึกษาส่วนพระองค์และแม่ทัพฟีโคล์ เดินทางจากเมืองเกราร์มาพบอิสอัค

27 อิสอัคถามพวกเขาว่า “พวกท่านมาหาข้าพเจ้าทำไมในเมื่อพวกท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นศัตรูและขับไล่ข้าพเจ้าออกมา?”

28 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเห็นชัดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับท่าน ดังนั้นพวกเราจึงพูดว่า ‘ควรจะทำสัตย์สาบานตกลงกันระหว่างเรา’ คือระหว่างพวกเรากับท่าน ให้พวกเราทำสนธิสัญญากับท่าน

29 ว่าท่านจะไม่ทำอันตรายพวกเราเหมือนที่พวกเราไม่ได้ทำร้ายท่าน แต่ได้ปฏิบัติต่อท่านอย่างดีเสมอมาและส่งท่านจากมาอย่างสันติ และบัดนี้ท่านได้รับพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

30 อิสอัคจึงจัดงานเลี้ยงให้พวกเขา คนเหล่านั้นก็ได้กินดื่ม

31 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ต่างฝ่ายก็ให้สัตย์สาบานต่อกัน จากนั้นอิสอัคก็ส่งพวกเขาให้เดินทางต่อไป และพวกเขาก็จากไปอย่างสันติ

32 ในวันนั้นเองคนรับใช้ของอิสอัคมาบอกเรื่องบ่อน้ำที่ขุดว่า “เราพบน้ำแล้ว!”

33 เขาจึงตั้งชื่อบ่อนั้นว่าชิบาห์และเมืองนั้นจึงได้ชื่อว่าเบเออร์เชบามาจนถึงทุกวันนี้

ยาโคบได้พรจากอิสอัค

34 เมื่อเอซาวอายุได้สี่สิบปี เขาแต่งงานกับยูดิธ บุตรสาวของเบเออรีชาวฮิตไทต์ และกับบาเสมัท บุตรสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์

35 พวกเขาทำให้อิสอัคกับเรเบคาห์ขมขื่นใจ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/26-ed1edf1f1334c49ef935f8ed1672a152.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 27

1 เมื่ออิสอัคชราแล้ว ดวงตาของเขาเสื่อมลงจนมองไม่เห็น เขาเรียกหาเอซาวบุตรชายคนโตว่า “ลูกเอ๋ย”

เอซาวตอบว่า “ลูกอยู่ที่นี่”

2 อิสอัคกล่าวว่า “ตอนนี้พ่อก็แก่แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้

3 บัดนี้เจ้าจงเอาอาวุธของเจ้า คือกระบอกใส่ลูกธนูและคันธนูออกไปยังทุ่งกว้าง ล่าสัตว์ป่ามาให้พ่อ

4 แล้วทำอาหารรสดีแบบที่พ่อโปรดปรานและนำมาให้พ่อกิน พ่อจะได้ให้พรของพ่อแก่เจ้าก่อนพ่อตาย”

5 ขณะที่อิสอัคพูดกับเอซาวบุตรของเขาอยู่นั้น นางเรเบคาห์ก็ได้ยิน เมื่อเอซาวออกไปยังทุ่งกว้างเพื่อล่าสัตว์และนำกลับมา

6 เรเบคาห์ก็พูดกับยาโคบบุตรชายของนางว่า “ดูเถิด แม่ได้ยินพ่อของเจ้าพูดกับเอซาวพี่ชายของเจ้าว่า

7 ‘จงเอาเนื้อที่ล่ามาทำอาหารรสดีให้กิน พ่อจะได้ให้พรของพ่อแก่เจ้าต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อนพ่อตาย’

8 ลูกเอ๋ย ฟังให้ดีและจงทำตามที่แม่สั่ง

9 ไปที่ฝูงสัตว์ คัดลูกแพะอย่างดีสองตัวมาให้แม่ แม่จะได้ทำอาหารรสดีให้พ่อของเจ้าอย่างที่พ่อเจ้าโปรดปราน

10 แล้วเจ้าจงนำไปให้พ่อของเจ้ากิน เพื่อเขาจะได้ให้พรของเขาแก่เจ้าก่อนที่เขาจะตาย”

11 ยาโคบพูดกับนางเรเบคาห์มารดาของเขาว่า “แต่เอซาวพี่ชายของลูกนั้นขนดก ส่วนลูกเป็นคนผิวเกลี้ยง

12 ถ้าเกิดพ่อจับต้องตัวลูกเล่า? พ่อก็จะรู้ว่าลูกหลอกลวงท่าน และลูกจะถูกสาปแช่งแทนที่จะได้รับพร”

13 มารดาของเขากล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้คำสาปแช่งนั้นตกอยู่กับแม่เถิด จงทำตามที่แม่บอก ไปเอาลูกแพะมาให้แม่”

14 ยาโคบจึงออกไปนำลูกแพะมาให้มารดาของเขา และนางก็ทำอาหารรสดีอย่างที่บิดาของเขาโปรดปราน

15 แล้วเรเบคาห์หยิบเสื้อผ้าที่ดีที่สุดของเอซาวบุตรชายคนโตของนางซึ่งมีอยู่ในบ้านมาสวมให้ยาโคบบุตรคนเล็กของนาง

16 จากนั้นนางยังได้เอาหนังแพะหุ้มแขนและคอที่เกลี้ยงเกลาของเขา

17 แล้วนางก็ยื่นอาหารรสดีนั้นและขนมปังที่นางทำให้ยาโคบบุตรของนาง

18 เขาเข้าไปหาบิดาของเขาและพูดว่า “พ่อขอรับ”

อิสอัคพูดว่า “มีอะไรหรือลูก เจ้าคือใคร?”

19 ยาโคบกล่าวกับบิดาว่า “ลูกคือเอซาวลูกหัวปีของพ่อ ลูกได้ทำตามที่พ่อสั่งแล้ว โปรดลุกขึ้นมารับประทานเนื้อที่ลูกหามา เพื่อพ่อจะได้ให้พรของพ่อแก่ลูก”

20 อิสอัคถามบุตรชายของเขาว่า “ทำไมหาได้เร็วนักล่ะลูก?”

ยาโคบตอบว่า “ก็เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของพ่อประทานความสำเร็จแก่ลูก”

21 แล้วอิสอัคจึงพูดกับยาโคบว่า “ลูกเอ๋ย เข้ามาใกล้ๆ ให้พ่อคลำตัวลูกดู จะได้รู้ว่าเจ้าเป็นเอซาวลูกของพ่อจริงหรือไม่?”

22 ยาโคบเข้าไปใกล้อิสอัคบิดาของเขา อิสอัคจับต้องตัวเขาแล้วคิดว่า “เสียงเป็นเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว”

23 อิสอัคก็จำเขาไม่ได้ เพราะมือของเขามีขนดกเหมือนมือของเอซาวพี่ชายของเขา ดังนั้นอิสอัคจึงเตรียมอวยพรเขา

24 อิสอัคถามว่า “เจ้าคือเอซาวลูกชายของพ่อจริงๆ หรือ?”

ยาโคบตอบว่า “ใช่ขอรับ”

25 แล้วอิสอัคกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย เอาเนื้อมาให้พ่อกิน เพื่อพ่อจะได้ให้พรของพ่อแก่เจ้า”

ยาโคบยกอาหารมาให้ อิสอัคก็รับประทาน ยาโคบนำเหล้าองุ่นใหม่มาให้ และอิสอัคก็ดื่ม

26 จากนั้นอิสอัคบิดาของเขาก็พูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย มานี่สิ มาจูบคำนับพ่อ”

27 ดังนั้นยาโคบจึงเข้าไปจูบบิดา เมื่ออิสอัคได้กลิ่นเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่ก็อวยพรเขาและกล่าวว่า

“ใช่แล้ว กลิ่นลูกชายของเรา

เหมือนกลิ่นท้องทุ่ง

ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพร

28 ขอพระเจ้าประทานน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์

และประทานฝนบนแผ่นดินแก่เจ้า

คือให้อุดมด้วยข้าวและเหล้าองุ่นใหม่

29 ขอให้ชาติทั้งหลายรับใช้เจ้า

และชนชาติต่างๆ น้อมคำนับเจ้า

จงเป็นนายเหนือพี่น้องของเจ้า

ขอให้บรรดาบุตรชายของมารดาเจ้าน้อมคำนับเจ้า

ขอให้ทุกคนที่แช่งเจ้าถูกสาปแช่ง

และให้ทุกคนที่ให้พรเจ้าได้รับพร”

30 หลังจากที่อิสอัคอวยพรยาโคบจบแล้ว และยาโคบเพิ่งจะลาบิดาของเขาออกไป เอซาวพี่ชายของเขาก็กลับมาจากการล่าสัตว์

31 เขาก็ทำอาหารรสดีและนำมาให้บิดาของเขาด้วย แล้วเอซาวกล่าวกับบิดาว่า “เชิญพ่อลุกขึ้นนั่งรับประทานเนื้อที่ลูกล่ามา เพื่อพ่อจะได้ให้พรของพ่อแก่ลูก”

32 อิสอัคบิดาของเขาถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

เขาตอบว่า “ลูกชายของพ่อ เอซาวลูกหัวปีของพ่อ”

33 อิสอัคก็โกรธจนตัวสั่นและกล่าวว่า “แล้วใครกันเล่าที่ได้ล่าเนื้อและนำมาให้พ่อ? พ่อเพิ่งกินไปก่อนที่เจ้าจะมา และพ่อได้อวยพรเขา และเขาจะได้รับพรแน่!”

34 เมื่อเอซาวได้ยินบิดาพูดเช่นนั้นก็ร้องไห้เสียงดังด้วยความขมขื่นและพูดกับบิดาว่า “อวยพรลูก อวยพรลูกด้วยเถิดพ่อ”

35 แต่อิสอัคกล่าวว่า “น้องชายของเจ้ามาหลอกเอาพรของเจ้าไปแล้ว”

36 เอซาวพูดว่า “ที่เขามีชื่อว่ายาโคบก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ? เขาได้หลอกลูกมาสองครั้งแล้ว เขาได้เอาสิทธิ์บุตรหัวปีของลูกไป และคราวนี้ยังได้เอาพรของลูกไปอีก!” แล้วเขาถามว่า “พ่อไม่มีพรเหลือให้ลูกบ้างเลยหรือ?”

37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “พ่อได้ตั้งให้เขาเป็นนายเหนือเจ้า และให้ญาติพี่น้องของเขาทั้งหมดเป็นคนรับใช้เขา พ่อขอให้พระเจ้าค้ำจุนเขาด้วยข้าวและเหล้าองุ่นใหม่ แล้วพ่อจะทำอะไรเพื่อเจ้าได้อีกเล่า ลูกของพ่อเอ๋ย?”

38 เอซาวกล่าวกับบิดาอีกว่า “พ่อมีเพียงพรเดียวเท่านั้นหรือ? พ่อของลูก โปรดอวยพรลูกด้วยเถิด พ่อของลูก!” แล้วเอซาวก็ร้องไห้เสียงดัง

39 อิสอัคบิดาของเขาตอบว่า

“ที่อาศัยของเจ้าจะห่างไกล

จากฝนบนแผ่นดิน

จากน้ำค้างแห่งฟ้าสวรรค์เบื้องบน

40 เจ้าจะมีชีวิตอยู่ด้วยดาบ

และเจ้าจะรับใช้น้องของเจ้า

แต่เมื่อเจ้าทนไม่ได้

เจ้าจะสลัดแอกของเขา

พ้นจากคอของเจ้า”

ยาโคบหนีไปหาลาบัน

41 เอซาวเก็บความแค้นที่มีต่อยาโคบไว้ เพราะพรที่บิดาได้ให้ยาโคบ เขาบอกกับตนเองว่า “วันไว้ทุกข์ให้พ่อก็ใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนั้นเราจะฆ่ายาโคบน้องชายของเรา”

42 เมื่อมีคนมาบอกเรเบคาห์ว่าเอซาวบุตรชายคนโตของนางพูดว่าอย่างไร นางจึงเรียกยาโคบบุตรชายคนเล็กมา และกล่าวกับเขาว่า “เอซาวพี่ชายของเจ้ากำลังวางแผนจะฆ่าเจ้าเป็นการล้างแค้น

43 ลูกเอ๋ย บัดนี้จงทำตามที่แม่สั่ง จงรีบหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่เมืองฮาราน

44 ไปพักกับเขาสักระยะหนึ่งจนกว่าความโกรธเกรี้ยวของพี่เจ้าจะคลายลง

45 เมื่อพี่ชายของเจ้าหายโกรธและลืมสิ่งที่เจ้าทำไว้กับเขา แม่ก็จะส่งคนไปตามลูกกลับมาจากที่นั่น แม่ไม่อยากเสียลูกทั้งสองคนไปในวันเดียว”

46 แล้วเรเบคาห์พูดกับอิสอัคว่า “ฉันจะทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะผู้หญิงชาวฮิตไทต์เหล่านี้ ถ้ายาโคบหาภรรยาจากหญิงในดินแดนนี้ จากหญิงชาวฮิตไทต์อย่างนี้ ชีวิตของฉันก็ไม่มีค่าที่จะอยู่ต่อไป”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/27-196cc6e811dde8211bd75bcb7db78d6c.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 28

1 ดังนั้นอิสอัคจึงเรียกยาโคบมาและอวยพรเขาแล้วสั่งว่า “อย่าแต่งงานกับหญิงชาวคานาอัน

2 จงรีบไปที่ปัดดานอารัม ไปยังบ้านของเบธูเอลผู้เป็นบิดาของแม่เจ้า แล้วหาภรรยาให้ตัวเจ้าเองจากที่นั่น จากบรรดาลูกสาวของลาบันพี่ชายของแม่เจ้า

3 ขอพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์อวยพรเจ้า และให้เจ้ามีลูกหลานมากมายทวีขึ้นจนเป็นประชาคมของชนชาติทั้งหลาย

4 ขอพระองค์ประทานพรที่ประทานแก่อับราฮัมให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้กรรมสิทธิ์ในดินแดนที่บัดนี้เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าว ดินแดนที่พระเจ้าได้ประทานแก่อับราฮัม”

5 แล้วอิสอัคก็ส่งยาโคบให้ออกเดินทางไป และเขาก็ไปยังปัดดานอารัม ไปหาลาบันบุตรชายของเบธูเอลชาวอารัม ลาบันเป็นพี่ชายของเรเบคาห์ผู้เป็นมารดาของยาโคบและเอซาว

6 ฝ่ายเอซาวรู้ว่าอิสอัคได้อวยพรยาโคบและส่งเขาไปที่ปัดดานอารัม ให้ไปหาภรรยาจากที่นั่น และเมื่ออวยพรยาโคบแล้ว ก็ได้สั่งเขาว่า “อย่าแต่งงานกับหญิงชาวคานาอัน”

7 ทั้งได้ยินว่ายาโคบก็เชื่อฟังพ่อแม่และออกเดินทางไปปัดดานอารัม

8 เอซาวก็ตระหนักว่าอิสอัคผู้เป็นบิดาของเขาไม่ชอบหญิงชาวคานาอันมากเพียงใด

9 เอซาวจึงไปหาอิชมาเอลแล้วแต่งงานกับนางมาหะลัทน้องสาวของเนบาโยท บุตรสาวของอิชมาเอล บุตรชายของอับราฮัม นอกเหนือจากภรรยาที่มีอยู่แล้ว

ความฝันของยาโคบที่เบธเอล

10 ยาโคบออกจากเบเออร์เชบาเดินทางไปยังฮาราน

11 เขาหยุดพักแรมในที่แห่งหนึ่งเพราะดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว ยาโคบเอาหินก้อนหนึ่งจากที่นั่นมาหนุนศีรษะและนอนที่นั่น

12 เขาฝันเห็นบันไดทอดจากโลกขึ้นไปถึงสวรรค์และมีเหล่าทูตของพระเจ้ากำลังขึ้นลงบันไดนั้น

13 เหนือบันไดนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับยืนอยู่ และพระองค์ตรัสว่า “เราคือพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของอิสอัคบิดาของเจ้า เราจะยกแผ่นดินที่เจ้านอนอยู่นี้ให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า

14 และลูกหลานของเจ้าจะมากมายเหมือนธุลีดินของโลกนี้ และดินแดนของเจ้าจะขยายออกไปทั่วทุกสารทิศ ชนชาติทั้งมวลทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้าและวงศ์วานของเจ้า

15 เราอยู่กับเจ้า และจะดูแลปกป้องเจ้าไม่ว่าเจ้าไปที่ไหน และเราจะนำเจ้ากลับมายังดินแดนนี้ เราจะไม่ทิ้งเจ้าจนกว่าเราจะได้ทำสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับเจ้าแล้ว”

16 เมื่อยาโคบตื่นขึ้น เขาคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่เราไม่รู้เลย”

17 เขาก็กลัวและกล่าวว่า “ที่นี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์! เป็นพระนิเวศของพระเจ้า เป็นประตูสวรรค์”

18 เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ยาโคบเอาหินที่หนุนศีรษะตั้งขึ้นเป็นเสาและเทน้ำมันลงบนยอดของหินนั้น

19 เขาจึงเรียกที่นั่นว่าเบธเอลถึงแม้ว่าเมืองนั้นเคยมีชื่ออยู่แล้วว่าลูส

20 แล้วยาโคบก็ปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าสถิตกับข้าพระองค์และดูแลปกป้องข้าพระองค์ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ทั้งประทานอาหารให้ข้าพระองค์รับประทาน และประทานเสื้อผ้าให้ข้าพระองค์สวมใส่

21 เพื่อข้าพระองค์จะกลับมาบ้านบิดาของข้าพระองค์อย่างปลอดภัย แล้วพระยาห์เวห์จะเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์

22 และหินที่ข้าพระองค์ตั้งขึ้นเป็นเสานี้จะเป็นพระนิเวศของพระเจ้า และทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายหนึ่งในสิบแก่พระองค์”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/28-f43ad0cb8ab0168665a5a70532bf29ba.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 29

ยาโคบมาถึงปัดดานอารัม

1 แล้วยาโคบเดินทางต่อไปจนถึงดินแดนของชนชาวตะวันออก

2 ที่นั่น เขามองเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในท้องทุ่ง มีแกะสามฝูงนอนอยู่ใกล้ๆ บ่อ เพราะฝูงแกะกินน้ำจากบ่อนี้ ก้อนหินที่ปิดปากบ่อนั้นใหญ่มาก

3 เมื่อฝูงแกะทั้งหมดมาพร้อมกันแล้ว บรรดาคนเลี้ยงแกะจะช่วยกันเลื่อนก้อนหินออกจากปากบ่อและตักน้ำให้ฝูงแกะ แล้วพวกเขาก็จะเอาหินปิดปากบ่อดังเดิม

4 ยาโคบถามคนเลี้ยงแกะเหล่านั้นว่า “พี่น้อง พวกท่านมาจากไหน?”

พวกเขาตอบว่า “มาจากฮาราน”

5 ยาโคบจึงถามว่า “ท่านรู้จักลาบันหลานชายของนาโฮร์หรือไม่?”

พวกเขาตอบว่า “รู้จัก”

6 แล้วยาโคบถามพวกเขาอีกว่า “ลาบันสบายดีหรือ?”

คนเลี้ยงแกะตอบว่า “เขาสบายดี โน่นไงราเชล ลูกสาวของเขากำลังเดินมาพร้อมกับฝูงแกะ”

7 ยาโคบกล่าวว่า “ดูสิ แดดยังจ้าอยู่เลย ยังไม่ถึงเวลาที่จะรวมฝูงแกะ จงให้น้ำฝูงแกะดื่ม แล้วนำกลับไปกินหญ้า”

8 พวกเขาตอบว่า “ทำไม่ได้ ต้องรอจนกว่าฝูงแกะทั้งหมดมาถึงที่นี่ เราจึงจะเลื่อนหินจากปากบ่อ แล้วจึงให้น้ำแก่ฝูงแกะ”

9 ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ราเชลก็มาถึงพร้อมกับฝูงแกะของบิดา เพราะว่านางเป็นคนเลี้ยงแกะ

10 เมื่อยาโคบเห็นราเชลลูกสาวของลาบันพี่ชายของแม่และเห็นฝูงแกะของลาบัน เขาจึงไปที่บ่อน้ำ เลื่อนหินออกจากปากบ่อ และให้น้ำแก่ฝูงแกะของลุง

11 แล้วยาโคบก็จูบทักทายราเชลและเริ่มร้องไห้เสียงดัง

12 เขาบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติของบิดาของนาง เป็นลูกชายของเรเบคาห์ ดังนั้นนางจึงวิ่งไปบอกบิดาของนาง

13 ทันทีที่ลาบันได้ยินเรื่องยาโคบบุตรชายของน้องสาวก็รีบออกมาพบ ลาบันสวมกอดและจูบทักทายยาโคบ พาเขาไปบ้าน และยาโคบก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

14 ลาบันกล่าวกับยาโคบว่า “เจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเอง”

ยาโคบแต่งงานกับเลอาห์และราเชล

หลังจากยาโคบพักอยู่กับลาบันได้หนึ่งเดือนเต็ม

15 ลาบันพูดกับเขาว่า “ควรหรือที่เจ้าจะทำงานให้เราโดยไม่มีค่าตอบแทนเพียงเพราะเจ้าเป็นญาติของเรา? บอกมาเถิดว่าเราควรจะให้ค่าจ้างเจ้าสักเท่าไร”

16 ลาบันมีบุตรสาวสองคน คนพี่ชื่อเลอาห์ คนน้องชื่อราเชล

17 เลอาห์มีนัยน์ตาหมอง ส่วนราเชลมีรูปร่างงาม เป็นคนสวย

18 ยาโคบหลงรักราเชลจึงกล่าวว่า “ฉันจะทำงานให้ท่านเจ็ดปีเพื่อแลกกับราเชลลูกสาวคนเล็กเป็นค่าตอบแทน”

19 ลาบันจึงว่า “ที่จะยกนางให้เจ้าก็ดีกว่ายกให้ชายอื่น จงอยู่กับเราที่นี่เถิด”

20 ดังนั้นยาโคบจึงทำงานเจ็ดปีเพื่อจะได้ราเชล แต่ด้วยความรักที่มีต่อนาง เขาจึงรู้สึกเหมือนผ่านไปไม่กี่วัน

21 แล้วยาโคบพูดกับลาบันว่า “ฉันทำงานครบตามสัญญาแล้ว โปรดมอบภรรยาของฉันให้ฉันเถิด ฉันต้องการจะร่วมหลับนอนกับนาง”

22 ดังนั้นลาบันจึงเชิญคนในละแวกนั้นทั้งหมดมาร่วมกินดื่มในงานเลี้ยง

23 แต่เมื่อค่ำลงแล้ว ลาบันก็พาเลอาห์บุตรสาวมาให้ยาโคบ เขาก็หลับนอนกับนาง

24 ลาบันได้ยกสาวใช้ชื่อศิลปาห์ให้เป็นสาวใช้ของเลอาห์

25 เมื่อสว่างก็เห็นว่าเป็นเลอาห์! ยาโคบจึงกล่าวกับลาบันว่า “ทำไมท่านทำกับฉันอย่างนี้? ฉันรับใช้ท่านเพื่อราเชลไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านจึงหลอกฉัน?”

26 ลาบันจึงตอบว่า “มันผิดธรรมเนียมของเราที่จะให้น้องสาวออกเรือนไปก่อนพี่สาว

27 ขอให้งานเลี้ยงแต่งงานของเลอาห์สัปดาห์นี้จบลงก่อน แล้วเราจะยกลูกสาวคนเล็กให้ด้วย แลกกับการทำงานอีกเจ็ดปี”

28 และยาโคบก็ยินยอม เขารอจนครบหนึ่งสัปดาห์ ลาบันก็ยกราเชลบุตรสาวของเขาให้เป็นภรรยายาโคบด้วย

29 ลาบันได้ยกสาวใช้ชื่อบิลฮาห์ให้เป็นสาวใช้ของราเชล

30 ยาโคบได้ร่วมหลับนอนกับราเชลด้วย เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ และเขาทำงานให้ลาบันต่อไปอีกเจ็ดปี

บรรดาบุตรของยาโคบ

31 เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นว่ายาโคบไม่ได้รักเลอาห์ พระองค์จึงทรงให้นางมีบุตร แต่ราเชลเป็นหมัน

32 เลอาห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางตั้งชื่อให้เขาว่ารูเบนเนื่องจากนางกล่าวว่า “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นความทุกข์ยากของฉัน บัดนี้สามีจะรักฉันแน่”

33 แล้วนางก็ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินว่าฉันไม่เป็นที่รัก พระองค์จึงประทานลูกชายคนนี้ให้ฉันด้วย” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าสิเมโอน

34 นางได้ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “ในที่สุดสามีจะมาผูกพันอยู่กับฉัน เพราะฉันได้คลอดลูกชายสามคนให้แก่เขา” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าเลวี

35 นางได้ตั้งครรภ์อีก และเมื่อนางคลอดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “คราวนี้ฉันจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่ายูดาห์แล้วนางก็หยุดให้กำเนิดบุตร

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/29-e74f5d6d6c18bbfca7d541930ef9081a.mp3?version_id=179—

Categories
ปฐมกาล

ปฐมกาล 30

1 เมื่อราเชลเห็นว่าตนไม่มีบุตรให้ยาโคบก็อิจฉาพี่สาว ดังนั้นนางจึงกล่าวกับยาโคบว่า “จงให้ลูกแก่ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันตายดีกว่า!”

2 ยาโคบจึงโกรธนางและพูดว่า “ฉันอยู่ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงไม่ให้เธอมีลูกหรือ?”

3 นางจึงพูดว่า “นางบิลฮาห์สาวใช้ของฉันอยู่ที่นี่ จงหลับนอนกับนางเพื่อฉันจะได้รับลูกนางมาเป็นลูกฉัน และฉันเองก็จะสามารถสร้างครอบครัวขึ้นได้โดยอาศัยนาง”

4 ดังนั้นนางจึงยกบิลฮาห์สาวใช้ของนางให้เป็นภรรยาของยาโคบ เขาก็หลับนอนกับบิลฮาห์

5 นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา

6 แล้วราเชลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงตัดสินให้ฉันชนะ พระองค์ทรงสดับฟังคำวิงวอนของฉันและประทานลูกชายแก่ฉัน” เพราะเหตุนี้นางจึงตั้งชื่อเขาว่าดาน

7 แล้วบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลก็ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งและคลอดบุตรชายคนที่สองให้แก่ยาโคบ

8 แล้วราเชลกล่าวว่า “ฉันได้ต่อสู้กับพี่สาวอย่างหนักมาตลอดและฉันก็ชนะแล้ว” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่านัฟทาลี

9 เมื่อเลอาห์เห็นว่าตนไม่มีลูกอีก จึงยกศิลปาห์สาวใช้ของตนให้เป็นภรรยาของยาโคบ

10 ศิลปาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ

11 แล้วเลอาห์กล่าวว่า “โชคดีอะไรอย่างนี้!”ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่ากาด

12 แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ

13 แล้วเลอาห์กล่าวว่า “ฉันสุขใจจริงๆ! พวกผู้หญิงจะเรียกฉันว่าเป็นสุข” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าอาเชอร์

14 วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนออกไปที่ทุ่งนาและพบต้นดูดาอิมจึงนำมาให้เลอาห์ผู้เป็นมารดา ราเชลพูดกับเลอาห์ว่า “ขอดูดาอิมของลูกชายพี่ให้ฉันบ้างเถิด”

15 แต่เลอาห์ตอบนางว่า “เจ้าเอาสามีของฉันไปยังไม่พออีกหรือ? แล้วยังจะมาเอาดูดาอิมของลูกฉันอีกหรือ?”

ราเชลกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ยาโคบไปนอนกับพี่คืนนี้ได้ แลกกับดูดาอิมของลูกชายพี่”

16 เย็นวันนั้นเมื่อยาโคบกลับมาจากทุ่งนา เลอาห์ก็ออกไปพบและพูดว่า “ท่านต้องมานอนกับฉัน เพราะฉันเอาดูดาอิมของลูกเป็นสินจ้างแล้ว” คืนวันนั้นยาโคบก็นอนกับนาง

17 พระเจ้าทรงฟังเลอาห์ นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้า

18 แล้วเลอาห์กล่าวว่า “พระเจ้าประทานรางวัลให้ฉันเพราะฉันได้ยกสาวใช้ให้สามี” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าอิสสาคาร์

19 เลอาห์ได้ตั้งครรภ์อีกและคลอดบุตรชายคนที่หกให้แก่ยาโคบ

20 แล้วเลอาห์กล่าวว่า “พระเจ้าประทานของขวัญล้ำค่าแก่ฉัน คราวนี้สามีจะยกย่องฉัน เพราะฉันคลอดลูกชายให้แก่เขาถึงหกคน” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าเศบูลุน

21 ต่อมาภายหลัง นางได้คลอดบุตรสาวคนหนึ่งและตั้งชื่อว่าดีนาห์

22 แล้วพระเจ้าทรงระลึกถึงราเชล พระองค์ทรงฟังนางและให้นางมีบุตร

23 นางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “พระเจ้าทรงลบล้างความอับอายของฉันแล้ว”

24 นางตั้งชื่อเขาว่าโยเซฟและกล่าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเพิ่มลูกชายให้ฉันอีกคนหนึ่ง”

ฝูงสัตว์ของยาโคบเพิ่มจำนวนขึ้น

25 หลังจากราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า “อนุญาตให้ฉันไปตามทางของฉันเถิด เพื่อฉันจะได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอน

26 จงมอบภรรยาและลูกๆ ทั้งหมดให้ฉันด้วย เพราะฉันได้รับใช้ท่านแลกกับพวกเขาแล้ว และฉันก็จะได้ไปตามทางของฉัน ท่านก็รู้ว่าฉันทำงานให้ท่านมากเพียงใด”

27 แต่ลาบันกล่าวกับเขาว่า “หากท่านจะกรุณาเรา โปรดอยู่ต่อเถิด เรารู้จากคำทำนายว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเราเพราะท่าน”

28 เขายังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านจะเรียกค่าจ้างเท่าไรก็บอกมาเถิด เราจะจ่ายให้”

29 ยาโคบกล่าวกับเขาว่า “ท่านก็รู้ว่าฉันได้รับใช้ท่านอย่างไร และฝูงแพะแกะในความดูแลของฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเพียงไร

30 ที่ท่านมีอยู่เล็กน้อยก่อนที่ฉันจะมา เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล และไม่ว่าฉันจะทำอะไรองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงอวยพรท่าน แต่เมื่อไรฉันจึงจะได้ทำอะไรเพื่อครัวเรือนของตนเองบ้าง?”

31 ลาบันถามว่า “เราควรให้อะไรท่านดี?”

ยาโคบตอบว่า “ไม่ต้องให้อะไรฉันหรอก ฉันจะเลี้ยงและดูแลฝูงสัตว์ให้ท่านต่อไป ถ้าท่านจะตกลงกับฉันสักอย่างหนึ่ง

32 คือในวันนี้ให้ฉันออกไปสำรวจฝูงสัตว์ของท่านดู แล้วแยกแกะที่มีลายด่าง ลูกแกะสีคล้ำ และแพะที่มีลายด่างทุกตัวออกจากฝูง สัตว์เหล่านี้ถือเป็นค่าจ้างของฉัน

33 และนี่จะเป็นพยานถึงความซื่อสัตย์ของฉันในอนาคต คือทุกครั้งที่ท่านตรวจดูค่าจ้างที่จ่ายให้ฉัน หากพบว่าแพะตัวใดในกรรมสิทธิ์ของฉันไม่มีลายด่าง หรือลูกแกะตัวใดไม่มีสีคล้ำก็ให้ถือว่าฉันขโมยมา”

34 ลาบันตอบว่า “ตกลง ให้เป็นตามที่เจ้าว่าไว้”

35 ในวันนั้นเองลาบันก็ออกไปคัดแพะทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกตัวที่มีลายด่างออกมา (ทุกตัวที่มีสีขาวอยู่ด้วย) ตลอดจนลูกแกะสีคล้ำทุกตัวออกจากฝูง แล้วนำไปให้บรรดาบุตรชายของเขาเลี้ยง

36 แล้วเขาให้ฝูงแพะแกะของเขากับของยาโคบอยู่ห่างกันเป็นระยะเวลาเดินทางสามวัน ในขณะที่ยาโคบยังเลี้ยงฝูงสัตว์ที่เหลือให้ลาบันต่อไป

37 อย่างไรก็ตามยาโคบเอากิ่งไม้สดๆ จากต้นปอปลาร์ ต้นอัลมอนด์ และต้นเปลนมาลอกเปลือกออกเป็นริ้วให้เห็นเนื้อไม้สีขาวข้างใน

38 แล้วเขาวางกิ่งไม้ที่ลอกเปลือกไว้ที่รางน้ำทุกรางเพื่อให้อยู่ตรงหน้าฝูงแพะแกะเวลาที่มันมากินน้ำ ทุกครั้งที่ฝูงแพะแกะเป็นสัดและมากินน้ำ

39 มันก็ผสมพันธุ์กันหน้ากิ่งไม้นั้น ลูกที่เกิดมาจึงมีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุด

40 ยาโคบก็แยกลูกสัตว์เหล่านั้นไว้ต่างหาก แล้วให้ฝูงสัตว์ที่เหลือหันไปทางสัตว์ที่มีลายด่างหรือสัตว์ที่มีสีคล้ำของลาบัน โดยวิธีนี้เองเขาจึงสร้างฝูงแพะแกะของตนเองขึ้นและไม่ได้รวมไว้กับฝูงสัตว์ของลาบัน

41 เมื่อใดก็ตามที่บรรดาตัวเมียที่แข็งแรงเป็นสัด ยาโคบก็เอากิ่งไม้ที่ลอกเปลือกไปวางไว้ในรางน้ำตรงหน้าสัตว์นั้น ให้มันผสมพันธุ์กันใกล้กิ่งไม้นั้น

42 แต่ถ้าสัตว์ตัวใดอ่อนแอ เขาก็ไม่เอากิ่งไม้ไปวางไว้ที่นั่น ดังนั้นสัตว์ที่อ่อนแอก็เป็นของลาบัน ส่วนตัวที่แข็งแรงเป็นของยาโคบ

43 ด้วยวิธีนี้เอง เขาจึงร่ำรวยขึ้นอย่างมากและกลายเป็นเจ้าของสัตว์ฝูงใหญ่ มีคนรับใช้ชายหญิงจำนวนมาก และมีอูฐมีลาอีกมากมาย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/GEN/30-beb3e8da97ecd748a2cef15a9d96d6fb.mp3?version_id=179—