Categories
อิสยาห์

อิสยาห์ 62

นามใหม่ของศิโยน

1 เพื่อเห็นแก่ศิโยน ข้าพเจ้าจะไม่ยอมเงียบ

เพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจะไม่นิ่งเฉย

ตราบจนความชอบธรรมของนครนี้จะฉายแสงดั่งรุ่งอรุณ

และความรอดเจิดจ้าดั่งคบไฟโชติช่วง

2 บรรดาประชาชาติจะเห็นความชอบธรรมของเจ้า

บรรดากษัตริย์จะเห็นศักดิ์ศรีของเจ้า

เจ้าจะได้ชื่อใหม่

ซึ่งพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าประทาน

3 เจ้าจะเป็นมงกุฎแห่งความโอ่อ่าตระการในพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เป็นราชมงกุฎในพระหัตถ์พระเจ้าของเจ้า

4 พวกเขาจะไม่เรียกเจ้าว่า ‘ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง’

หรือ ‘ที่ทิ้งร้าง’ อีกต่อไป

แต่เจ้าจะได้ชื่อว่า ‘เราปีติยินดีในตัวเธอ’

และแผ่นดินของเจ้าจะมีชื่อว่า ‘สมรสแล้ว’

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปีติยินดีในตัวเจ้า

และดินแดนของเจ้าจะได้แต่งงาน

5 บรรดาบุตรชายของเจ้าจะแต่งงานกับเจ้า

เหมือนชายหนุ่มแต่งงานกับหญิงสาว

พระเจ้าจะทรงปลื้มปีติในตัวเจ้า

เหมือนเจ้าบ่าวชื่นชมในตัวเจ้าสาว

6 เยรูซาเล็มเอ๋ย เราได้ตั้งยามบนกำแพงของเจ้า

พวกเขาจะไม่นิ่งเงียบอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน

เจ้าผู้คอยร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า

จงอย่าหยุดพักเลย

7 และอย่าให้พระเจ้าทรงหยุดพักจนกระทั่งพระองค์ได้สถาปนาเยรูซาเล็ม

และทำให้เป็นที่ยกย่องในโลก

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกพระหัตถ์ขวาและพระกรอันทรงฤทธิ์ปฏิญาณว่า

“เราจะไม่ยกเมล็ดข้าวของเจ้าให้เป็นอาหารของศัตรูอีกต่อไป

และคนต่างชาติจะไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นใหม่

ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงของเจ้าอีกต่อไป

9 แต่ผู้ที่เก็บเกี่ยวจะได้กิน

และสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

และผู้ที่เก็บองุ่นจะดื่มเหล้าองุ่น

ในลานของสถานนมัสการของเรา”

10 ออกไปเถิด ออกไปทางประตูเถิด!

จงเตรียมหนทางสำหรับประชากรของเรา

จงสร้างเถิด จงสร้างทางเถิด!

โยนหินระเกะระกะออกไป

จงชูธงขึ้นสำหรับประชาชาติต่างๆ

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศ

ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกว่า

“จงบอกธิดาแห่งศิโยนว่า

‘ดูเถิด องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเจ้าเสด็จมาแล้ว!

ดูเถิด ทรงนำบำเหน็จรางวัล

และการตอบสนองมาด้วย’ ”

12 พวกเขาจะได้ชื่อว่า “ประชากรผู้บริสุทธิ์”

และ “ผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ไว้”

และเจ้าจะได้ชื่อว่า “เป็นที่ใฝ่หา”

และ “นครที่ไม่ถูกทอดทิ้งอีกต่อไป”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/62-95016e2580bb1f7370d9e144bc26b91c.mp3?version_id=179—

Categories
อิสยาห์

อิสยาห์ 63

วันแห่งการแก้แค้นและการไถ่ของพระเจ้า

1 นี่ใครหนอที่มาจากเอโดม จากโบสราห์

สวมเครื่องแต่งกายที่เปรอะเปื้อนด้วยสีแดงเข้ม?

นี่ใครหนอผู้ที่ทรงอาภรณ์โอ่อ่าตระการ

รุดหน้าไปด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่?

“คือเราผู้กล่าวด้วยความชอบธรรม

และมีอานุภาพที่จะช่วยให้รอด”

2 เหตุใดฉลองพระองค์จึงมีสีแดงเข้ม

เหมือนกับเสื้อผ้าของคนที่ย่ำองุ่น?

3 “เราย่ำบ่อองุ่นแต่ลำพัง

ไม่มีใครจากชาติใดๆ อยู่กับเรา

เรากระทืบพวกเขาด้วยความโกรธ

และเหยียบย่ำพวกเขาด้วยความพิโรธ

เลือดของพวกเขาเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าของเรา

และเราได้ทำให้เสื้อผ้าของเราเปื้อนไปหมด

4 เพราะเราได้กำหนดวันแก้แค้นไว้ในใจ

และปีแห่งการไถ่ของเราก็มาถึงแล้ว

5 เรามองดูแต่ไม่มีใครมาช่วย

เราตกใจที่ไม่มีผู้ใดสนับสนุน

มือของเราเองจึงนำความรอดมาเพื่อเรา

และความพิโรธของเราเองที่ชูเราไว้

6 เราบดขยี้นานาประชาชาติด้วยความโกรธของเรา

ด้วยความพิโรธของเรา เราทำให้เขามึนเมา

และหลั่งเลือดชโลมดิน”

คำสรรเสริญและคำอธิษฐาน

7 ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระกรุณาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เล่าถึงพระราชกิจอันควรแก่การสรรเสริญ

ถึงสิ่งทั้งปวงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเพื่อเรา

สิ่งดีนานัปการที่ทรงทำเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล

ตามพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณอันเหลือล้นของพระองค์

8 พระองค์ตรัสว่า “แน่นอน พวกเขาเป็นประชากรของเรา

เป็นลูกที่จะไม่ทำผิดต่อเรา”

แล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา

9 พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของพวกเขา

และทูตสวรรค์ที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ก็ช่วยพวกเขาให้รอด

พระองค์ทรงไถ่พวกเขาด้วยความรักและความเมตตา

พระองค์ทรงยกพวกเขาขึ้นและอุ้มพวกเขาไว้

ตลอดวันคืนในสมัยก่อน

10 ถึงกระนั้นพวกเขาก็กบฏ

และทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์เสียพระทัย

ดังนั้นพระองค์จึงทรงกลับกลายเป็นศัตรูของพวกเขา

และพระองค์เองก็ทรงต่อสู้พวกเขา

11 แล้วเหล่าประชากรของพระองค์ก็หวนระลึกถึงวันคืนแต่เก่าก่อน

สมัยโมเสสและเหล่าประชากรของพระองค์

พระองค์ผู้ทรงนำพวกเขาข้ามทะเล

ด้วยคนเลี้ยงแกะของพระองค์นั้นอยู่ที่ไหน?

พระองค์ผู้ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

มาท่ามกลางเขาอยู่ที่ไหน?

12 ผู้ประทานพระกรแห่งฤทธานุภาพอันทรงเกียรติสิริ

มาอยู่ที่มือขวาของโมเสส

ผู้แยกน้ำทะเลต่อหน้าคนเหล่านั้น

ทำให้ทรงเป็นที่เลื่องลือตลอดกาล

13 ผู้นำพวกเขาข้ามห้วงลึก

พวกเขาไม่สะดุดล้ม

เหมือนม้าวิ่งฉิวในทุ่งโล่ง

14 พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้พวกเขาได้พักสงบ

เหมือนฝูงสัตว์ซึ่งลงไปยังที่ราบ

พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ไปเช่นนี้

และทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ยกย่อง

15 ขอโปรดทอดพระเนตรจากสวรรค์

และทรงมองดูจากที่ประทับอันสูงส่งบริสุทธิ์และทรงเกียรติสิริ

ความกระตือรือร้นและฤทธานุภาพของพระองค์อยู่ที่ไหน?

ความกรุณาปรานีและความเมตตาสงสารของพระองค์ถูกยับยั้งไปจากข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว

16 แต่พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ถึงแม้อับราฮัมไม่รู้จักพวกข้าพระองค์

หรืออิสราเอลไม่ยอมรับข้าพระองค์ทั้งหลาย

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ทรงพระนามว่า ‘พระผู้ไถ่ตั้งแต่กาลก่อนของข้าพระองค์ทั้งหลาย’

17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าเหตุใดทรงทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลงเตลิดจากวิถีทางของพระองค์

และทำให้จิตใจของข้าพระองค์แข็งกระด้างจนไม่ยำเกรงพระองค์?

ขอทรงโปรดกลับมาเพื่อเห็นแก่ผู้รับใช้ของพระองค์

ชนเผ่าซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์

18 ประชากรของพระองค์ครอบครองสถานนมัสการของพระองค์อยู่ชั่วระยะหนึ่ง

แต่บัดนี้บรรดาศัตรูของข้าพระองค์ทั้งหลายได้เหยียบย่ำสถานนมัสการของพระองค์แล้ว

19 ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นของพระองค์มาตั้งแต่กาลก่อน

แต่กลับกลายเป็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย

และข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่ได้รับการเรียกขานตามพระนามของพระองค์

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/63-be527f1e6e75efda7907a1046d4e702f.mp3?version_id=179—

Categories
อิสยาห์

อิสยาห์ 64

1 โอ อยากให้พระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมา

ให้ภูเขาทั้งหลายสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!

2 เหมือนเมื่อไฟเผากิ่งไม้วอด

และทำให้น้ำเดือดพล่าน

ขอโปรดเสด็จมาเพื่อทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าศัตรู

ทำให้นานาประชาชาติสั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์!

3 เพราะเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งที่น่าครั่นคร้ามซึ่งข้าพระองค์ทั้งหลายไม่คาดคิด

คือพระองค์เสด็จลงมา ภูเขาทั้งหลายก็สั่นสะท้านต่อหน้าพระองค์

4 ตั้งแต่ครั้งโบราณไม่เคยมีใครได้ยิน

ไม่เคยมีใครได้ฟัง

ไม่เคยมีใครได้เห็นพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์

ผู้ทรงกระทำการเพื่อคนทั้งปวงที่รอคอยพระองค์

5 พระองค์เสด็จมาช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ยินดีทำสิ่งที่ถูกต้อง

ผู้ระลึกถึงวิถีทางของพระองค์

แต่เมื่อข้าพระองค์ทั้งหลายยังคงทำบาปขัดขืนพระมรรคา

พระองค์ก็ทรงพระพิโรธ

แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอดได้อย่างไร?

6 ข้าพระองค์ทั้งปวงกลายเป็นผู้มีมลทิน

ความประพฤติอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งปวงเหมือนผ้าขี้ริ้วโสโครก

ข้าพระองค์ทั้งหลายเหี่ยวเฉาประหนึ่งใบไม้ร่วง

และบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนลมพัดเอาพวกข้าพระองค์ปลิวหายไป

7 ไม่มีสักคนร้องทูลพระนามของพระองค์

หรือขวนขวายยึดมั่นพระองค์ไว้

เพราะพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์จากข้าพระองค์ทั้งหลาย

และทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเสื่อมเสียไปเพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลาย

8 ถึงกระนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว พระองค์ทรงเป็นช่างปั้น

ข้าพระองค์ทั้งหลายล้วนเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์

9 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขออย่าทรงพระพิโรธมากเกินไป

ขออย่าทรงจดจำบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายไปตลอดกาล

โอ ข้าพระองค์ทั้งหลายอธิษฐาน ขอโปรดทอดพระเนตรเหล่าข้าพระองค์

เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นประชากรของพระองค์

10 นครบริสุทธิ์ของพระองค์กลายเป็นทะเลทราย

แม้แต่ศิโยนก็เป็นทะเลทราย เยรูซาเล็มเป็นที่ถูกทิ้งร้าง

11 พระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์และมีสง่าราศีของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษของข้าพระองค์ใช้เป็นที่สรรเสริญพระองค์นั้นถูกเผาวอดวาย

และทุกสิ่งที่พวกเราถือว่าล้ำค่าก็อยู่ในสภาพปรักหักพัง

12 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์จะยังคงยับยั้งพระองค์ไว้หรือ?

พระองค์จะยังคงนิ่งเงียบและลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างเหลือประมาณอยู่หรือ?

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/64-2b8500b491dada31d20ea2a5fc7f0fc9.mp3?version_id=179—

Categories
อิสยาห์

อิสยาห์ 65

การพิพากษาและความรอด

1 “เราสำแดงตนเองแก่บรรดาผู้ที่ไม่ได้เรียกหาเรา

บรรดาผู้ที่ไม่ได้แสวงหาเราก็พบเรา

ชนชาติที่ไม่ได้ร้องเรียกนามของเรา

เราก็กล่าวกับเขาว่า ‘เราอยู่ที่นี่ เราอยู่ที่นี่’

2 ตลอดวันเราได้ยื่นมือออก

ให้แก่ชนชาติที่ดื้อด้าน

ซึ่งดำเนินตามวิถีทางอันไม่ดีไม่งาม

ทำตามความคิดจินตนาการของตัวเอง

3 คือชนชาติที่ยั่วยุเราซึ่งๆ หน้าอยู่เสมอ

ซึ่งถวายเครื่องบูชาตามสวนต่างๆ

และเผาเครื่องหอมบนแท่นบูชาที่ทำด้วยอิฐ

4 เขานั่งตามหลุมฝังศพ

และเฝ้าอยู่ลับๆ ตลอดคืน

เขากินเนื้อหมู

และมีอาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่เป็นมลทินอยู่ในหม้อของเขา

5 เขาผู้กล่าวว่า ‘หลีกไป อย่าเข้ามาใกล้ข้า

เพราะข้าบริสุทธิ์กว่าเจ้า!’

คนเช่นนี้เป็นควันระคายจมูกของเรา

เป็นไฟซึ่งลุกโพลงตลอดวัน

6 “ดูเถิด มีเขียนไว้ตรงหน้าเราเสมอว่า

เราจะไม่นิ่งเฉย แต่จะตอบแทนอย่างสาสม

เราจะคืนสนองพวกเขาอย่างเต็มขนาด

7 ทั้งบาปของเจ้าและบาปของบรรพบุรุษของเจ้า”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

“เพราะพวกเขาเผาเครื่องบูชาบนภูเขาทั้งหลาย

และลบหลู่เราบนเนินเขาทั้งหลาย

เราจะคืนสนองเขาอย่างเต็มที่

เนื่องด้วยความประพฤติดั้งเดิมของเขา”

8 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เหมือนยังมีน้ำองุ่นเหลืออยู่ในพวงองุ่น

และผู้คนพูดกันว่า ‘อย่าเพิ่งทำลายทิ้ง

มันยังมีดีอยู่บ้าง’

เราก็จะทำอย่างนั้นเพื่อผู้รับใช้ของเรา

เราจะไม่ทำลายพวกเขาเสียหมด

9 เราจะนำลูกหลานจากยาโคบและจากยูดาห์ออกมา

ผู้ซึ่งจะครอบครองภูเขาต่างๆ ของเรา

ประชากรที่เราเลือกสรรจะได้รับมันเป็นมรดก

และผู้รับใช้ของเราจะอาศัยอยู่ที่นั่น

10 ชาโรนจะเป็นทุ่งหญ้าสำหรับฝูงแกะ

และหุบเขาอาโคร์จะเป็นที่พักสำหรับฝูงสัตว์

เพื่อประชากรของเราที่แสวงหาเรา

11 “แต่สำหรับพวกเจ้าที่ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้า

และลืมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา

ผู้กางโต๊ะให้เจ้าแห่งโชคลาภ

และเติมเหล้าองุ่นผสมสังเวยให้เจ้าแห่งโชคชะตา

12 เราจะกำหนดคมดาบให้เป็นชะตากรรมของเจ้า

และเจ้าทั้งหมดจะหมอบลงรับการสังหาร

เพราะเราร้องเรียกแต่เจ้าก็ไม่ตอบ

เราพูดแต่เจ้าไม่ฟัง

เจ้าทำชั่วในสายตาของเรา

และเลือกทำสิ่งที่เราไม่พอใจ”

13 ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า

“ผู้รับใช้ของเราจะกิน

ส่วนเจ้าจะหิวโหย

ผู้รับใช้ของเราจะดื่ม

ส่วนเจ้าจะกระหาย

ผู้รับใช้ของเราจะชื่นชมยินดี

ส่วนเจ้าจะต้องอับอายขายหน้า

14 ผู้รับใช้ของเราจะร้องเพลง

ด้วยจิตใจที่ชื่นชมยินดี

ส่วนเจ้าจะร้องออกมา

ด้วยความทุกข์ทรมานใจ

และร่ำไห้ด้วยดวงใจชอกช้ำร้าวราน

15 เจ้าจะเหลือไว้แต่ชื่อ

เป็นคำสาปแช่งในบรรดาผู้เลือกสรรของเรา

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะทรงสังหารเจ้า

ส่วนผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์จะทรงประทานนามอื่นให้

16 ผู้ใดจะกล่าวอวยพรในดินแดนนั้น

ก็จะกล่าวโดยอ้างถึงพระเจ้าแห่งความจริง

ผู้ใดจะกล่าวปฏิญาณในดินแดนนั้น

ก็จะสาบานโดยอ้างถึงพระเจ้าแห่งความจริง

เพราะความทุกข์ลำเค็ญในอดีตจะถูกลืม

และถูกซ่อนไว้จากสายตาของเรา

ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่

17 “ดูเถิด เราจะสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่

จะไม่มีใครจดจำหรือนึกถึงสิ่งเก่าอีกต่อไป

18 แต่จงชื่นชมและปีติยินดีตลอดไป

ในสิ่งที่เราจะสร้างขึ้น

เพราะเราจะสร้างเยรูซาเล็มให้เป็นความปีติยินดี

และให้ชาวเยรูซาเล็มเป็นความชื่นชมยินดี

19 เราจะปีติยินดีในเยรูซาเล็ม

และชื่นชมในตัวประชากรของเรา

ที่นั่นจะไม่มีเสียงคร่ำครวญร่ำไห้

ให้ได้ยินอีกต่อไป

20 “ที่นั่นจะไม่มีทารกที่มีชีวิตอยู่เพียงสองสามวัน

หรือคนแก่ที่อยู่ไม่ครบอายุขัย

ใครที่ตายเมื่ออายุร้อยปี

จะถือว่าตายตั้งแต่ยังหนุ่ม

ส่วนคนที่ตายตั้งแต่อายุไม่ถึงร้อยปี

จะถือว่าเป็นคนที่ถูกสาปแช่ง

21 คนทั้งหลายจะสร้างบ้านและได้อยู่อาศัย

เขาจะปลูกสวนองุ่นและได้กินผลของมัน

22 ไม่มีอีกแล้วที่เขาจะสร้างบ้านแล้วมีคนอื่นมาอยู่แทน

หรือปลูกพืชพันธุ์แล้วคนอื่นมาเก็บไปกิน

เพราะประชากรของเรา

จะมีอายุยืนเหมือนต้นไม้

ผู้ที่เราเลือกสรรไว้จะได้ชื่นชมผลงาน

จากน้ำมือของตนตราบนานเท่านาน

23 พวกเขาจะไม่ตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์

หรือคลอดลูกมารับเคราะห์กรรม

เพราะเขาจะเป็นประชาชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพร

ทั้งเขาและลูกหลานของเขา

24 ก่อนที่เขาร้องเรียก เราจะตอบ

ขณะที่เขาพูดอยู่ เราจะฟัง

25 สุนัขป่าและลูกแกะจะหากินอยู่ด้วยกัน

สิงโตจะกินฟางเหมือนวัว

ส่วนฝุ่นธุลีจะเป็นอาหารของงู

สัตว์ทั้งหลายจะไม่ทำอันตราย

หรือเข่นฆ่าทำลายกันบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/65-2f2c2a151393c6dd8ce306717222ac9c.mp3?version_id=179—

Categories
อิสยาห์

อิสยาห์ 66

การพิพากษาและความหวัง

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา

และโลกเป็นที่วางเท้าของเรา

ก็แล้วนิเวศที่เจ้าจะสร้างให้เราอยู่ที่ไหนเล่า?

ที่พำนักสำหรับเราอยู่ที่ไหนเล่า?

2 มือของเราเองไม่ใช่หรือที่ได้สร้างสิ่งทั้งปวงเหล่านี้

และมันก็มีชีวิตขึ้นมา?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“นี่ต่างหากที่เรายกย่อง

คือผู้ที่ถ่อมใจและมีจิตใจสำนึกผิด

และตัวสั่นเพราะถ้อยคำของเรา

3 แต่ผู้ใดก็ตามที่ถวายวัวเป็นเครื่องบูชา

ก็เหมือนผู้ที่ฆ่าคน

และผู้ที่ถวายลูกแกะ

ก็เหมือนผู้ที่หักคอสุนัข

ผู้ใดถวายเครื่องธัญบูชา

ก็เหมือนผู้ที่ถวายเลือดหมู

ผู้ใดเผาเครื่องหอม

ก็เหมือนผู้ที่นมัสการรูปเคารพ

พวกเขาเลือกหนทางของตัวเอง

จิตวิญญาณของเขาชื่นชมในสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของตน

4 ดังนั้นเราเลือกที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรง

และนำสิ่งที่เขาหวาดกลัวมายังเขาด้วย

เพราะเมื่อเราร้องเรียก ไม่มีใครตอบ

เมื่อเราพูด ไม่มีใครรับฟัง

พวกเขาทำชั่วต่อหน้าต่อตาเรา

และเลือกทำสิ่งที่เราไม่พอใจ”

5 จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ท่านผู้ตัวสั่นเพราะถ้อยคำของพระองค์

“พี่น้องของเจ้าซึ่งเกลียดชังเจ้า

และขับไล่ไสส่งเจ้าเนื่องด้วยนามของเราได้กล่าวว่า

‘ขอให้พระเกียรติสิริมีแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

ขอให้เราเห็นความชื่นชมยินดีของเจ้า!’

กระนั้นพวกเขาจะต้องอับอายขายหน้า

6 จงฟังเสียงดังสนั่นจากนครนั้นเถิด

จงฟังเสียงจากพระวิหารนั้น!

เป็นเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ทรงตอบสนองบรรดาศัตรูของพระองค์อย่างสาสม

7 “ยังไม่ทันเจ็บท้อง

เธอก็คลอด

ยังไม่ทันเจ็บปวด

เธอก็ให้กำเนิดลูกชาย

8 ใครบ้างเคยได้ยินเรื่องแบบนี้?

ใครบ้างเคยเห็นเรื่องเช่นนี้?

ประเทศหนึ่งจะถือกำเนิดขึ้นภายในวันเดียว

หรือชนชาติหนึ่งจะเกิดขึ้นภายในชั่วครู่เดียวได้หรือ?

ถึงกระนั้นศิโยนเจ็บท้องไม่ทันไร

ก็คลอดลูกๆ ออกมาแล้ว

9 เรานำมาถึงกำหนดคลอดแล้ว

จะไม่ปล่อยให้คลอดออกมาได้หรือ?”องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

“เราปิดครรภ์ไว้เมื่อนำมาถึงเวลาคลอดหรือ?”

พระเจ้าของท่านตรัสดังนั้น

10 “จงชื่นชมยินดีกับเยรูซาเล็มและเปรมปรีดิ์กับเธอเถิด

ท่านทั้งปวงที่รักเธอ

จงปลื้มปีติอย่างเต็มเปี่ยมร่วมกับเธอเถิด

ท่านผู้ไว้ทุกข์ให้เธอ

11 เพราะท่านจะเลี้ยงดูและอิ่มใจ

ในอ้อมอกอันปลอบโยนของเธอ

ท่านจะดื่มด่ำและปีติยินดี

ในความอุดมสมบูรณ์อันล้นเหลือของเธอ”

12 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เราจะเพิ่มพูนสันติสุขแก่เธอเหมือนแม่น้ำ

และเพิ่มความมั่งคั่งของบรรดาประชาชาติให้เหมือนธารน้ำเชี่ยว

เจ้าจะถูกเลี้ยงดูและโอบอุ้มในอ้อมแขนของเธอ

และถูกกล่อมอยู่บนตักของเธอ

13 เราจะปลอบโยนเจ้า

ดั่งแม่ปลอบลูก

เจ้าจะได้รับการปลอบโยนในเยรูซาเล็ม”

14 เมื่อเจ้าเห็นเช่นนี้ จิตใจของเจ้าจะยินดี

และเจ้าจะเจริญงอกงามเหมือนต้นหญ้า

พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะประจักษ์แก่ผู้รับใช้ของพระองค์

แต่พระพิโรธจะสำแดงแก่ศัตรูของพระองค์

15 ดูเถิดองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมด้วยไฟ

ราชรถของพระองค์ประดุจพายุหมุน

พระองค์จะทรงระบายพระพิโรธลงมาอย่างรุนแรง

และการกำราบอันร้อนแรงด้วยเปลวไฟ

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษมวลมนุษย์

ด้วยไฟและด้วยดาบของพระองค์

คนเป็นอันมากจะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าประหาร

17 “คนทั้งหลายที่อุทิศตนและชำระตนให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะเข้าไปในสวนติดตามผู้หนึ่งที่อยู่ท่ามกลางผู้ที่กินเนื้อหมู เนื้อหนู และสิ่งน่าสะอิดสะเอียนต่างๆ คนเหล่านั้นจะพบจุดจบไปด้วยกัน”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

18 “เนื่องด้วยการกระทำและความคิดจินตนาการต่างๆ ของพวกเขา เรากำลังจะมาและรวบรวมชนทุกชาติทุกภาษา พวกเขาจะมาและเห็นเกียรติสิริของเรา

19 “เราจะกำหนดหมายสำคัญในหมู่พวกเขาและเราจะส่งบางคนในหมู่ผู้รอดชีวิตไปยังชนชาติต่างๆ ไปยังทารชิช ไปหาชาวลิเบียและชาวลิเดีย (ผู้เป็นนักธนูเลื่องชื่อ) ไปยังทูบัลและกรีซ และไปยังเกาะแก่งอันไกลโพ้นซึ่งไม่เคยได้ยินชื่อเสียงหรือเห็นเกียรติสิริของเรา พวกเขาจะประกาศเกียรติสิริของเราท่ามกลางบรรดาประชาชาติ

20 และพวกเขาจะนำพี่น้องทั้งหมดของเจ้าจากทุกชนชาติมายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเราในเยรูซาเล็ม เพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าบางคนนั่งมาบนหลังม้า บางคนนั่งในรถม้าศึกและเกวียน และบางคนนั่งมาบนหลังล่อหลังอูฐ”องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น “พวกเขาจะพาพี่น้องทั้งปวงของเจ้ามาเหมือนชาวอิสราเอลนำเครื่องธัญบูชาใส่ภาชนะที่สะอาดตามระเบียบพิธีมายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 และเราจะเลือกบางคนที่กลับมาให้เป็นปุโรหิตและคนเลวี”องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ที่เราสร้างขึ้นจะยั่งยืนอยู่ต่อหน้าเราฉันใด นามของเจ้าและลูกหลานของเจ้าจะยั่งยืนอยู่ฉันนั้น

23 จากวันขึ้นหนึ่งค่ำถึงอีกวันขึ้นหนึ่งค่ำ และจากวันสะบาโตหนึ่งถึงอีกวันสะบาโตหนึ่ง มวลมนุษยชาติจะมากราบนมัสการต่อหน้าเรา”องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

24 “และพวกเขาจะออกไปดูซากศพของบรรดาผู้ที่กบฏต่อเรา เพราะหนอนของคนเหล่านั้นจะไม่มีวันตาย ทั้งไฟของเขาจะไม่มีวันดับ และเขาจะเป็นที่น่าขยะแขยงแก่มวลมนุษยชาติ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/ISA/66-01dc0e605fdd4786d734e4360cce356a.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 1

1 นี่คือถ้อยคำของเยเรมีย์บุตรฮิลคียาห์ เยเรมีย์เป็นปุโรหิตคนหนึ่งอยู่ที่อานาโธทในเขตเบนยามิน

2 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในปีที่สิบสามของรัชกาลโยสิยาห์ซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์อาโมนแห่งยูดาห์

3 และตลอดรัชกาลเยโฮยาคิมซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์จนถึงเดือนที่ห้าของปีที่สิบเอ็ดแห่งรัชกาลเศเดคียาห์ซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ เมื่อชาวกรุงเยรูซาเล็มถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย

พระเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์

4 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

5 “เรารู้จักเจ้าตั้งแต่ก่อนที่เราจะปั้นเจ้าในครรภ์มารดา

ก่อนเจ้าจะคลอดออกมา เราได้แยกเจ้าไว้แล้ว

เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้เผยพระวจนะแก่ประชาชาติทั้งหลาย”

6 ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เพราะข้าพระองค์ยังเด็กเกินไป”

7 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อย่าพูดว่า ‘ข้าพระองค์ยังเด็กเกินไป’ เจ้าต้องไปพบทุกคนที่เราใช้เจ้าไป ไม่ว่าเราสั่งอย่างไร เจ้าต้องพูดไปตามนั้น

8 อย่ากลัวพวกเขาเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าและจะช่วยกู้เจ้า”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

9 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาแตะปากของข้าพเจ้าและตรัสว่า “บัดนี้เราเอาถ้อยคำของเราใส่ไว้ในปากของเจ้า

10 ดูเถิด วันนี้เราแต่งตั้งเจ้าไว้เหนือบรรดาประชาชาติและอาณาจักรต่างๆ ให้รื้อออกและทลายลง ให้ทำลายและโค่นล้ม ให้สร้างและปลูก”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เยเรมีย์ เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นกิ่งอัลมอนด์พระเจ้าข้า”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ถูกต้องแล้ว นั่นหมายความว่าเรากำลังเฝ้าดูให้เป็นไปตามคำที่เราได้ลั่นวาจาไว้”

13 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าอีกครั้งว่า “เจ้าเห็นอะไรบ้าง?”

ข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นหม้อน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เอียงเทลงมาจากทางทิศเหนือ”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ภัยพิบัติจากทางเหนือจะถูกเทลงมาบนคนทั้งปวงที่อาศัยในดินแดนนี้

15 เรากำลังจะเรียกกองทัพของบรรดาอาณาจักรทางเหนือมา”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“บรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะมาตั้งบัลลังก์ของตน

ที่ทางเข้าประตูเมืองทั้งหลายของเยรูซาเล็ม

พวกเขาจะยกทัพมาล้อมรอบกำแพงเมืองต่างๆ

และล้อมหัวเมืองทั้งหมดของยูดาห์

16 เราจะประกาศคำพิพากษาประชากรของเรา

เพราะความชั่วร้ายของเขา โทษฐานที่ได้ละทิ้งเราไป

ที่ได้ถวายเครื่องเผาบูชาแก่พระต่างๆ

และที่ได้นมัสการสิ่งที่มือของเขาได้สร้างขึ้น

17 “เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม! ยืนขึ้นพูดกับพวกเขาตามที่เราสั่ง อย่ากลัวพวกเขา มิฉะนั้นเราจะทำให้เจ้ากลัวเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา

18 วันนี้เราได้ทำให้เจ้าแข็งแกร่งเหมือนเมืองป้อมปราการ เหมือนเสาเหล็กและกำแพงทองสัมฤทธิ์ ที่จะยืนต้านทานต่อทั้งดินแดน คือต่อบรรดากษัตริย์ยูดาห์ ข้าราชการ ปุโรหิต และประชากรทั้งปวง

19 พวกเขาจะต่อสู้เจ้า แต่จะไม่ชนะ เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะช่วยกู้เจ้า”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/1-b2ae0ed38a4993fbe2a700a4789936a7.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 2

อิสราเอลละทิ้งพระเจ้า

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

2 “จงไปประกาศให้ชาวเยรูซาเล็มได้ยินดังนี้

“ ‘เรายังจำความจงรักภักดีในวัยแรกรุ่นของเจ้าได้

เจ้ารักเราเหมือนเจ้าเป็นเจ้าสาวของเรา

และติดตามเราผ่านถิ่นกันดาร

ผ่านดินแดนซึ่งหว่านพืชไม่ได้

3 อิสราเอลเคยบริสุทธิ์สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า

เคยเป็นผลแรกที่ทรงเก็บเกี่ยว

ผู้ใดกัดกินอิสราเอลผู้นั้นก็มีความผิด

และต้องพบกับหายนะ’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

4 พงศ์พันธุ์ยาโคบเอ๋ย ทุกตระกูลของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย

จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

5 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“บรรพบุรุษของเจ้าเห็นเรามีข้อเสียตรงไหนหรือ

จึงได้หลงเตลิดไปไกลจากเราเช่นนี้?

พวกเขาได้ไปติดตามรูปเคารพอันไร้ค่า

และทำให้ตัวเองไร้ค่าไป

6 พวกเขาไม่ได้ถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?

ผู้ทรงนำเราออกมาจากอียิปต์

นำเราผ่านถิ่นกันดารแห้งแล้ง

ผ่านดินแดนแห่งทะเลทรายและโตรกเขา

เป็นดินแดนที่แห้งแล้งและมืดมน

ดินแดนซึ่งไม่มีใครอยู่อาศัยหรือผ่านไปมา’

7 เรานำพวกเจ้ามายังแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์

ให้กินผลิตผลชั้นดีมากมาย

แต่เจ้ากลับทำให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน

และทำให้มรดกที่เรายกให้กลายเป็นสิ่งที่น่าชิงชัง

8 ปุโรหิตทั้งหลายไม่ถามว่า

‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน?’

ผู้ที่รักษากฎหมายไม่รู้จักเรา

บรรดาผู้นำกบฏต่อเรา

เหล่าผู้เผยพระวจนะได้พยากรณ์ในนามของพระบาอัล

ติดตามรูปเคารพอันไร้ค่า

9 “ฉะนั้นเราจึงกล่าวโทษเจ้าอีกครั้ง”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“และเราจะกล่าวโทษลูกหลานของเจ้า

10 จงข้ามทะเลไปยังชายฝั่งของคิททิมและมองดู

ส่งคนไปยังเคดาร์แล้วสังเกตให้ดี

ไปดูสิว่าเคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นบ้างไหม?

11 เคยมีชาติหนึ่งชาติใดเปลี่ยนเทพเจ้าที่พวกเขานับถือหรือไม่?

(ทั้งๆ ที่เทพเจ้าเหล่านั้นก็ไม่ใช่พระเจ้า)

แต่ประชากรของเราเอาองค์ผู้ทรงเกียรติสิริของพวกเขา

ไปแลกกับรูปเคารพอันไร้ค่า

12 ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงตกตะลึงด้วยเรื่องนี้

จงขยะแขยงสะอิดสะเอียน”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

13 “ประชากรของเราทำบาปถึงสองสถานคือ

พวกเขาได้ละทิ้งเรา

ผู้เป็นธารน้ำซึ่งให้ชีวิต

และได้สร้างบ่อน้ำรั่วให้ตนเอง

ซึ่งเก็บน้ำไว้ไม่อยู่

14 อิสราเอลเป็นขี้ข้า เป็นทาสตั้งแต่เกิดหรือ?

ก็แล้วทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นของให้ปล้นชิง?

15 เหล่าสิงโตคำราม

ร้องขู่เขา

ทำให้ดินแดนของเขาเริศร้าง

หัวเมืองทั้งหมดของเขาถูกเผาและทิ้งร้าง

16 ทั้งชาวเมืองเมมฟิสและทาห์ปานเหส

ก็ได้โกนผมบนกระหม่อมของเจ้า

17 เจ้าทำตัวของเจ้าเองไม่ใช่หรือ?

สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเจ้า

ขณะที่พระองค์ทรงนำเจ้ามาตามทางไม่ใช่หรือ?

18 บัดนี้ทำไมเจ้าจึงไปยังอียิปต์

เพื่อไปดื่มน้ำจากชิโหร์?

และทำไมเจ้าไปยังอัสซีเรีย

เพื่อไปดื่มน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติส?

19 ความชั่วร้ายของเจ้าเองจะลงโทษเจ้า

ที่เจ้าถอยหลังเข้าคลองนั้นจะเป็นการกล่าวโทษเจ้าเอง

จงพิเคราะห์ดูแล้วเจ้าจะตระหนักว่า

มันเลวร้ายและขมขื่นเพียงใดสำหรับเจ้า

เมื่อเจ้าละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

และไม่มีความยำเกรงเราเลย”

องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์

ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศดังนั้น

20 “นานมาแล้วเจ้าได้สลัดแอกของเจ้าทิ้ง

และหักทำลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ของเจ้า

เจ้าพูดว่า ‘ข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระองค์!’

แท้จริง เจ้าเอนกายลงดั่งหญิงโสเภณี

บนภูเขาสูงทุกลูก

และใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

21 เราปลูกเจ้าไว้เหมือนเถาองุ่นพันธุ์ดี

เป็นพันธุ์แท้ที่น่าเชื่อถือ

แล้วเจ้ากลายมาเป็นปฏิปักษ์ต่อเรา

เป็นเถาองุ่นป่าเสื่อมทรามไปได้อย่างไร?

22 แม้เจ้าชำระกายด้วยน้ำด่าง

และฟอกสบู่เป็นการใหญ่

แต่คราบความผิดของเจ้าก็ยังคงอยู่ต่อหน้าเรา”

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

23 “เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่า ‘ข้าไม่มีมลทิน

ข้าไม่ได้วิ่งตามพระบาอัล’?

ก็ดูสิว่าเจ้าได้ประพฤติตัวอย่างไร

จงพิจารณาดูสิ่งที่เจ้าทำในหุบเขานั้น

เจ้าเป็นอูฐตัวเมียที่อยู่ไม่สุข

วิ่งพล่านไปนั่นไปนี่

24 เป็นลาป่าที่คุ้นเคยกับถิ่นทะเลทราย

ทำจมูกฟุดฟิดสูดลมหายใจในฤดูผสมพันธุ์

ใครจะยับยั้งความกระสันของมันได้?

ตัวผู้ตัวไหนต้องการเจ้า ก็ไม่ต้องลำบากลำบนเลย

ถึงเวลาผสมพันธุ์พวกมันก็จะพบเจ้า

25 อย่าวิ่งจนเท้าเปล่า

และจนคอแห้งเลย

แต่เจ้าพูดว่า ‘ไม่มีประโยชน์!

ข้ารักพระต่างชาติทั้งหลาย

และจะต้องติดตามไป’

26 “พงศ์พันธุ์อิสราเอลอับอายขายหน้า

เหมือนขโมยอับอายขายหน้าเมื่อถูกจับได้

ทั้งพวกเขาเอง บรรดากษัตริย์ ข้าราชการ

ปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะของพวกเขา

27 พวกเขากล่าวกับท่อนไม้ว่า ‘ท่านเป็นบิดาของข้า’

และกล่าวกับก้อนหินว่า ‘ท่านให้กำเนิดข้า’

พวกเขาหันหลังให้เรา

และไม่ได้หันหน้ามาหาเรา

แต่เมื่อถึงเวลาเดือดร้อน เขากลับกล่าวว่า

‘โปรดเสด็จมาช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย!’

28 ไหนล่ะบรรดาเทพเจ้าที่เจ้าสร้างขึ้นให้ตัวเอง?

ถ้าเขาช่วยเจ้าได้ ให้เขาช่วยเจ้า

ในเวลาทุกข์ร้อนสิ!

เพราะเจ้ามีเทพเจ้ามากมาย

พอๆ กับจำนวนหัวเมืองที่เจ้ามี ยูดาห์เอ๋ย

29 “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวโทษเรา?

พวกเจ้าทุกคนล้วนกบฏต่อเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

30 “ป่วยการที่เราจะลงโทษพลเมืองของเจ้า

เขาไม่ดีขึ้นเลย

คมดาบของเจ้าได้ขย้ำผู้เผยพระวจนะของเจ้า

เหมือนสิงโตขย้ำเหยื่อของมัน

31 “คนรุ่นนี้เอ๋ย จงใคร่ครวญพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

“เราเป็นถิ่นกันดารหรือ?

เป็นดินแดนมืดมนสำหรับอิสราเอลหรือ?

แล้วทำไมประชากรของเราจึงพูดว่า ‘เมื่อเราไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ

เราจะไม่มาหาพระองค์อีกต่อไป’?

32 หญิงสาวจะลืมเพชรนิลจินดาของเธอหรือ?

เจ้าสาวจะลืมเครื่องประดับในวันสมรสหรือ?

ถึงกระนั้นประชากรของเราได้ลืมเรามานาน

นานจนนับวันไม่ไหว

33 เจ้าช่ำชองในการล่าความรักยิ่งนัก!

แม้กระทั่งหญิงชั่วที่สุดก็ยังมาเรียนจากวิถีของเจ้า

34 เสื้อผ้าของเจ้าเปรอะเปื้อน

ด้วยเลือดของผู้ยากไร้ซึ่งไม่มีความผิด

เจ้าฆาตกรรมโดยไร้เหตุ

แต่ถึงเพียงนี้แล้ว

35 เจ้ายังพูดว่า ‘ข้าไม่มีความผิด

พระองค์ไม่ได้กริ้วข้า’

แต่เราจะพิพากษาโทษเจ้า

เนื่องจากเจ้าพูดว่า ‘ข้าไม่ได้ทำบาป’

36 ทำไมเจ้าจึงโผไปทางโน้นโผมาทางนี้

เดี๋ยวคว้าทางโน้นเดี๋ยวฉวยทางนี้

เจ้าจะผิดหวังเพราะอียิปต์

เหมือนที่เจ้าเคยผิดหวังเพราะอัสซีเรียมาแล้ว

37 เจ้าจะเอามือกุมศีรษะ

ออกมาจากที่นั่นเช่นกัน

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าปฏิเสธบรรดาผู้ที่เจ้าไว้เนื้อเชื่อใจ

พวกเขาจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/2-36d7149ee7639c7532d948ac93216c73.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 3

1 “หากชายใดหย่าขาดจากภรรยา

และนางไปแต่งงานกับชายอีกคน

เขาควรจะกลับไปหานางอีกหรือ?

จะไม่ทำให้แผ่นดินแปดเปื้อนมลทินไปหมดหรอกหรือ?

แต่เจ้าก็ใช้ชีวิตเยี่ยงโสเภณีที่มีชู้รักหลายคน

บัดนี้เจ้าจะกลับมาหาเราหรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

2 “จงแหงนหน้ามองบนที่สูงอันเริศร้างทั้งหลาย

ดูเถิด มีที่ไหนบ้างที่เจ้าไม่ได้ไปทำตัวแปดเปื้อนด้วยการล่วงประเวณี?

เจ้านั่งคอยบรรดาชู้รักอยู่ริมทาง

นั่งคอยเหมือนชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย

เจ้าทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน

เนื่องด้วยความสำส่อนและความชั่วร้ายของเจ้า

3 ฉะนั้นฝนจึงถูกระงับเสีย

และฝนฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ตกลงมา

ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังหน้าด้านเหมือนหญิงโสเภณี

เจ้าไม่มียางอายเอาเสียเลย

4 เจ้าเพิ่งร้องทูลเราไม่ใช่หรือว่า

‘พระบิดาของข้าพระองค์ ผู้ทรงเป็นมิตรสหายมาตั้งแต่ข้าพระองค์ยังแรกรุ่น

5 พระองค์จะกริ้วอยู่เนืองนิตย์หรือ?

พระพิโรธของพระองค์จะคงอยู่ตลอดไปหรือ?’

เจ้าพูดเช่นนี้แหละ

แต่เจ้าก็ยังคงทำชั่วทุกอย่างอยู่ร่ำไป”

อิสราเอลผู้ไม่ซื่อสัตย์

6 ในรัชสมัยของกษัตริย์โยสิยาห์องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นสิ่งที่อิสราเอลผู้นอกใจทำหรือไม่? อิสราเอลคบชู้ด้วยการเที่ยวไปนมัสการพระต่างๆ บนภูเขาสูงทุกลูกและใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

7 เราคิดว่าหลังจากที่อิสราเอลได้ทำทุกสิ่งเหล่านี้แล้ว นางจะกลับมาหาเรา แต่ก็เปล่า และยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็เห็น

8 เราจึงทำหนังสือหย่าขาดจากอิสราเอลผู้นอกใจและไล่นางไปเพราะการคบชู้ทั้งหมดของนาง แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้เห็นว่ายูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางไม่ขยาดกลัวเลย ยูดาห์เองก็ออกไปคบชู้ด้วย

9 เพราะนางเห็นว่าความเสื่อมศีลธรรมของอิสราเอลเป็นเรื่องเล็กน้อย นางจึงทำให้แผ่นดินเป็นมลทิน และคบชู้โดยไปนมัสการรูปเคารพซึ่งทำจากไม้และหิน

10 ถึงขนาดนี้แล้ว ยูดาห์น้องสาวผู้ไร้สัตย์ของนางก็ยังไม่หวนกลับมาหาเราอย่างสุดใจ มีแต่เสแสร้งแกล้งทำ”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลผู้ไม่ซื่อก็ยังชอบธรรมกว่ายูดาห์ผู้ไร้สัตย์

12 บัดนี้จงไปประกาศแก่พวกทางเหนือว่า

“องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘อิสราเอลผู้ไม่ซื่อเอ๋ย กลับมาเถิด

เราจะไม่หน้าบึ้งใส่เจ้าอีกต่อไป

เพราะเราเปี่ยมด้วยเมตตา’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

‘เราจะไม่โกรธขึ้งตลอดไป

13 เพียงแต่เจ้ายอมรับผิด

ว่าเจ้าได้กบฏต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า

เจ้าได้ปันใจให้พระต่างชาติทั้งหลาย

ใต้ต้นไม้ใบดกทุกต้น

และไม่ได้เชื่อฟังเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

14 “หันกลับมาเถิด ประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “เพราะเราเป็นสามีของเจ้า เราจะเลือกสรรเจ้าคนหนึ่งจากเมืองหนึ่งและสองคนจากตระกูลหนึ่ง และจะนำเจ้ากลับมายังศิโยน

15 แล้วเราจะให้บรรดาผู้เลี้ยงซึ่งถูกใจเราแก่เจ้า ผู้ที่จะนำเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ

16 เมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเจ้ามีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองในแผ่นดินนั้น”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ผู้คนจะไม่พูดถึง ‘หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีก จะไม่คิดถึง ไม่จดจำ ไม่ถวิลหา และไม่สร้างหีบพันธสัญญาขึ้นมาใหม่

17 แต่ในเวลานั้น พวกเขาจะเรียกเยรูซาเล็มว่า ‘พระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ประชาชาติทั้งปวงจะมาชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระยาห์เวห์ พวกเขาจะไม่ดื้อดึงทำตามใจชั่วของตนอีกต่อไป

18 เมื่อถึงเวลานั้นพงศ์พันธุ์ยูดาห์จะสมทบกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาจะรวมกันมาจากดินแดนทางเหนือ มายังดินแดนซึ่งเราได้ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลาย

19 “เราเองลั่นวาจาไว้ว่า

“ ‘เรายินดีเหลือเกินที่จะปฏิบัติต่อเจ้าเยี่ยงลูก

และมอบดินแดนอันน่าปรารถนาแก่เจ้า

เป็นสมบัติอันงดงามที่สุดของชาติต่างๆ’

เราคิดว่าเจ้าจะเรียกเราว่า ‘พ่อ’

และจะติดตามเราโดยไม่หันหนีไปไหนอีกเลย

20 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าก็ไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา

เหมือนภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 มีเสียงหนึ่งร่ำไห้ดังจากยอดเขาอันเปล่าเปลี่ยว

เป็นเสียงร่ำไห้อ้อนวอนของชนอิสราเอล

เพราะพวกเขาได้บิดเบือนวิถีทางของตน

และได้ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเขา

22 “กลับมาเถิด ประชากรผู้ไม่ซื่อสัตย์

เราจะรักษาเจ้าจากการหลงผิด”

“แน่แล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจะมาหาพระองค์

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

23 แท้จริงการกราบไหว้รูปเคารพบนเนินเขาและภูเขาต่างๆ

ล้วนเป็นเรื่องหลอกลวงและไร้ประโยชน์

แท้จริงความรอดของอิสราเอล

อยู่ในพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

24 ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัย เทพเจ้าอันน่าอับอายเหล่านั้นได้ล้างผลาญ

ผลแห่งหยาดเหงื่อแรงงานของบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์

ลูกชายและลูกสาว

25 ให้ข้าพระองค์ทั้งหลายนอนลงด้วยความอับอาย

และเอาความอัปยศอดสูคลุมกาย

ทั้งข้าพระองค์ทั้งหลายและบรรพบุรุษ

ได้ทำบาปต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ตั้งแต่ข้าพระองค์ทั้งหลายยังเยาว์วัยตราบจนบัดนี้

ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้เชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/3-c651a3f0b812490eacf4cc97c667f058.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 4

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“อิสราเอลเอ๋ย หากเจ้าจะหันกลับมา

หากเจ้าจะกลับมาหาเรา

หากเจ้ากำจัดเทวรูปอันน่าชิงชังออกไปให้พ้นหน้าเรา

และไม่หลงเตลิดอีกต่อไป

2 และหากเจ้าจะปฏิญาณโดยกล่าวอ้างว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’

ด้วยความจริง ความยุติธรรม และความชอบธรรม

ประชาชาติทั้งหลายก็จะได้รับพรจากเรา

และพวกเขาจะสรรเสริญเทิดทูนเรา”

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับชาวยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มว่า

“จงไถพรวนดินแข็งแห่งจิตใจของเจ้า

และอย่าหว่านเมล็ดพืชลงกลางดงหนาม

4 ชนยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย

จงทำสุหนัตให้ตัวเองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า

จงทำสุหนัตที่ใจของพวกเจ้า

มิฉะนั้นโทสะของเราจะระเบิดออกและแผดเผาดั่งไฟ

เผาผลาญโดยไม่มีใครดับได้

เนื่องจากความชั่วร้ายที่พวกเจ้าได้ทำ

ภัยพิบัติจากทิศเหนือ

5 “จงป่าวประกาศในยูดาห์และป่าวร้องในเยรูซาเล็มว่า

‘จงเป่าแตรทั่วแผ่นดิน!’

จงป่าวร้องเสียงดังว่า

‘มารวมตัวกัน!

ให้เราหนีไปยังเมืองป้อมปราการต่างๆ โดยเร็ว!’

6 จงส่งสัญญาณให้ไปศิโยน!

อย่าชักช้า! จงรีบหนีเอาชีวิตรอด

เพราะเรากำลังนำภัยพิบัติมาจากทางเหนือ

เป็นหายนะร้ายแรง”

7 ราชสีห์ตัวหนึ่งได้ออกมาจากถ้ำ

ผู้ที่จะทำลายบรรดาประชาชาติได้ออกมาแล้ว

เขาออกมาจากที่พักของตน

เพื่อทำให้แผ่นดินของเจ้าถูกทิ้งร้าง

เมืองต่างๆ ของเจ้าจะกลายเป็นซากปรักหักพัง

ปราศจากผู้อยู่อาศัย

8 ฉะนั้นจงสวมเสื้อผ้ากระสอบ

จงร้องไห้คร่ำครวญ

เพราะพระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ยังไม่หันเหจากเรา

9 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในวันนั้น

กษัตริย์และบรรดาข้าราชการจะเสียขวัญกำลังใจ

ปุโรหิตจะตกใจกลัว

และผู้เผยพระวจนะจะขนลุก”

10 แล้วข้าพเจ้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระองค์ทรงหลอกลวงเยรูซาเล็มและชนชาตินี้แน่แล้ว ก็ไหนพระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะมีสันติสุข’ แต่นี่ดาบจ่อที่คอหอยข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว”

11 เมื่อถึงเวลานั้นจะมีผู้บอกชนชาตินี้และชาวเยรูซาเล็มว่า “ลมร้อนจากที่สูงอันเวิ้งว้างในทะเลทรายพัดมายังประชากรของเรา แต่ไม่ใช่เพื่อฝัดร่อนหรือชะล้าง

12 เราเป็นผู้ส่งลมกล้านั้นมาบัดนี้เราประกาศคำพิพากษาลงโทษพวกเขา”

13 ดูสิ! บุคคลผู้นั้นบุกมาเหมือนเมฆ

รถม้าศึกของเขามาเหมือนพายุหมุน

ม้าศึกของเขาไวยิ่งกว่านกอินทรี

วิบัติแก่เรา! เราพินาศวอดวายแล้ว!

14 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงชำระความชั่วร้ายออกจากจิตใจเพื่อจะได้รับความรอด

เจ้าจะบ่มความคิดชั่วไว้นานสักเท่าใด?

15 เสียงหนึ่งป่าวร้องออกมาจากดาน

ประกาศภัยพิบัติจากบรรดาเนินเขาของเอฟราอิม

16 “จงบอกเรื่องนี้แก่บรรดาประชาชาติ

ประกาศเรื่องนี้แก่เยรูซาเล็มว่า

‘กองทัพที่ล้อมเมืองกำลังมาจากแดนไกล

โห่ร้องออกศึกสู้กับเมืองต่างๆ ของยูดาห์

17 พวกเขาโอบล้อมเยรูซาเล็มเหมือนคนเฝ้านา

เพราะเยรูซาเล็มกบฏต่อเรา’ ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

18 “การกระทำและความประพฤติของเจ้าเอง

ได้ชักนำให้เหตุการณ์นี้เกิดแก่เจ้า

นี่คือโทษทัณฑ์ของเจ้า

มันช่างขมขื่นยิ่งนัก!

มันช่างเสียดแทงใจเสียจริง!”

19 โอย ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน!

ข้าพเจ้าทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด

โอย หัวใจของข้าพเจ้าร้าวราน!

หัวใจของข้าพเจ้าสะทกสะท้านอยู่ภายใน

ข้าพเจ้าไม่อาจสงบนิ่ง

เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงแตร

ได้ยินเสียงโห่ร้องคะนองศึก

20 หายนะกระหน่ำเข้ามาติดๆ กัน

ทั้งแผ่นดินตกอยู่ในสภาพปรักหักพัง

เต็นท์ทั้งหลายของข้าพเจ้าถูกทำลายไปในชั่วพริบตา

เพียงแวบเดียว ที่พักพิงของข้าพเจ้าก็ย่อยยับไป

21 ข้าพเจ้าจะต้องทนดูธงรบ

และฟังเสียงแตรไปนานสักเท่าใดหนอ?

22 “ประชากรของเราโง่เขลา

พวกเขาไม่รู้จักเรา

พวกเขาเป็นเด็กเหลวไหล

ไม่มีความเข้าใจ

พวกเขาช่ำชองในการทำชั่ว

ทำดีไม่เป็นเลย”

23 ข้าพเจ้ามองดูที่แผ่นดินโลก

มันไม่มีรูปทรงและว่างเปล่า

มองดูที่ฟ้าสวรรค์

แสงสว่างลับไปเสียแล้ว

24 ข้าพเจ้ามองดูภูเขาทั้งหลาย

เห็นมันสั่นสะท้าน

เนินเขาทั้งหลายก็โคลงเคลง

25 ข้าพเจ้ามองดู ไม่มีผู้คนเลย

นกในท้องฟ้าบินลับหายไปหมด

26 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์กลายเป็นถิ่นกันดาร

เมืองทั้งหลายอยู่ในสภาพปรักหักพัง

ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและต่อพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า

“ทั้งแผ่นดินจะย่อยยับ

แม้เราจะไม่ทำลายจนหมดสิ้น

28 ฉะนั้นโลกจะคร่ำครวญ

และฟ้าสวรรค์เบื้องบนจะหม่นหมอง

เพราะเราได้ลั่นวาจาไว้ และจะไม่มีการผ่อนผัน

เราได้ตัดสินใจไว้แล้ว และจะไม่เปลี่ยนแปลง”

29 เมื่อได้ยินเสียงพลม้าและพลธนู

ชาวเมืองทุกแห่งหนีกระเจิดกระเจิง

บางคนเข้าไปในพุ่มไม้

บางคนปีนป่ายขึ้นไปตามหินผา

เมืองทุกเมืองถูกทิ้งร้าง

ไม่มีใครอยู่อาศัย

30 เจ้าผู้ถูกทำลาย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นั่น?

ทำไมจึงสวมเสื้อผ้าสีแดงเข้ม

และสวมเครื่องเพชรเครื่องทอง?

เจ้าแต่งแต้มทาตาไปทำไม?

ถึงแต่งตัวสวยก็เปล่าประโยชน์

คนรักของเจ้าเหยียดหยามเจ้า

พวกเขาหมายจะเอาชีวิตเจ้า

31 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงผู้หญิงกำลังคลอดลูก

เหมือนเสียงครวญครางของผู้หญิงที่คลอดลูกท้องแรก

เป็นเสียงร้องของธิดาแห่งศิโยนหอบหายใจเป็นห้วงๆ

เธอเหยียดแขนออกและพูดว่า

“อนิจจา ฉันจะเป็นลมแล้ว

ชีวิตฉันถูกมอบไว้ในมือของเหล่าฆาตกร”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/4-b4feb3de4b4d2fbd3199aedf660706d7.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 5

ไม่มีใครเที่ยงธรรม

1 “จงวิ่งไปวิ่งมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม

จงมองไปรอบๆ และพิเคราะห์ดู

จงค้นหาตามลานเมืองต่างๆ

หากเจ้าหาพบแม้แต่คนเดียว

ที่ซื่อสัตย์และแสวงหาความจริง

เราก็จะยกโทษให้เมืองนี้

2 ถึงแม้พวกเขากล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’

พวกเขาก็กำลังสาบานเท็จ”

3 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเนตรของพระองค์มองหาความจริงไม่ใช่หรือ?

พระองค์ทรงเฆี่ยนพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักเจ็บ

ทรงขยี้พวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไข

พวกเขาทำหน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าหิน

และไม่ยอมกลับตัวกลับใจ

4 ข้าพเจ้าคิดว่า “คนเหล่านี้เป็นเพียงคนยากไร้

พวกเขาเป็นคนโง่เขลา

เพราะพวกเขาไม่รู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตน

5 ฉะนั้นข้าพเจ้าจะไปหาบรรดาผู้นำ

และจะพูดกับพวกเขา

คนเหล่านั้นย่อมรู้วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า

รู้ข้อกำหนดของพระเจ้าของตนอย่างแน่นอน”

แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมใจกันหักแอก

และทลายเครื่องพันธนาการต่างๆ ด้วยเหมือนกัน

6 ฉะนั้นสิงโตจากป่าจะมาเล่นงานพวกเขา

สุนัขป่าจากทะเลทรายจะเข้าขย้ำ

เสือดาวจะซุ่มอยู่ใกล้เมืองต่างๆ ของพวกเขา

คอยฉีกเนื้อคนที่ออกมานั้นเป็นชิ้นๆ

เพราะการทรยศของพวกเขาร้ายแรงนัก

และชอบหวนกลับไปทำบาป

7 “ควรหรือที่เราจะอภัยให้พวกเจ้า?

ลูกหลานของพวกเจ้าได้ละทิ้งเรา

และสาบานโดยอ้างพระต่างๆ ซึ่งไม่ใช่พระเจ้า

เราได้จัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา

แต่พวกเขาก็ยังคบชู้

และแห่กันไปยังสำนักนางโลม

8 พวกเขาเป็นม้าหนุ่มกลัดมันที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี

ต่างกระสันหาภรรยาของเพื่อนบ้าน

9 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“จะไม่ให้เราแก้แค้น

ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?

10 “จงไปตามแถวต่างๆ ของสวนองุ่นของเยรูซาเล็มและทำลายเสีย

แต่อย่าทำลายจนหมดสิ้น

จงตัดกิ่งต่างๆ จากเถาองุ่น

เพราะประชากรเหล่านี้ไม่ได้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

11 พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์

ได้นอกใจเราจนถึงที่สุด”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

12 พวกเขาโกหกเกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

“พระองค์จะไม่ทรงทำอะไรหรอก!

จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเรา

เราจะไม่มีวันเห็นการฆ่าฟันหรือการกันดารอาหาร

13 บรรดาผู้เผยพระวจนะเป็นเพียงลม

ไม่มีพระวจนะในคนเหล่านั้น

ดังนั้นเขาพูดอะไรออกมาก็ขอให้ตกแก่ตัวเขาเอง”

14 ฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“เนื่องจากเหล่าประชากรได้พูดเช่นนี้

เราจะทำให้ถ้อยคำของเราในปากของเจ้านั้นเป็นไฟ

และให้ประชากรเหล่านี้เป็นฟืนที่ไฟนี้จะเผาผลาญ

15 โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอล”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เรากำลังนำชนชาติหนึ่งจากแดนไกลมาสู้กับเจ้า

เป็นชนชาติโบราณที่ยืนหยัดมานาน

เป็นชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักภาษาของเขา

ไม่เข้าใจคำพูดของเขา

16 แล่งธนูของเขาเป็นเหมือนหลุมศพที่เปิดกว้าง

คนของเขาล้วนแต่เป็นนักรบเกรียงไกร

17 พวกเขาจะกลืนกินพืชผลและอาหารของเจ้า

กลืนกินลูกชายลูกสาวของเจ้า

พวกเขาจะกลืนกินทั้งฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์ของเจ้า

กลืนกินทั้งเถาองุ่นและต้นมะเดื่อ

พวกเขาจะใช้ดาบทำลายล้าง

เมืองป้อมปราการต่างๆ ที่เจ้าเชื่อว่าปลอดภัย”

18 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แม้ถึงเวลานั้น เราก็จะไม่ทำลายพวกเจ้าให้สูญสิ้นไป

19 และเมื่อเหล่าประชากรถามว่า ‘ทำไมพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราจึงทรงทำสิ่งทั้งหมดนี้กับเรา?’ เจ้าจะบอกพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าได้ละทิ้งพระเจ้า และได้ปรนนิบัติบรรดาพระต่างชาติในแผ่นดินของเจ้าเองอย่างไร บัดนี้พวกเจ้าจะต้องไปปรนนิบัติชนต่างชาติในแผ่นดินซึ่งไม่ใช่ของพวกเจ้าอย่างนั้น’

20 “จงประกาศต่อพงศ์พันธุ์ของยาโคบ

และป่าวร้องในยูดาห์ว่า

21 ฟังนะ ประชากรผู้โง่เขลาและสิ้นคิด

ผู้ซึ่งมีตาแต่มองไม่เห็น

ผู้ซึ่งมีหูแต่ไม่ได้ยิน

22 เจ้าควรจะยำเกรงเราไม่ใช่หรือ?”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“เจ้าควรจะสั่นสะท้านเมื่ออยู่ต่อหน้าเราไม่ใช่หรือ?

เราตั้งหาดทรายเป็นขอบเขตให้ทะเล

เป็นเครื่องกีดขวางนิรันดร์ซึ่งทะเลจะฝ่าข้ามไปไม่ได้

คลื่นอาจจะม้วนตัว แต่ก็เอาชนะไม่ได้

มันอาจจะร้องคำราม แต่ก็ล้ำเขตไปไม่ได้

23 แต่ชนชาตินี้มีใจดื้อด้านและชอบกบฏ

พวกเขาได้หันหนีเราไป

24 พวกเขาไม่รู้จักบอกตัวเองว่า

‘ให้เรายำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา

ผู้ประทานฝนฤดูใบไม้ร่วงและฝนฤดูใบไม้ผลิให้ตกต้องตามฤดูกาล

ผู้ให้ความมั่นใจว่าเราจะได้เก็บเกี่ยวพืชผลตามฤดูอย่างแน่นอน’

25 เพราะพวกเจ้าทำผิด สิ่งเหล่านี้จึงสูญสิ้นไป

บาปทั้งหลายของเจ้าได้ทำให้เจ้าพลาดจากสิ่งดีๆ

26 “ในหมู่ประชากรของเรามีคนชั่วร้าย

ซึ่งหมอบคอยอยู่เหมือนคนที่วางบ่วงดักนก

และเหมือนคนที่วางกับดักจับคน

27 บ้านของพวกเขาเต็มไปด้วยการหลอกลวง

เหมือนกรงที่เต็มไปด้วยนก

พวกเขากลายเป็นคนมั่งมีและทรงอิทธิพล

28 ทั้งอ้วนพีและล่ำสัน

พวกเขาทำชั่วอย่างไร้ขีดจำกัด

ไม่ช่วยให้ลูกกำพร้าพ่อได้รับความยุติธรรมในคดีความ

ไม่ปกป้องสิทธิของผู้ยากไร้

29 จะไม่ให้เราลงโทษพวกเขาเพราะเรื่องนี้หรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“จะไม่ให้เราแก้แค้น

ชนชาติที่ประพฤติเยี่ยงนี้หรือ?

30 “สิ่งน่าสะพรึงกลัวและน่าตกใจ

ได้เกิดขึ้นในแผ่นดินนี้

31 คือบรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์เท็จ

เหล่าปุโรหิตปกครองโดยสิทธิอำนาจของตนเอง

และประชากรของเราก็รักวิถีแบบนี้

แต่พวกเจ้าจะทำอย่างไรในบั้นปลาย?

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/5-3bdbbab1422f3229ab695c3cbc8fed24.mp3?version_id=179—