Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 26

เยเรมีย์ถูกขู่ฆ่า

1 มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในต้นรัชกาลเยโฮยาคิมโอรสของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์

2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงยืนอยู่ที่ลานพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประกาศแก่ชาวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ซึ่งมานมัสการที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงแจ้งทุกสิ่งตามที่เราสั่ง อย่าเว้นแม้แต่คำเดียว

3 บางทีพวกเขาอาจจะรับฟังและหันจากทางชั่วของตน แล้วเราจะอดใจไว้ไม่นำภัยพิบัติมายังเขาตามที่เราคิดเพราะความชั่วที่พวกเขาได้ทำ

4 จงบอกพวกเขาว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า หากเจ้าไม่ฟังคำของเราและปฏิบัติตามบทบัญญัติของเราซึ่งเราตั้งไว้ต่อหน้าเจ้า

5 และหากเจ้าไม่ยอมฟังคำผู้รับใช้ของเราคือเหล่าผู้เผยพระวจนะซึ่งเราได้ส่งมาเตือนเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า (แม้ว่าเจ้าไม่ฟัง)

6 เมื่อนั้นเราจะทำลายพระนิเวศแห่งนี้เหมือนที่เราได้ทำลายพลับพลาแห่งชิโลห์และเราจะทำให้เยรูซาเล็มเป็นที่สาปแช่งในหมู่ประชาชาติทั่วโลก’ ”

7 บรรดาปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะและประชาชนทั้งปวงได้ยินเยเรมีย์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า

8 ทันทีที่เยเรมีย์ได้กล่าวทุกสิ่งแก่ประชาชนเสร็จสิ้นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสสั่งไว้ บรรดาปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และประชาชนทั้งปวงก็กรูเข้าไปจับเขาและร้องว่า “แกต้องตาย!

9 ทำไมมาพยากรณ์ในพระนามพระยาห์เวห์ว่าพระนิเวศแห่งนี้จะเป็นเหมือนชิโลห์และกรุงนี้จะต้องถูกทิ้งร้าง?” แล้วประชาชนทั้งหมดก็กรูเข้าล้อมตัวเยเรมีย์ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า

10 เมื่อบรรดาขุนนางของยูดาห์ได้ยินเรื่องนี้ ก็ออกจากพระราชวังมาที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้ามานั่งประจำที่อยู่ที่ประตูใหม่ของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

11 แล้วบรรดาปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะก็แจ้งเหล่าขุนนางและประชาชนทั้งปวงว่า “ชายผู้นี้สมควรรับโทษถึงตายเพราะเขาพยากรณ์ให้ร้ายกรุงนี้ ท่านก็ได้ยินกับหูของท่านเองแล้ว!”

12 เยเรมีย์จึงกล่าวแก่บรรดาขุนนางและประชาชนทั้งปวงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้ามาพยากรณ์แก่พระนิเวศนี้และกรุงนี้ตามที่ท่านได้ยินมาทั้งหมด

13 บัดนี้พวกท่านจงแก้ไขแนวทางและความประพฤติของท่าน จงเชื่อฟังพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอดพระทัยไว้ ไม่นำภัยพิบัติซึ่งได้ทรงประกาศไว้มาเหนือพวกท่าน

14 ส่วนข้าพเจ้าอยู่ในกำมือของท่านแล้ว เชิญทำแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านเห็นดีเห็นชอบเถิด

15 แต่ที่แน่ๆ คือหากพวกท่านฆ่าข้าพเจ้า ก็ได้ฆ่าผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งและความผิดนี้จะตกอยู่แก่ท่าน แก่กรุงนี้และแก่ชาวกรุงนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ข้าพเจ้ามาจริงๆ ให้กล่าวถ้อยคำทั้งปวงตามที่พวกท่านได้ยินแล้ว”

16 บรรดาขุนนางและประชาชนทั้งปวงจึงกล่าวแก่เหล่าปุโรหิตและผู้เผยพระวจนะว่า “ชายผู้นี้ไม่สมควรได้รับโทษประหาร! เพราะเขาพูดกับเราในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา”

17 มีบางคนในหมู่ผู้อาวุโสของแผ่นดินนั้นลุกขึ้นก้าวออกมากล่าวแก่ที่ประชุมประชาชนทั้งหมดว่า

18 “ในรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ มีคาห์แห่งโมเรเชทได้แจ้งคำพยากรณ์แก่ประชากรยูดาห์ว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า

“ ‘ศิโยนจะถูกไถเหมือนนา

และเยรูซาเล็มจะกลายเป็นซากปรักหักพัง

ภูเขาที่ตั้งของพระวิหารจะกลายเป็นป่ารก’

19 กษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์หรือใครอื่นในยูดาห์ได้ฆ่ามีคาห์หรือ? เฮเซคียาห์ไม่ได้ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและทูลอ้อนวอนพระองค์หรอกหรือ? แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็อดพระทัยไว้ ไม่นำภัยพิบัติที่ทรงประกาศไว้มาเหนือพวกเขาไม่ใช่หรือ? ส่วนเรากำลังหาเรื่องนำหายนะร้ายแรงมาสู่ตนเอง!”

20 (ครั้งนั้นอุรียาห์บุตรเชไมอาห์จากคีริยาทเยอาริมซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่เผยพระวจนะในพระนามของพระยาห์เวห์ก็ได้กล่าวพยากรณ์เกี่ยวกับกรุงนี้และดินแดนนี้เช่นเดียวกับเยเรมีย์

21 เมื่อกษัตริย์เยโฮยาคิม บรรดานายทหาร และข้าราชการได้ยินสิ่งที่อุรียาห์พูด กษัตริย์ก็ส่งคนไปฆ่าเขา แต่อุรียาห์ได้ยินข่าวนี้จึงหนีไปที่อียิปต์ด้วยความกลัว

22 แต่กษัตริย์เยโฮยาคิมทรงใช้เอลนาธันบุตรของอัคโบร์ พร้อมทั้งคนอื่นไปที่อียิปต์เพื่อจับกุมอุรียาห์

23 อุรียาห์ถูกคุมตัวจากอียิปต์มาเข้าเฝ้ากษัตริย์เยโฮยาคิม พระองค์ทรงประหารเขาด้วยดาบ และให้โยนศพไว้ในที่ฝังศพของสามัญชน)

24 ยิ่งกว่านั้นเยเรมีย์ได้รับความช่วยเหลือจากอาหิคัมบุตรชาฟาน จึงไม่ถูกมอบตัวให้ประชาชนฆ่า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/26-39938087dca1a9759895e4f8c7f65db3.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 27

ยูดาห์จะปรนนิบัติเนบูคัดเนสซาร์

1 ในต้นรัชกาลเศเดคียาห์โอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ มีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงทำแอกจากไม้พร้อมสายรัดแล้วคล้องคอเจ้าไว้

3 และฝากข้อความไปถึงกษัตริย์เอโดม โมอับ อัมโมน ไทระ และไซดอนผ่านทางบรรดาทูตซึ่งมาเฝ้ากษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ที่เยรูซาเล็ม

4 ให้ไปทูลเจ้านายของตนว่า ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “จงไปบอกนายของเจ้าว่า

5 เราได้สร้างโลก มนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ในโลกนี้ โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่และมือที่เงื้ออยู่ และเรายกสิ่งเหล่านี้แก่ใครก็ได้ที่เราพอใจ

6 บัดนี้เราจะมอบแผ่นดินทั้งปวงของพวกเจ้าให้แก่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรา แม้แต่สัตว์ป่าเราก็จะทำให้ยอมสยบต่อเขา

7 ประชาชาติทั้งปวงจะรับใช้เขาและลูกหลานของเขาจนกว่าจะหมดเวลาของเขา จากนั้นประชาชาติต่างๆ และเหล่ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะพิชิตบาบิโลน

8 “ ‘ “แต่หากชนชาติใดหรืออาณาจักรใดไม่ยอมปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน หรือไม่ยอมอยู่ใต้แอกของเขา เราจะลงโทษชนชาตินั้นด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด จนกว่าเราจะทำลายชาตินั้นให้สิ้นไปด้วยมือเนบูคัดเนสซาร์องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

9 เพราะฉะนั้นอย่าไปฟังผู้พยากรณ์ หมอดู ผู้ทำนายฝัน คนทรง และหมอผีของพวกเจ้า ผู้ที่บอกว่า ‘เจ้าจะไม่ต้องเป็นข้ารับใช้กษัตริย์บาบิโลน’

10 พวกเขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง ซึ่งมีแต่จะทำให้เจ้าพลัดพรากจากดินแดนของเจ้า เราจะเนรเทศเจ้าไปและเจ้าจะพินาศ

11 แต่ถ้าชาติใดยอมค้อมคออยู่ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลนและปรนนิบัติรับใช้เขา เราจะอนุญาตให้ชาตินั้นคงอยู่ในดินแดนของตน ทำไร่ไถนาอาศัยอยู่ต่อไปองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น” ’ ”

12 ข้าพเจ้าได้แจ้งข้อความเดียวกันแก่กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์คือ “จงค้อมคออยู่ใต้แอกของกษัตริย์บาบิโลน ปรนนิบัติรับใช้เขากับราษฎรของเขา แล้วท่านจะมีชีวิตรอด

13 ทำไมท่านกับเหล่าประชากรจะต้องตายเพราะสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่าจะตกอยู่แก่ชนชาติใดก็ตามที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อกษัตริย์บาบิโลนเล่า?

14 อย่าไปฟังบรรดาผู้พยากรณ์ที่บอกกับท่านว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ต้องรับใช้กษัตริย์บาบิโลน’ เพราะพวกเขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง

15 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เราไม่ได้ส่งพวกเขามา เขาพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟังโดยอ้างนามของเรา ฉะนั้นเราจะเนรเทศเจ้าไปและเจ้าจะพินาศ ทั้งเจ้าและบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งพยากรณ์ให้เจ้าฟัง’ ”

16 แล้วข้าพเจ้ากล่าวแก่บรรดาปุโรหิตและประชากรทั้งปวงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า อย่าไปฟังถ้อยคำต่างๆ ที่ผู้พยากรณ์กล่าวว่า ‘ในไม่ช้าภาชนะซึ่งถูกริบจากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้คืนมาจากบาบิโลน’ พวกเขากำลังพยากรณ์เท็จให้เจ้าฟัง

17 อย่าไปฟังเลย จงยอมรับใช้กษัตริย์บาบิโลน แล้วพวกท่านจะรักษาชีวิตไว้ได้ จะยอมให้เมืองนี้เป็นซากปรักหักพังไปทำไม?

18 หากคนเหล่านั้นเป็นผู้เผยพระวจนะและมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ให้พวกเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ไม่ให้ภาชนะเครื่องใช้ต่างๆ ที่เหลืออยู่ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวังของกษัตริย์ยูดาห์ และในเยรูซาเล็มต้องถูกริบไปบาบิโลน

19 เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสเกี่ยวกับเสาหาน ขันสาคร แท่นเคลื่อนที่ และเครื่องตกแต่งอื่นๆ ที่ยังเหลืออยู่ในเมืองนี้

20 ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนไม่ได้ริบไป เมื่อครั้งที่เยโฮยาคีนโอรสกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลนพร้อมกับบรรดาเจ้าขุนมูลนายของยูดาห์และเยรูซาเล็มนั้น

21 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เหลืออยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในราชวังกษัตริย์ยูดาห์และในเยรูซาเล็มไว้ดังนี้

22 ‘สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะถูกริบไปไว้ที่บาบิโลนจนกว่าจะถึงวันที่เรามาเยือน แล้วเราจึงจะนำมันกลับมายังที่เดิม’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/27-508bdf97b8d8d866a4a8c5a78c6a68db.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 28

ฮานันยาห์ผู้พยากรณ์เท็จ

1 ในเดือนที่ห้าปีเดียวกันนั้น ซึ่งเป็นปีที่สี่ของรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ผู้พยากรณ์ฮานันยาห์บุตรอัสซูร์ซึ่งมาจากกิเบโอน กล่าวกับข้าพเจ้าในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าบรรดาปุโรหิตและประชากรทั้งปวงว่า

2 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราจะหักแอกของกษัตริย์บาบิโลน

3 เราจะนำภาชนะต่างๆ ซึ่งกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนริบจากพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปไว้ที่บาบิโลนนั้นกลับคืนมาที่นี่ภายในสองปี

4 และเราจะนำเยโฮยาคีนโอรสของกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ กับบรรดาเชลยจากยูดาห์ซึ่งไปยังบาบิโลนนั้นกลับมาที่นี่อีก เพราะเราจะทำลายแอกของกษัตริย์บาบิโลน’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

5 แล้วผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวกับฮานันยาห์ต่อหน้าปุโรหิตและประชากรทั้งปวงซึ่งยืนอยู่ในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้า

6 เขากล่าวว่า “อาเมน! ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำเช่นนั้นเถิด! ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดให้เป็นไปตามคำพยากรณ์ของท่าน ที่พระองค์จะทรงนำภาชนะประจำพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเชลยทั้งปวงจากบาบิโลนคืนสู่แผ่นดินนี้

7 แต่ขอจงฟังสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องกล่าวให้ท่านและประชาชนทั้งปวงได้ยินคือ

8 ตั้งแต่กาลก่อนบรรดาผู้เผยพระวจนะก่อนหน้าท่านและข้าพเจ้าได้พยากรณ์ถึงสงคราม ภัยพิบัติ และโรคระบาด ซึ่งจะเกิดขึ้นในหลายประเทศและอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย

9 แต่ผู้เผยพระวจนะซึ่งพยากรณ์ถึงสันติภาพนั้นจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้มาจริงๆ ก็ต่อเมื่อคำพยากรณ์ของเขาเป็นจริง”

10 แล้วผู้เผยพระวจนะฮานันยาห์ จึงปลดแอกจากคอของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์แล้วหักทิ้งเสีย

11 แล้วกล่าวต่อหน้าประชาชนทั้งปวงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ในทำนองเดียวกัน เราจะทำลายแอกของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนออกจากคอของบรรดาประชาชาติภายในสองปี’ ” ถึงตอนนี้ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ก็เดินจากไป

12 ไม่นานหลังจากที่ผู้เผยพระวจนะฮานันยาห์ได้ทำลายแอกจากคอของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงเยเรมีย์ว่า

13 “จงไปบอกฮานันยาห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าหักแอกไม้ออก แต่เจ้าจะได้แอกเหล็กแทน

14 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราจะวางแอกเหล็กบนคอของประชาชาติเหล่านี้ และให้พวกเขาปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน และพวกเขาจะรับใช้เนบูคัดเนสซาร์ แม้แต่สัตว์ป่า เราก็จะทำให้สยบต่อเนบูคัดเนสซาร์ด้วยเช่นกัน’ ”

15 แล้วผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวแก่ผู้เผยพระวจนะฮานันยาห์ว่า “ฮานันยาห์ จงฟัง!องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ใช้ท่านมา แต่ท่านก็ยังโน้มน้าวชนชาตินี้ให้เชื่อคำโกหกพกลม

16 ฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เราจะกำจัดเจ้าไปจากพื้นโลก เจ้าจะตายในปีนี้ เพราะเจ้าได้สอนให้กบฏต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า’ ”

17 ในเดือนที่เจ็ดของปีนั้นเองผู้เผยพระวจนะฮานันยาห์ก็สิ้นชีวิต

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/28-badc16bf267c6470847f92899d190c1e.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 29

จดหมายถึงเหล่าเชลย

1 ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งจากเยรูซาเล็มถึงบรรดาผู้อาวุโส ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ และประชากรทั้งปวงซึ่งถูกกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์กวาดต้อนจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่บาบิโลน

2 (หลังจากที่กษัตริย์เยโฮยาคีนราชมารดา และข้าราชสำนัก บรรดาผู้นำยูดาห์และเยรูซาเล็ม ช่างเหล็กและช่างฝีมือทั้งหลายถูกกวาดต้อนจากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลย)

3 เขาส่งจดหมายฉบับนี้ไปกับเอลาสาห์บุตรชาฟาน และเกมาริยาห์บุตรฮิลคียาห์ ซึ่งกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ให้ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ในบาบิโลน จดหมายนั้นมีใจความว่า

4 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสแก่คนทั้งปวงผู้ถูกกวาดต้อนจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่บาบิโลนว่า

5 “จงสร้างบ้านและตั้งรกราก จงเพาะปลูกและกินพืชผลที่ได้

6 จงแต่งงาน มีลูกชายลูกสาว และหาคู่ครองให้พวกเขา จะได้มีหลานเหลน จงเพิ่มจำนวนพลเมืองขึ้น ไม่ใช่ลดลง

7 ทั้งจงบากบั่นเพื่อสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองของนครซึ่งเราให้เจ้าไปตกเป็นเชลยนั้น จงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อนครนั้น เพราะหากมันเจริญ เจ้าก็เจริญด้วย”

8 ถูกแล้ว พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “อย่ายอมให้บรรดาผู้พยากรณ์และหมอดูในหมู่พวกเจ้าหลอกลวงเจ้า อย่าฟังความฝันที่พวกเจ้าอยากให้พวกเขาฝัน

9 พวกเขากำลังพยากรณ์เท็จในนามของเราให้เจ้าฟัง เราไม่ได้ใช้พวกเขาไป”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เมื่อเป็นเชลยในบาบิโลนจนครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะมาเยือนเจ้าและทำตามสัญญาแห่งพระคุณที่จะนำเจ้ากลับคืนมาที่นี่”

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เพราะเรารู้แผนการที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนการเพื่อทำให้เจ้ารุ่งเรืองไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เป็นแผนการเพื่อให้ความหวังและอนาคตแก่เจ้า

12 แล้วเจ้าจะร้องเรียกเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า

13 เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า”

14 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เจ้าจะพบเรา และเราจะนำเจ้ากลับมาจากการเป็นเชลย”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เราจะรวบรวมเจ้าออกมาจากประชาชาติต่างๆ และจากดินแดนทั้งปวงที่เราเนรเทศเจ้าไป ให้กลับคืนมายังภูมิลำเนาเดิมซึ่งเราได้นำเจ้าจากไปเป็นเชลย”

15 ท่านอาจกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตั้งผู้เผยพระวจนะให้เราในบาบิโลน”

16 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเกี่ยวกับกษัตริย์ผู้นั่งบนบัลลังก์ของดาวิด และเกี่ยวกับประชากรทั้งปวงที่ยังคงอยู่ในกรุงนี้คือพี่น้องร่วมชาติซึ่งไม่ได้ไปเป็นเชลยกับท่านนั้นว่า

17 ถูกแล้ว พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “เราจะส่งสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาดมายังพวกเขาและทำให้เขาเหมือนมะเดื่อเน่า ซึ่งเน่าจนกินไม่ได้

18 เราจะตามล่าเขาด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด และจะทำให้พวกเขาเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์แก่มวลอาณาจักรในโลก เป็นที่น่าสยดสยอง ถูกสาปแช่ง ถูกติเตียน และถูกเย้ยหยันในหมู่ชนชาติต่างๆ ที่เราขับไล่เขาไป”

19 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เพราะเขาไม่ยอมฟังถ้อยคำของเรา ถ้อยคำที่เราใช้ให้ผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเราไปพูดกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และพวกเจ้าเหล่าเชลยก็ไม่ฟังด้วย”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

20 ฉะนั้นท่านทั้งปวงผู้ต้องจากเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่บาบิโลน จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

21 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับอาหับบุตรโคลายาห์ และเศเดคียาห์บุตรมาอาเสอาห์ ซึ่งอ้างนามของเรากล่าวเท็จให้พวกเจ้าฟังนั้นว่า “เราจะมอบเขาทั้งสองไว้ในมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน และเนบูคัดเนสซาร์จะฆ่าเขาทั้งสองต่อหน้าต่อตาพวกเจ้า

22 เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับทั้งสองคนนี้ ทำให้เชลยทั้งปวงจากยูดาห์ซึ่งอยู่ในบาบิโลนแช่งด่ากันว่า ‘ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทำกับเจ้าเหมือนเศเดคียาห์และอาหับซึ่งกษัตริย์บาบิโลนได้เผาในกองไฟ’

23 เพราะพวกเขาได้ทำสิ่งเลวร้ายในอิสราเอล พวกเขาเป็นชู้กับภรรยาของเพื่อนบ้านและกล่าวเท็จโดยอ้างนามของเราโดยที่เราไม่ได้ใช้เขาไปทำ เรารู้เห็นและเป็นพยานเรื่องนี้”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พระดำรัสถึงเชไมอาห์

24 จงบอกเชไมอาห์ชาวเนเฮลามว่า

25 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เจ้าส่งจดหมายในนามของเจ้าเองมาถึงประชากรในเยรูซาเล็ม ถึงเศฟันยาห์บุตรมาอาเสอาห์ผู้เป็นปุโรหิตและถึงปุโรหิตอื่นๆ ทุกคน เจ้าได้บอกเศฟันยาห์ว่า

26 ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นปุโรหิตแทนเยโฮยาดา เพื่อดูแลรับผิดชอบพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าหากคนบ้าคนไหนทำทีเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านจงจับเขาใส่ขื่อคาและปลอกคอเหล็ก

27 เช่นนี้แล้ว ทำไมท่านจึงไม่จัดการเยเรมีย์ชาวอานาโธท ซึ่งตั้งตนเป็นผู้เผยพระวจนะในหมู่ท่าน?

28 เขาได้ส่งจดหมายถึงพวกเราในบาบิโลนว่า เราจะเป็นเชลยอยู่นาน ฉะนั้นให้สร้างบ้านเรือน ตั้งรกราก เพาะปลูก และกินพืชผลที่ได้’ ”

29 แต่ปุโรหิตเศฟันยาห์อ่านจดหมายฉบับนี้ให้ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ฟัง

30 แล้วมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

31 “จงแจ้งข้อความนี้แก่เชลยทั้งปวงว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเกี่ยวกับเชไมอาห์ชาวเนเฮลามดังนี้ว่า เนื่องจากเชไมอาห์ได้พยากรณ์ให้พวกเจ้าฟังทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้เขาไป และได้ทำให้เจ้าหลงเชื่อคำโกหก

32 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราจะลงโทษเชไมอาห์ชาวเนเฮลามกับวงศ์วานของเขาอย่างแน่นอน เขาจะไม่เหลือใครในหมู่ชนชาตินี้ ทั้งจะไม่ได้เห็นสิ่งดีงามที่เราจะทำเพื่อประชากรของเรา เพราะเขาได้สอนให้กบฏต่อเราองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/29-aafb387ed594bbdeb80b96f4251da0b1.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 30

อิสราเอลคืนสู่สภาพดี

1 มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า

2 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘จงบันทึกทุกสิ่งที่เราได้พูดกับเจ้าไว้’

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เพราะใกล้จะถึงเวลาแล้วที่เราจะนำอิสราเอลและยูดาห์ ประชากรของเรากลับมาจากการเป็นเชลยและนำพวกเขากลับสู่ดินแดนที่เรายกให้บรรพบุรุษของพวกเขาครอบครอง’องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น”

4 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับอิสราเอลและยูดาห์ไว้ว่า

5 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘เราได้ยินเสียงร้องด้วยความกลัว

เป็นความอกสั่นขวัญแขวน ไม่ใช่สันติสุข

6 จงถามและดูเถิดว่า

ผู้ชายคลอดลูกได้หรือ?

ถ้าเช่นนั้นทำไมเราเห็นชายฉกรรจ์ทุกคน

เอามือกุมท้องไว้เหมือนผู้หญิงกำลังคลอด?

ทำไมทุกคนหน้าซีด?

7 วันนั้นจะน่ากลัวสักเพียงใด!

ไม่มีวันใดเหมือน

เป็นยามทุกข์ลำเค็ญสำหรับยาโคบ

แต่เขาจะได้รับการช่วยให้รอดพ้น’

8 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า

‘ในวันนั้นเราจะปลดแอกจากคอของเขา

และหักเครื่องพันธนาการของเขาทิ้ง

เขาจะไม่ตกเป็นทาสของคนต่างชาติอีกต่อไป

9 แต่พวกเขาจะรับใช้พระยาห์เวห์พระเจ้าของตน

และรับใช้ดาวิดกษัตริย์ของเขา

ผู้ซึ่งเราจะเชิดชูขึ้นเพื่อพวกเขา

10 “ ‘ฉะนั้นอย่ากลัวเลย ยาโคบผู้รับใช้ของเราเอ๋ย

อย่าท้อแท้หดหู่ไปเลย อิสราเอลเอ๋ย’

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

‘เราจะช่วยเจ้าจากแดนไกลอย่างแน่นอน

จะช่วยลูกหลานของเจ้าจากแดนเชลย

ยาโคบจะกลับมีความสงบสุขและมั่นคงปลอดภัยอีกครั้ง

และจะไม่มีใครทำให้เขาหวาดกลัว

11 เพราะเราอยู่กับเจ้าและเราจะช่วยเจ้า’

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

‘ถึงแม้ว่าเราจะทำลายล้างมวลประชาชาติ

ที่เราทำให้พวกเจ้ากระจัดกระจายไปนั้นจนหมดสิ้น

แต่เราจะไม่ทำลายล้างเจ้าให้สิ้นไป

เราจะตีสั่งสอนเจ้า แต่ก็ด้วยความยุติธรรมเท่านั้น

เราจะไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลพ้นโทษไป’

12 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘บาดแผลของเจ้ารักษาไม่ได้

เจ้าบาดเจ็บเกินจะเยียวยา

13 ไม่มีใครช่วยว่าคดีให้เจ้า

ไม่มีการสมานแผลให้เจ้า

ไม่มีการบำบัดให้เจ้า

14 พันธมิตรทั้งปวงก็ลืมเจ้า

พวกเขาไม่ไยดีเจ้าเลย

เราฟาดฟันเจ้าเหมือนเป็นศัตรูกัน

เราลงโทษเจ้าเหมือนคนอำมหิตลงมือ

เพราะความผิดของเจ้าใหญ่หลวง

และบาปของเจ้าก็มากมายนัก

15 เหตุใดเจ้าจึงร้องโอดโอยเพราะบาดแผลของเจ้า

เพราะความเจ็บปวดซึ่งไม่มีการเยียวยา?

เราจึงทำสิ่งเหล่านี้แก่เจ้า

เพราะความผิดอันยิ่งใหญ่และบาปมากมายของเจ้า

16 “ ‘แต่บรรดาผู้ที่ล้างผลาญเจ้าจะถูกล้างผลาญ

ศัตรูทั้งปวงของเจ้าจะตกเป็นเชลย

บรรดาผู้ที่ปล้นเจ้าจะถูกปล้น

ผู้ที่โจมตีเจ้าจะถูกเราโจมตี

17 เพราะเราจะให้เจ้ามีสุขภาพดีดังเดิม

และรักษาบาดแผลของเจ้า’

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

‘เพราะเจ้าได้ชื่อว่า “พวกเศษเดน”

ศิโยนที่ไม่มีใครเหลียวแล’

18 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ ‘เราจะคืนความมั่งคั่งให้เต็นท์ของยาโคบ

และเอ็นดูสงสารที่อยู่ของเขา

นครจะถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพัง

และพระราชวังจะตั้งขึ้นในที่เดิมของมัน

19 จะมีบทเพลงขอบพระคุณพระเจ้า

และมีเสียงร่าเริงยินดีจากที่เหล่านั้น

เราจะทวีจำนวนของพวกเขา

และเขาจะไม่ลดน้อยลง

เราจะนำเกียรติมาสู่เขา

และพวกเขาจะไม่ถูกดูแคลน

20 ลูกหลานของพวกเขาจะเจริญเหมือนแต่ก่อน

และชุมนุมชนของเขาจะได้รับการสถาปนาไว้ต่อหน้าเรา

เราจะลงโทษคนทั้งปวงที่ข่มเหงรังแกเขา

21 เขาจะมีผู้นำของตนเอง

มีผู้ปกครองขึ้นมาจากหมู่พวกเขา

เราจะนำผู้นั้นเข้ามาใกล้ และเขาจะใกล้ชิดเรา

เพราะใครบ้างที่ยอมอุทิศตน

เพื่อใกล้ชิดเรา?’

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

22 ‘แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา

และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า’ ”

23 ดูเถิด พายุขององค์พระผู้เป็นเจ้า

จะปะทุขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด

เป็นลมกล้าพัดวน

เหนือศีรษะของบรรดาคนชั่วร้าย

24 พระพิโรธอันรุนแรงขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่หันกลับ

จนกว่าจะสำเร็จ

ตามเป้าหมายในพระทัยของพระองค์ทุกประการ

ในภายภาคหน้า

ท่านทั้งหลายจะเข้าใจสิ่งนี้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/30-0146be3f8b196371b5cad7d1bf0b67d5.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 31

1 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “ในครั้งนั้น เราจะเป็นพระเจ้าของอิสราเอลทุกตระกูล และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา”

2 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ชนชาติที่รอดชีวิตจากคมดาบ

จะได้รับพระคุณในถิ่นกันดาร

เราจะมาเพื่อให้อิสราเอลได้พักสงบ”

3 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่พวกเราในอดีตและตรัสว่า

“เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์

เราได้โน้มนำเจ้าเข้ามาหาเราด้วยความรักความเอ็นดู

4 อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย เราจะสร้างเจ้าขึ้นมาอีก

และเจ้าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่

เจ้าจะหยิบรำมะนาขึ้นมาอีกครั้ง

และออกไปเต้นรำกับผู้ที่รื่นเริงยินดี

5 เจ้าจะทำไร่องุ่น

บนภูเขาของสะมาเรียอีกครั้ง

กสิกรจะเพาะปลูก

และชื่นชมกับพืชผลที่ได้

6 จะมีวันหนึ่งซึ่งยามรักษาการณ์ร้องบอก

บนภูเขาของเอฟราอิมว่า

‘มาเถิด ให้พวกเราขึ้นไปยังศิโยน

ไปเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา’ ”

7 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“จงร้องเพลงรื่นเริงยินดีให้ยาโคบ

จงโห่ร้องให้กับผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่ประชาชาติ

จงร้องเพลงสรรเสริญให้ได้ยินทั่วกันว่า

‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงช่วยชนหยิบมือที่เหลือของอิสราเอล

ประชากรของพระองค์’

8 ดูเถิด เราจะนำพวกเขามาจากดินแดนทางเหนือ

และรวบรวมพวกเขามาจากสุดปลายแผ่นดินโลก

ในหมู่พวกเขามีคนตาบอดและคนง่อย

หญิงมีครรภ์และผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก

ฝูงชนกลุ่มใหญ่จะกลับมา

9 พวกเขาจะร้องไห้มา

พวกเขาจะอธิษฐานขณะที่เรานำพวกเขากลับมา

เราจะนำพวกเขาเลียบธารน้ำ

มาตามทางราบเรียบซึ่งพวกเขาจะไม่สะดุดล้ม

เพราะเราเป็นบิดาของอิสราเอล

และเอฟราอิมเป็นลูกชายหัวปีของเรา

10 “ประชาชาติทั้งหลาย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

จงประกาศในดินแดนชายฝั่งทะเลอันไกลโพ้นว่า

‘พระองค์ผู้ทรงทำให้ชนอิสราเอลกระจัดกระจายจะทรงรวบรวมพวกเขากลับมา

และจะทรงดูแลพวกเขาเหมือนคนเลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของตน’

11 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงไถ่ยาโคบ

จะทรงไถ่พวกเขาออกจากมือของผู้ที่เข้มแข็งกว่าพวกเขา

12 พวกเขาจะมาและโห่ร้องยินดีบนภูเขาศิโยน

จะชื่นชมยินดีในสิ่งดีงามจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

ทั้งเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน

ลูกอ่อนในฝูงแพะแกะและฝูงสัตว์

ใจของพวกเขาจะเป็นเหมือนสวนที่ได้รับน้ำชุ่มฉ่ำ

และพวกเขาจะไม่ต้องทุกข์โศกอีกต่อไป

13 หญิงสาวจะร่ายรำและยินดี

ผู้ชายทั้งหนุ่มและแก่ก็เช่นกัน

เราจะเปลี่ยนความโศกเศร้าของเขาให้กลายเป็นความยินดี

เราจะให้การปลอบประโลมและความชื่นชมยินดีแก่เขาแทนความทุกข์โศก

14 เราจะให้ปุโรหิตอิ่มเอมด้วยความอุดมสมบูรณ์

ประชากรของเราจะอิ่มด้วยความอุดมสมบูรณ์จากเรา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ได้ยินเสียงหนึ่งในรามาห์

เป็นเสียงคร่ำครวญสะอึกสะอื้น

ราเชลร่ำไห้ถึงลูกๆ ของนาง

และไม่ยอมรับคำปลอบโยนใดๆ

เพราะลูกๆ ของนางจากไปเสียแล้ว”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“หยุดร้องไห้

หยุดหลั่งน้ำตาเสียเถิด

เพราะผลงานของเจ้าจะได้รับรางวัล”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“พวกเขาจะกลับมาจากแดนศัตรู

17 ดังนั้นอนาคตของเจ้ายังมีความหวัง”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“ลูกๆ ของเจ้าจะกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนของตนอีก

18 “แน่ทีเดียว เราได้ยินเสียงเอฟราอิมโอดครวญว่า

‘พระองค์ทรงฝึกข้าพระองค์เหมือนฝึกลูกวัวที่ยังไม่เชื่อง

และข้าพระองค์ก็ถูกฝึกฝน

โปรดทรงช่วยให้ข้าพระองค์คืนสู่ปกติสุข แล้วข้าพระองค์จะหวนกลับมา

เพราะพระองค์ทรงเป็นพระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์

19 เมื่อข้าพระองค์หลงทางไปแล้ว

ข้าพระองค์ก็สำนึกผิด

เมื่อข้าพระองค์เข้าใจแล้ว

ข้าพระองค์ก็ตีอกชกตัว

ข้าพระองค์อับอายและตกต่ำ

เพราะทนรับความอัปยศอดสูจากบาปที่ทำในวัยหนุ่ม’

20 เอฟราอิมเป็นลูกชายที่รัก

เป็นลูกคนโปรดของเราไม่ใช่หรือ?

แม้เราจะพูดตำหนิเขาเนืองๆ

แต่เราก็ยังคงคิดถึงเขา

ฉะนั้นจิตใจของเราอาลัยหาเขา

เราเอ็นดูสงสารเขายิ่งนัก”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 “จงตั้งป้ายริมทางขึ้น

ตั้งป้ายชี้ทางไว้

สังเกตทางหลวง

เส้นทางที่เจ้าดำเนินไป

อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย กลับมาเถิด

จงกลับมายังหัวเมืองต่างๆ ของเจ้า

22 ลูกสาวไม่ซื่อเอ๋ย

เจ้าจะเตร็ดเตร่ไปนานสักเท่าใด?

องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างสิ่งใหม่ในโลกคือ

ผู้หญิงคนหนึ่งจะโอบล้อมผู้ชายไว้”

23 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เมื่อเรานำพวกเขากลับมาจากการเป็นเชลยประชาชนในยูดาห์และหัวเมืองต่างๆ จะกลับมาพูดอย่างแต่ก่อนว่า ‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอวยพรเจ้าเถิด ที่พำนักอันชอบธรรมเอ๋ย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เอ๋ย’

24 ผู้คนทั้งชาวนาและผู้ที่โยกย้ายไปกับฝูงสัตว์ของตนจะอาศัยอยู่ร่วมกันในยูดาห์และหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์

25 เราจะให้คนอ่อนระโหยชุ่มชื่นขึ้นใหม่ และให้คนหมดแรงได้อิ่มเอม”

26 ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมองไปรอบๆ การนอนหลับครั้งนี้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจ

27 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะสร้างพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ โดยให้ทั้งมนุษย์และสัตว์มีลูกหลานมากมาย

28 เช่นเดียวกับที่เราจับตาดูพวกเขาเพื่อถอนรากถอนโคนและรื้อโค่น คว่ำทลาย ล้างผลาญและนำภัยพิบัติมา เราก็จะจับตาดูเขาเพื่อปลูกและสร้างขึ้น”องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

29 “เมื่อถึงเวลานั้นผู้คนจะเลิกพูดว่า

“ ‘พ่อกินองุ่นเปรี้ยว

ลูกๆ ก็เข็ดฟัน’

30 เพราะแต่ละคนจะตายเพราะบาปของตนเอง ใครกินองุ่นเปรี้ยว คนนั้นก็เข็ดฟัน”

31 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง

เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่

กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล

และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์

32 เป็นพันธสัญญาซึ่งไม่เหมือนพันธสัญญา

ที่เราได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา

เมื่อเราจูงมือพวกเขา

นำออกมาจากดินแดนอียิปต์

เพราะพวกเขาละเมิดพันธสัญญาที่ทำไว้กับเรา

ทั้งๆ ที่เราเป็นเจ้านายของพวกเขา”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

33 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล

หลังจากสมัยนั้น

คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา

จารึกบนหัวใจของพวกเขา

เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา

และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา

34 ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน

หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’

เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา

ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

“เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา

และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

35 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงตั้งดวงอาทิตย์

ให้ส่องแสงยามกลางวัน

ผู้ทรงบัญชาดวงจันทร์และดวงดาว

ให้ส่องแสงยามกลางคืน

ผู้ทรงกวนทะเล

จนคลื่นคำรามกึกก้อง

ทรงพระนามว่า พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

36 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

“ตราบใดที่กฎเกณฑ์ธรรมชาติเหล่านี้ยังไม่ลับหายไปต่อหน้าเรา

ตราบนั้นวงศ์วานอิสราเอล

จะยังคงเป็นประชาชาติหนึ่งต่อหน้าเราเสมอ”

37 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“ต่อเมื่อฟ้าสวรรค์เบื้องบนหยั่งถึงได้

และฐานรากของโลกเบื้องล่างถูกค้นพบ

เราจึงจะละทิ้งวงศ์วานอิสราเอล

เพราะทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำ”

องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

38 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “วันเวลาจะมาถึง เมื่อกรุงนี้จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่เพื่อเรา ตั้งแต่หอคอยฮานันเอลถึงประตูมุม

39 สายวัดจะขึงตรงจากที่นั่นจดเนินเขากาเรบ แล้วเลี้ยวไปยังโกอาห์

40 ทั่วทั้งหุบเขาซึ่งเป็นที่ทิ้งซากศพและเถ้าถ่าน ตลอดจนลาดเขาต่างๆ สู่หุบเขาขิดโรนทางฟากตะวันออก ไปจนถึงมุมประตูม้าจะบริสุทธิ์แด่องค์พระผู้เป็นเจ้ากรุงนี้จะไม่ถูกถอนรากถอนโคนหรือล้มล้างอีกต่อไป”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/31-b003f8f781bd73b03350b1f867dc14aa.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 32

เยเรมีย์ซื้อที่ดิน

1 นี่เป็นพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในปีที่สิบของรัชกาลกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ ซึ่งเป็นปีที่สิบแปดของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

2 ขณะนั้นกองทัพของกษัตริย์บาบิโลนกำลังล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ส่วนผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ถูกกักตัวไว้ในลานทหารรักษาพระองค์ในพระราชวังของกษัตริย์ยูดาห์

3 กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ให้คุมขังเยเรมีย์ไว้ที่นั่น พระองค์ตรัสว่า “เหตุใดเจ้าจึงพยากรณ์เช่นนั้น? เจ้าพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรากำลังจะมอบกรุงนี้ให้กษัตริย์บาบิโลนยึดครอง

4 กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์จะหนีไม่พ้นเงื้อมมือของชาวบาบิโลนแต่จะตกอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์บาบิโลนอย่างแน่นอน เขาจะได้เห็นเนบูคัดเนสซาร์กับตาและจะได้พูดกันซึ่งๆ หน้า

5 เนบูคัดเนสซาร์จะนำตัวเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และเขาต้องอยู่ที่นั่นจวบจนวันที่เราจัดการกับเนบูคัดเนสซาร์’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘ถ้าเจ้าต่อสู้กับทัพบาบิโลน เจ้าจะไม่ชนะ’ ”

6 เยเรมีย์กล่าวว่า “พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าดังนี้ว่า

7 ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าคือฮานัมเอลบุตรชัลลูมจะมาหาเจ้าและกล่าวว่า ‘ขอให้ท่านซื้อที่นาของข้าพเจ้าในเมืองอานาโธท ท่านมีสิทธิและหน้าที่ที่จะซื้อเอาไว้ในฐานะญาติที่สนิทที่สุด’

8 “แล้วฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าก็มาเยี่ยมข้าพเจ้าที่ลานทหารรักษาพระองค์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ และกล่าวว่า ‘ขอให้ซื้อที่นาของข้าพเจ้าในอานาโธทเขตเบนยามินเถิด เพราะท่านมีสิทธิ์ไถ่และครอบครอง ขอให้ซื้อไว้เป็นของท่าน’

“ข้าพเจ้ารู้แน่ว่านี่คือพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า

9 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงซื้อที่ดินผืนนั้นจากฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้า และชั่งเงินหนัก 17 เชเขลให้เขา

10 ข้าพเจ้าลงชื่อและประทับตราในสัญญาซื้อขายต่อหน้าพยาน แล้วเอาเงินมาชั่งจ่ายให้เขา

11 แล้วข้าพเจ้าหยิบสัญญาที่ประทับตราแล้วซึ่งระบุเงื่อนไขและข้อกำหนดต่างๆ พร้อมทั้งสำเนาซึ่งไม่ได้ประทับตรา

12 ข้าพเจ้ายื่นเอกสารเหล่านี้ให้แก่บารุคบุตรเนริยาห์ซึ่งเป็นบุตรของมาอาเสอาห์ ต่อหน้าฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้าและพยานทั้งหลายที่ได้ลงนามในสัญญา และต่อหน้าชาวยิวทั้งปวงที่นั่งอยู่ในลานทหารรักษาพระองค์

13 “แล้วข้าพเจ้ากล่าวกำชับบารุคต่อหน้าคนเหล่านั้นว่า

14 ‘พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า จงนำเอกสารเหล่านี้ทั้งสัญญาซื้อขายที่ประทับตราแล้วกับสำเนาเก็บไว้ในไหเพื่อจะคงทนอยู่ได้นาน

15 เพราะพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า บ้านเรือน ที่นา และสวนองุ่นจะมีการซื้อขายกันอีกในแผ่นดินนี้’

16 “หลังจากที่มอบสัญญาซื้อขายให้แก่บารุคบุตรเนริยาห์แล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

17 “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพระกรที่เหยียดออก ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับพระองค์

18 พระองค์ทรงแสดงความรักต่อคนนับพัน แต่ทรงนำโทษทัณฑ์เพราะบาปทั้งหลายของบิดาให้ตกอยู่แก่ลูกหลานของเขา ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธานุภาพ ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

19 พระดำริของพระองค์ยิ่งใหญ่ พระราชกิจของพระองค์เกรียงไกร ทุกวิถีทางของมนุษย์ก็ประจักษ์แจ้งต่อพระเนตรของพระองค์ ทรงปูนบำเหน็จแก่ทุกคนตามควรแก่ความประพฤติและการกระทำของเขา

20 พระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ต่างๆ ในอียิปต์และยังทรงกระทำมาจนถึงทุกวันนี้ทั้งในอิสราเอลและท่ามกลางมวลมนุษยชาติ ทำให้พระกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือจวบจนทุกวันนี้

21 ทรงนำอิสราเอลประชากรของพระองค์ออกจากอียิปต์ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออก ด้วยความน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

22 พระองค์ประทานดินแดนนี้แก่อิสราเอลตามที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา เป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง

23 อิสราเอลเข้ามาครอบครองดินแดนแห่งนี้ แต่ไม่ได้เชื่อฟังพระองค์ ไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติและคำบัญชาของพระองค์ ฉะนั้นพระองค์จึงทรงนำภัยพิบัติทั้งหมดนี้มาเหนือพวกเขา

24 “ดูเถิด เชิงเทินถูกสร้างขึ้นเพื่อเข้ายึดเมือง เนื่องจากสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด กรุงนี้จะตกเป็นของชาวบาบิโลนซึ่งกำลังโจมตีเมือง เป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้ ดังที่ทรงทอดพระเนตรเห็นอยู่ขณะนี้

25 แต่ถึงแม้กรุงนี้จะตกเป็นของชาวบาบิโลน พระองค์ผู้ทรงเป็นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตก็ยังคงตรัสกับข้าพระองค์ว่า ‘จงจ่ายเงินซื้อที่ดินต่อหน้าพยาน’ ”

26 แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

27 “เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของมวลมนุษยชาติ มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับเราหรือ?

28 ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เรากำลังจะยกกรุงนี้ให้แก่ชาวบาบิโลนและกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนซึ่งจะพิชิตกรุงนี้

29 ชาวบาบิโลนซึ่งมาโจมตีจะเข้ามาจุดไฟเผากรุงและเผาผลาญบ้านเรือนที่ผู้คนเคยใช้ดาดฟ้าเป็นที่เผาเครื่องหอมถวายพระบาอัล และเป็นที่เทเครื่องดื่มบูชาสังเวยพระอื่นๆ อันเป็นการยั่วยุโทสะของเรา

30 “ชาวอิสราเอลและยูดาห์เอาแต่ทำชั่วต่อหน้าต่อตาเรานับตั้งแต่เยาว์วัย แท้จริงประชากรอิสราเอลไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดเว้นแต่ได้ยั่วโทสะเราด้วยสิ่งชั่วร้ายที่พวกเขาทำองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

31 นับตั้งแต่วันที่สร้างขึ้นจวบจนบัดนี้ กรุงนี้ได้ยั่วโทสะเราจนเราต้องกำจัดให้พ้นหน้าเรา

32 ประชากรอิสราเอลและยูดาห์ ไม่ว่ากษัตริย์ ข้าราชบริพาร ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ ชาวยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็มล้วนแต่ยั่วโทสะเราด้วยความชั่วช้าทั้งสิ้นที่เขาทำ

33 เขาหันหลังให้เรา ไม่ใช่หันหน้ามาหาเรา แม้เราสอนเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมรับการตีสั่งสอน

34 เขาตั้งเทวรูปอันน่าสะอิดสะเอียนไว้ในนิเวศซึ่งใช้ชื่อของเรา ทำให้นิเวศนี้เป็นมลทิน

35 เขาสร้างสถานบูชาบนที่สูงสำหรับพระบาอัลในหุบเขาเบนฮินโนม เพื่อบูชายัญลูกชายลูกสาวของเขาแก่พระโมเลค ทั้งๆ ที่เราไม่เคยสั่งและไม่เคยอยู่ในความคิดของเราว่าเขาจะทำสิ่งที่น่าเกลียดชังถึงเพียงนั้น และทำให้ยูดาห์ทำบาป

36 “พระองค์ตรัสถึงเมืองนี้ว่า ‘เราจะให้มันตกเป็นของกษัตริย์บาบิโลนด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด’ แต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า

37 เราจะนำประชากรของเราจากดินแดนต่างๆ ซึ่งเราเนรเทศเขาออกไปด้วยความโกรธกริ้วและด้วยโทสะแรงกล้า เราจะนำพวกเขากลับมาที่นี่ และให้เขายังชีพอยู่ด้วยความปลอดภัยอย่างแน่นอน

38 เขาจะเป็นประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา

39 เราจะให้เขาร่วมกายร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวที่จะยำเกรงเราเสมอ เพื่อประโยชน์สุขของเขาเองและของลูกหลานที่สืบต่อมา

40 เราจะตั้งพันธสัญญานิรันดร์กับเขา คือเราจะทำสิ่งที่ดีงามแก่เขาอย่างไม่ลดละ เราจะดลใจเขาให้ยำเกรงเรา เพื่อเขาจะไม่หันหนีจากเราอีกเลย

41 เราจะชื่นชมยินดีที่ได้ทำดีต่อเขา และจะปลูกเขาไว้ในดินแดนนี้ด้วยสุดจิตสุดใจของเราอย่างแน่นอน

42 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เช่นเดียวกับที่เราได้นำหายนะร้ายแรงทั้งปวงมาเหนือชนชาตินี้ เราก็จะอำนวยความเจริญรุ่งเรืองทั้งปวงที่เราสัญญาไว้กับพวกเขา

43 จะมีการซื้อขายที่ดินกันอีกครั้งในดินแดนแห่งนี้ซึ่งพวกเจ้ากล่าวกันว่า ‘ดินแดนนี้เป็นที่ถูกทิ้งร้าง ไม่มีมนุษย์หรือสัตว์อาศัยอยู่ เพราะตกอยู่ในมือของชาวบาบิโลน’

44 จะมีการจ่ายเงินซื้อขายที่ดิน จะมีการลงนามประทับตราและมีพยานรับรองสัญญาในเขตแดนเบนยามิน ในหมู่บ้านต่างๆ รอบกรุงเยรูซาเล็ม ในหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ ในดินแดนเทือกเขา เชิงเขาด้านตะวันตกและในเนเกบ เพราะเราจะให้พวกเขากลับสู่สภาพดีดังเดิมองค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/32-428b8f02bbaf5aa2bab3d4a0443493ee.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 33

พระสัญญาว่าจะให้กลับสู่สภาพดี

1 ขณะที่เยเรมีย์ยังถูกกักตัวอยู่ที่ลานทหารรักษาพระองค์ พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเขาเป็นครั้งที่สองว่า

2 “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างโลก ผู้ทรงกำหนดรูปร่างและทรงสถาปนามันไว้ ผู้ทรงพระนามว่าพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้

3 ‘จงร้องเรียกเราและเราจะตอบเจ้า และจะบอกถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่เจ้าไม่รู้ และไม่อาจค้นพบได้นั้นแก่เจ้า’

4 ด้วยว่าพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสเกี่ยวกับบ้านเรือนในกรุงนี้และพระราชวังของกษัตริย์ยูดาห์ซึ่งถูกรื้อลงเพื่อใช้ต้านเชิงเทินและดาบ

5 ในการต่อสู้กับชาวบาบิโลนนั้นว่า ‘สถานที่เหล่านี้จะเต็มไปด้วยซากศพของผู้ที่เราประหารด้วยความโกรธและด้วยโทสะของเรา เราจะเบือนหน้าหนีกรุงนี้เพราะความชั่วร้ายทั้งปวงของมัน

6 “ ‘อย่างไรก็ตามเราจะนำสุขภาพที่ดีและการบำบัดรักษามายังกรุงนี้ เราจะรักษาประชากรของเรา และจะให้พวกเขาชื่นชมกับสันติสุขและความมั่นคงอย่างล้นเหลือ

7 เราจะนำยูดาห์และอิสราเอลกลับมาจากการเป็นเชลยและเราจะสร้างพวกเขาขึ้นใหม่ให้เหมือนแต่ก่อน

8 เราจะชำระล้างพวกเขาจากบาปทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำต่อเรา และให้อภัยบาปทั้งหมดที่พวกเขาได้กบฏต่อเรา

9 แล้วกรุงนี้จะนำเกียรติ ความชื่นชมยินดี และคำสรรเสริญมาให้เราต่อหน้ามวลประชาชาติในโลกที่ได้ยินสิ่งดีงามทั้งปวงที่เราทำเพื่อกรุงนี้ พวกเขาจะยำเกรงจนตัวสั่นเมื่อได้เห็นความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขอันไพบูลย์ซึ่งเราให้แก่กรุงนี้’

10 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้ากล่าวถึงสถานที่แห่งนี้ว่า “เป็นแดนร้าง ไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่” แต่ในหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์และตามถนนหนทางของเยรูซาเล็มซึ่งถูกทิ้งร้างและไม่มีทั้งคนหรือสัตว์อาศัยอยู่จะมีเสียงให้ได้ยินอีกครั้ง

11 คือเสียงรื่นเริงยินดี เสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาว เสียงบรรดาผู้นำเครื่องบูชาขอบพระคุณมายังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า

“ ‘ “ขอบพระคุณพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประเสริฐ

ความรักของพระองค์ดำรงนิรันดร์”

เพราะเราจะคืนความเจริญรุ่งเรืองแก่กรุงนี้เหมือนแต่ก่อน’องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

12 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า ‘แผ่นดินนี้ซึ่งถูกทิ้งร้างและปราศจากคนและสัตว์ จะมีทุ่งหญ้าในทุกหัวเมืองอีกครั้ง ให้คนเลี้ยงแกะพาฝูงแพะแกะมานอนพักอยู่

13 ในเมืองต่างๆ ของแถบเทือกเขา เชิงเขาด้านตะวันตก เนเกบ ในเขตแดนของเบนยามิน เขตชานกรุงเยรูซาเล็ม และในหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ จะมีฝูงแพะแกะผ่านไปใต้มือของคนเลี้ยงเพื่อจะนับพวกมันอีกครั้งหนึ่ง’องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนั้น

14 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘วันนั้นจะมาถึง เมื่อเราจะทำตามพันธสัญญาที่เต็มไปด้วยพระคุณซึ่งเราได้ให้ไว้แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์

15 “ ‘เมื่อถึงเวลานั้น เราจะให้กิ่งอันชอบธรรม

ออกมาจากเชื้อสายของดาวิด

เขาจะผดุงความถูกต้องและเที่ยงธรรมในดินแดน

16 เมื่อถึงเวลานั้น ยูดาห์จะได้รับความรอด

และเยรูซาเล็มจะอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย

ผู้นั้นจะได้รับการขนานนามว่า

พระยาห์เวห์ผู้ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา’

17 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ดาวิดจะไม่ขาดคนครองบัลลังก์ของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

18 ทั้งปุโรหิตซึ่งอยู่ในเผ่าเลวีก็จะไม่ขาดคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา เพื่อถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และเครื่องถวายอื่นๆ’ ”

19 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

20 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘หากเจ้าเลิกล้มพันธสัญญาที่เรามีต่อกลางวันและกลางคืน จนทำให้วันและคืนไม่ได้มาถึงตามกำหนดเวลาปกติได้

21 เมื่อนั้นคำมั่นสัญญาของเราที่ให้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราและแก่ชนเลวีซึ่งเป็นปุโรหิตปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าเรา ก็จะเลิกล้มได้เช่นกัน และดาวิดก็จะไม่มีเชื้อสายที่จะครองบัลลังก์ของเขาอีก

22 เราจะทำให้วงศ์วานของดาวิดผู้รับใช้ของเราและชนเลวีซึ่งปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าเรานั้นมีจำนวนเกินกว่าจะนับได้ ดั่งดวงดาวในท้องฟ้าและเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล’ ”

23 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

24 “เจ้าไม่ได้สังเกตหรือว่าคนเหล่านี้พูดกันว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งสองอาณาจักรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว’? เขาจึงดูหมิ่นประชากรของเรา ไม่ยอมรับเป็นชาติหนึ่งอีกต่อไป

25 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘หากเราไม่ได้สถาปนาพันธสัญญาที่เรามีต่อกลางวันและกลางคืน และไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ของฟ้าสวรรค์และโลกไว้

26 เมื่อนั้นเราจึงจะทอดทิ้งวงศ์วานของยาโคบและดาวิดผู้รับใช้ของเรา และจะไม่เลือกบุตรคนหนึ่งของเขาขึ้นปกครองวงศ์วานของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ เพราะเราจะให้พวกเขากลับสู่สภาพดีดังเดิมและจะเมตตาสงสารเขา’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/33-481b5cec784d717d20ed4ac755c69de3.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 34

พระดำรัสเตือนเศเดคียาห์

1 ขณะที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนและกองทัพของพระองค์กับมวลอาณาจักรและประชาชนในจักรวรรดิที่ทรงปกครองกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและหัวเมืองต่างๆ โดยรอบ ก็มีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ความว่า

2 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เรากำลังจะยกเมืองนี้ให้กษัตริย์บาบิโลน และเขาจะเผามันเสีย

3 เจ้าจะหนีไม่พ้นมือเขา แต่จะถูกจับกุมตัวไปให้เขาอย่างแน่นอน เจ้าจะเห็นกษัตริย์บาบิโลนกับตา และเขาจะพูดกับเจ้าซึ่งๆ หน้าและเจ้าจะไปยังบาบิโลน

4 “ ‘แต่จงฟังพระสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด กษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์เอ๋ยองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเกี่ยวกับเจ้าดังนี้ว่า เจ้าจะไม่ตายเพราะสงคราม

5 เจ้าจะตายอย่างสงบสุข และประชาชนจะเผาเครื่องหอมเป็นเกียรติแก่เจ้าเหมือนที่ได้ทำแก่บรรพบุรุษของเจ้าซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ก่อนเจ้า เขาจะร่ำไห้อาลัยเจ้าว่า “โอ้ อนิจจา กษัตริย์ของเรา!” เราเองได้สัญญาไว้องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’ ”

6 แล้วผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์จึงทูลทุกอย่างต่อกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์ในเยรูซาเล็ม

7 ขณะที่กองทัพบาบิโลนกำลังสู้รบกับเยรูซาเล็มและสู้รบกับลาคิชและอาเซคาห์ซึ่งเป็นหัวเมืองป้อมปราการที่ยังคงต่อสู้อยู่ในยูดาห์

เสรีภาพสำหรับทาส

8 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์หลังจากที่กษัตริย์เศเดคียาห์ทรงทำสัญญากับประชาชนในเยรูซาเล็มว่าจะประกาศให้เสรีภาพแก่ทาสทั้งปวง

9 ให้ทุกคนปล่อยทาสฮีบรู ไม่ว่าชายหรือหญิง อย่าให้ผู้ใดทำให้ชาวยิวซึ่งเป็นพี่น้องร่วมชาติตกเป็นทาส

10 ดังนั้นบรรดาข้าราชบริพารและประชาชนทั้งปวงที่เข้าร่วมในพันธสัญญานี้จึงเห็นพ้องต้องกันที่จะปลดปล่อยทาสชายหญิงของตนให้พ้นจากข้อผูกมัดทุกประการ

11 แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนใจ และจับทาสที่ปล่อยเป็นไทแล้วกลับมาเป็นทาสอีก

12 ฉะนั้นจึงมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

13 “พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า เราได้ทำพันธสัญญากับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเมื่อเรานำคนเหล่านั้นออกมาจากอียิปต์ซึ่งเป็นดินแดนทาส เราสั่งไว้ว่า

14 ‘ทุกปีที่เจ็ดพวกเจ้าทุกคนต้องปลดปล่อยพี่น้องชาวฮีบรูซึ่งขายตัวเองเป็นทาสของเจ้า หลังจากที่เขารับใช้เจ้ามาตลอดหกปีแล้ว พวกเจ้าต้องปล่อยเขาเป็นไท’แต่บรรพบุรุษของเจ้าทั้งหลายไม่ยอมใส่ใจ ไม่ยอมฟังคำของเรา

15 เมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าสำนึกผิดและทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา เจ้าแต่ละคนประกาศให้เสรีภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของตน เจ้าถึงกับทำสัญญาต่อหน้าเราในวิหารซึ่งใช้นามของเรา

16 แต่บัดนี้เจ้ากลับคำและลบหลู่นามของเรา พวกเจ้าแต่ละคนบังคับทาสชายหญิงซึ่งเจ้าได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระและให้ไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบนั้น กลับมาเป็นทาสของเจ้าอีก

17 “ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า เจ้าไม่ได้เชื่อฟังเรา ไม่ได้ประกาศให้อิสรภาพแก่พี่น้องร่วมชาติของเจ้า ดังนั้นเราขอประกาศให้ ‘เสรีภาพ’ แก่เจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘เสรีภาพ’ที่จะล้มตายด้วยสงคราม โรคระบาด และการกันดารอาหาร เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์แก่มวลอาณาจักรในโลกนี้

18 ผู้ที่ละเมิดพันธสัญญาของเรา และไม่ทำตามข้อกำหนดของพันธสัญญาซึ่งให้ไว้ต่อหน้าเรา เราจะปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนวัวที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนและเดินผ่ากลาง

19 บรรดาผู้นำของยูดาห์และเยรูซาเล็ม ข้าราชสำนัก ปุโรหิต และประชากรทั้งปวง ที่เดินผ่ากลางสองท่อนของวัวนั้น

20 เราจะมอบพวกเขาให้แก่ศัตรูผู้หมายเอาชีวิตของพวกเขา ซากศพของพวกเขาจะตกเป็นเหยื่อของสัตว์ป่าและนกในอากาศ

21 “เราจะมอบกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์และข้าราชบริพารของเขาแก่ศัตรูผู้ที่มุ่งเอาชีวิตเขาแก่กองทัพกษัตริย์บาบิโลน ซึ่งได้ถอนทัพไปจากพวกเจ้า

22 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่าเราจะออกคำสั่งและเราจะนำพวกเขากลับมากรุงนี้อีก พวกเขาจะมาต่อสู้ เอาชนะและเผาเมืองเสีย เราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครอาศัยอยู่”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/34-c9c12e2d16e5bd3167aef97556b02635.mp3?version_id=179—

Categories
เยเรมีย์

เยเรมีย์ 35

ตระกูลเรคาบ

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ในรัชกาลเยโฮยาคิม โอรสกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ว่า

2 “จงไปหาคนตระกูลเรคาบ และเชื้อเชิญพวกเขามายังห้องเฉลียงห้องหนึ่งในพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเอาเหล้าองุ่นให้เขาดื่ม”

3 ข้าพเจ้าจึงไปหายาอาซันยาห์บุตรของเยเรมีย์ บุตรของฮาบาซซินยาห์ พาเขากับพี่น้องและลูกชายทั้งหมดมา คือคนในครอบครัวของเรคาบทั้งหมด

4 ข้าพเจ้าพาพวกเขามายังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเชิญเข้าในห้องของบุตรทั้งหลายของฮานันบุตรอิกดาลิยาห์คนของพระเจ้า ซึ่งอยู่ถัดจากห้องพักของข้าราชการ เหนือห้องของมาอาเสอาห์บุตรชัลลูมนายประตู

5 แล้วข้าพเจ้าวางถ้วยและเหยือกเหล้าองุ่นต่อหน้าคนตระกูลเรคาบ และกล่าวกับพวกเขาว่า “เชิญดื่มเหล้าองุ่นเถิด”

6 แต่พวกเขาตอบว่า “พวกข้าพเจ้าไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะบรรพบุรุษคือโยนาดับบุตรเรคาบสั่งไว้ว่า ‘ไม่ว่าเจ้าหรือลูกหลานของเจ้าจะต้องไม่ดื่มเหล้าองุ่นเป็นอันขาด

7 และเจ้าจะต้องไม่ปลูกสร้างเรือน หว่านเมล็ดพืช หรือทำสวนองุ่นด้วย อย่ามีสิ่งเหล่านี้เลย แต่จงอาศัยอยู่ในเต็นท์เสมอ แล้วเจ้าจะมีชีวิตยืนนานในดินแดนซึ่งเจ้าเป็นชนเร่ร่อน’

8 พวกข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติตามทุกอย่างที่บรรพบุรุษโยนาดับบุตรเรคาบสั่งไว้ ไม่ว่าพวกข้าพเจ้าเอง หรือภรรยา หรือบุตรชายบุตรสาว ล้วนไม่เคยดื่มเหล้าองุ่น

9 หรือปลูกสร้างเรือนเพื่ออยู่อาศัย หรือมีที่ดิน สวนองุ่น หรือพืชผล

10 ได้แต่อาศัยอยู่ในเต็นท์และปฏิบัติตามทุกสิ่งที่บรรพบุรุษโยนาดับสั่งไว้

11 แต่เมื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนบุกโจมตีดินแดนนี้ พวกข้าพเจ้าพูดกันว่า ‘มาเถิด ให้เราหนีจากกองทัพของชาวบาบิโลนและอารัมไปยังเยรูซาเล็มเถิด’ ฉะนั้นพวกข้าพเจ้าจึงได้มาอยู่ในเยรูซาเล็มนี้”

12 แล้วมีพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงเยเรมีย์ว่า

13 “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงไปบอกชาวยูดาห์และเยรูซาเล็มว่า ‘พวกเจ้าไม่ได้เรียนรู้และปฏิบัติตามถ้อยคำของเราหรือ?’องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า

14 ‘โยนาดับบุตรเรคาบสั่งลูกๆ ของตนไว้ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น และพวกเขาก็ทำตามคำสั่ง พวกเขาไม่ยอมดื่มเหล้าองุ่นจวบจนทุกวันนี้ เพราะทำตามคำสั่งของบรรพบุรุษ ส่วนเราได้พูดกับพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟังเรา

15 เราส่งผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเราคนแล้วคนเล่ามาหาพวกเจ้า ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นกล่าวว่า “เจ้าแต่ละคนต้องหันหนีจากวิถีอันชั่วร้ายและแก้ไขความประพฤติของตน อย่าไปติดตามหรือปรนนิบัติพระต่างๆ แล้วเจ้าจะอาศัยอยู่ในดินแดนซึ่งเรายกให้แก่เจ้ากับบรรพบุรุษของเจ้า” แต่เจ้าก็ไม่ยอมใส่ใจ ไม่ยอมฟังเรา

16 ลูกหลานของโยนาดับบุตรเรคาบ ปฏิบัติตามคำสั่งของบรรพบุรุษ แต่ประชากรเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟังเรา’

17 “ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงฟัง เราจะนำภัยพิบัติทั้งปวงที่เราประกาศไว้นั้นมายังยูดาห์และชาวกรุงเยรูซาเล็ม เราพูดกับพวกเขาแต่เขาก็ไม่ฟัง เราร้องเรียกแต่เขาก็ไม่ขานรับ’ ”

18 แล้วเยเรมีย์กล่าวแก่คนตระกูลเรคาบว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘พวกเจ้าได้ปฏิบัติตามคำสั่งของโยนาดับบรรพบุรุษของพวกเจ้าครบถ้วนทุกประการ’

19 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘โยนาดับบุตรเรคาบจะไม่ขาดคนที่จะปรนนิบัติเรา’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/JER/35-8274ad4a16515bf19dfd17874ada64ed.mp3?version_id=179—