Categories
เพลงคร่ำครวญ

เพลงคร่ำครวญ 4

1 ทองคำหมดความสุกปลั่งเสียแล้วหนอ

ทองบริสุทธิ์มัวหมองไปเสียแล้ว!

อัญมณีศักดิ์สิทธิ์กระจัดกระจายเกลื่อนกลาด

อยู่ทุกหัวถนน

2 เหตุใดบรรดาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนแห่งศิโยนซึ่งเคยสูงค่าเทียบทองเนื้อเก้า

จึงถูกตีราคาเพียงหม้อดิน

ฝีมือช่างปั้น!

3 แม้หมาในยังให้นม

ฟูมฟักลูกของมัน

แต่พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้ากลับใจไม้ไส้ระกำ

เหมือนนกกระจอกเทศในทะเลทราย

4 ทารกลิ้นแห้งคับเพดานปาก

เพราะความหิวกระหาย

เด็กๆ ร้องขออาหาร

แต่ไม่มีใครหยิบยื่นให้

5 บรรดาผู้ที่เคยกินอาหารชั้นเลิศ

บัดนี้สิ้นเนื้อประดาตัวอยู่ตามถนน

บรรดาผู้ที่เคยนุ่งห่มอาภรณ์สีม่วงล้ำค่า

บัดนี้นอนคลุกกองขี้เถ้า

6 โทษทัณฑ์ของพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า

ใหญ่หลวงกว่าโทษทัณฑ์ของโสโดม

ซึ่งถูกคว่ำทลายในชั่วพริบตา

โดยไม่มีใครยื่นมือเข้าไปช่วย

7 บรรดาเจ้าใหญ่นายโตของเราผุดผ่องยิ่งกว่าหิมะ

ขาวยิ่งกว่าน้ำนม

ร่างกายของพวกเขาเปล่งปลั่งยิ่งกว่าทับทิม

รูปร่างหน้าตาสง่างามดั่งอัญมณี

8 แต่บัดนี้ผิวพรรณของพวกเขาหมองคล้ำยิ่งกว่าเขม่า

เขาอยู่ตามถนนโดยไม่มีใครจำได้

หนังของเขาเหี่ยวหุ้มกระดูก

ซูบผอมราวไม้เสียบผี

9 บรรดาคนที่ถูกปลิดชีวิตด้วยคมดาบ

ก็ยังดีกว่าคนที่ตายเพราะความอดอยาก

ทุกข์ทรมานเพราะความหิวโหย

ตายไปอย่างช้าๆ เพราะขาดธัญญาหาร

10 บรรดาหญิงผู้มีใจอ่อนโยน

จับลูกในไส้มาต้มกิน

ในช่วงที่ชนชาติของเรา

ถูกทำลายล้าง

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระบาย

พระพิโรธอันรุนแรงออกมาเต็มที่

ทรงจุดไฟขึ้นในศิโยน

เผาผลาญฐานรากทั้งหลายของเมืองนี้จนวอดวาย

12 ไม่มีกษัตริย์องค์ไหน

ไม่มีชนชาติใดทั่วโลกนี้เชื่อว่า

ข้าศึกศัตรูจะสามารถล่วงล้ำ

ผ่านประตูเยรูซาเล็มเข้ามาได้

13 แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว เพราะบาปของเหล่าผู้เผยพระวจนะ

และความชั่วช้าของเหล่าปุโรหิต

ซึ่งทำให้โลหิตของคนชอบธรรม

ไหลนองอยู่กลางกรุง

14 บัดนี้พวกเขาเดินคลำสะเปะสะปะไปตามถนน

เหมือนคนตาบอด

เนื้อตัวแปดเปื้อนเลือด

จนไม่มีใครกล้าแตะต้องเสื้อผ้าของพวกเขา

15 ผู้คนตะโกนใส่พวกเขาว่า “ไปให้พ้นนะ! เจ้าคนมีมลทิน!

ไปให้พ้น ไปให้พ้น อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวเรา!”

เมื่อเขาหนีร่อนเร่ไป

ผู้คนท่ามกลางประชาชาติต่างๆ บอกกันว่า

“เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”

16 องค์พระผู้เป็นเจ้านี่แหละทรงกระจายพวกเขาไป

พระองค์ไม่ทรงดูแลพวกเขาอีก

เหล่าปุโรหิตไม่เป็นที่เคารพนับถือ

เหล่าผู้อาวุโสไม่เป็นที่ชื่นชอบ

17 ยิ่งกว่านั้นตาของเราอ่อนล้า

ในการเสาะหาความช่วยเหลืออย่างเปล่าประโยชน์

เราเฝ้ามองจากหอคอย

หาชนชาติหนึ่งซึ่งช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้

18 ผู้คนสะกดรอยตามเราทุกฝีก้าว

จนเราเดินไปตามถนนของเราไม่ได้

จุดจบของเราใกล้เข้ามา วันเวลาของเราใกล้จะครบกำหนด

เพราะจุดจบของเรามาถึงแล้ว

19 คนที่ตามล่าเราว่องไว

ยิ่งกว่านกอินทรีในท้องฟ้า

พวกเขารุกไล่เราบนภูเขาต่างๆ

และซุ่มดักเราอยู่ในถิ่นกันดาร

20 เจ้าชีวิตของเราผู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมตั้งไว้นั้น

ติดอยู่ในกับดักของพวกเขา

เราเคยคิดว่าใต้ร่มบารมีของกษัตริย์

เราจะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางชนชาติต่างๆ

21 ธิดาแห่งเอโดมเอ๋ย ผู้อาศัยในดินแดนอูส

กระหยิ่มยิ้มย่องไปเถิด

แต่ถ้วยแห่งพระพิโรธก็จะเวียนไปถึงเจ้าเช่นกัน

เจ้าจะเมามายและเปลือยล่อนจ้อน

22 ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย โทษทัณฑ์ของเจ้าจะจบสิ้น

พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตกเป็นเชลยอยู่ช้านาน

แต่ธิดาแห่งเอโดมเอ๋ย พระองค์จะทรงลงโทษบาปของเจ้า

และเปิดโปงความชั่วร้ายของเจ้า

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/4-c31c7eb1d8693aca2a046f4f77be935a.mp3?version_id=179—

Categories
เพลงคร่ำครวญ

เพลงคร่ำครวญ 5

1 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลาย

ขอโปรดทอดพระเนตรดูความอัปยศอดสูของข้าพระองค์ทั้งหลาย

2 มรดกของข้าพระองค์ทั้งหลายตกไปเป็นของคนต่างด้าว

เหย้าเรือนของข้าพระองค์ทั้งหลายตกเป็นของคนต่างชาติ

3 ข้าพระองค์ทั้งหลายกลายเป็นลูกกำพร้า เป็นลูกไม่มีพ่อ

แม่ของข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนแม่ม่าย

4 ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องซื้อน้ำไว้ดื่ม

ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องซื้อฟืนไว้ใช้

5 ผู้รุกไล่ตามติดส้นเท้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย

ข้าพระองค์ทั้งหลายอ่อนระโหยและไม่ได้พักผ่อน

6 ข้าพระองค์ทั้งหลายยอมจับมือกับอียิปต์และอัสซีเรีย

เพื่อให้มีอาหารพอกิน

7 บรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายทำบาปและตายไปแล้ว

ส่วนข้าพระองค์ทั้งหลายต้องมารับโทษแทน

8 พวกทาสปกครองข้าพระองค์ทั้งหลาย

และไม่มีใครช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกเขา

9 ข้าพระองค์ทั้งหลายต้องเสี่ยงชีวิตในถิ่นกันดาร

เพื่อให้มีอาหารกิน

10 ผิวหนังของข้าพระองค์ทั้งหลายร้อนผ่าวเหมือนเตาผิง

ระบมไข้เพราะความหิวโหย

11 พวกผู้หญิงถูกข่มขืนในศิโยน

และสาวพรหมจารีในหัวเมืองของยูดาห์ถูกย่ำยี

12 บรรดาเจ้านายถูกมัดมือแขวนไว้

พวกผู้อาวุโสไม่ได้รับความเคารพนับถือ

13 คนหนุ่มๆ ถูกเกณฑ์ไปโม่แป้ง

เด็กๆ แบกฟืนล้มลุกคลุกคลาน

14 บรรดาผู้อาวุโสไม่นั่งอยู่ที่ประตูเมืองอีกต่อไป

บรรดาคนหนุ่มก็เลิกบรรเลงเพลง

15 ความชื่นชมยินดีหายลับไปจากใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย

การเต้นรำของข้าพระองค์ทั้งหลายกลับกลายเป็นการคร่ำครวญ

16 มงกุฎร่วงหล่นไปจากศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย

วิบัติแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาป!

17 เพราะสิ่งเหล่านี้ ดวงใจของข้าพระองค์ทั้งหลายจึงอ่อนระโหย

ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายจึงพร่ามัว

18 เนื่องด้วยภูเขาศิโยนซึ่งเริศร้าง

เป็นที่เพ่นพ่านของฝูงหมาใน

19 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์

พระบัลลังก์ของพระองค์ยั่งยืนตลอดทุกชั่วอายุ

20 เหตุใดพระองค์ทรงลืมข้าพระองค์ทั้งหลายอยู่ร่ำไป?

เหตุใดทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายไปนานถึงเพียงนี้?

21 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอทรงกอบกู้ข้าพระองค์ทั้งหลายกลับคืนสู่พระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะหวนกลับมา

โปรดทรงฟื้นฟูอดีตอันรุ่งเรืองของข้าพระองค์ทั้งหลายกลับคืนมา

22 เว้นเสียแต่ว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์ทั้งหลายไปอย่างสิ้นเชิง

และทรงพระพิโรธข้าพระองค์ทั้งหลายเกินกว่าจะวัดได้

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/LAM/5-5760b416e3e3892c151e0a62f483517f.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 1

สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้า

1 ในวันที่ห้าเดือนที่สี่ปีที่สามสิบขณะที่ข้าพเจ้าอยู่กับเพื่อนเชลยที่ริมแม่น้ำเคบาร์ ฟ้าสวรรค์ได้เปิดออกและข้าพเจ้าเห็นนิมิตจากพระเจ้า

2 ในวันที่ห้าเดือนนั้นเป็นปีที่ห้าซึ่งกษัตริย์เยโฮยาคีนตกเป็นเชลย

3 พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงปุโรหิตเอเสเคียลบุตรบุซีที่ริมแม่น้ำเคบาร์ในดินแดนของชาวบาบิโลนพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือเอเสเคียลที่นั่น

4 ข้าพเจ้ามองดูและเห็นพายุใหญ่พัดมาจากทางเหนือ มีเมฆมหึมาซึ่งรายล้อมด้วยแสงสว่างเจิดจ้าและมีฟ้าแลบแวบวาบอยู่ ใจกลางไฟนั้นดูเหมือนโลหะสุกปลั่ง

5 และในไฟนั้นมีบางสิ่งคล้ายสิ่งมีชีวิตสี่ตน ซึ่งมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายมนุษย์

6 แต่ว่าทุกตนต่างมีสี่หน้าและมีสี่ปีก

7 มีขาเหยียดตรง มีกีบเท้าเหมือนกีบลูกวัว และสุกปลั่งเหมือนทองสัมฤทธิ์ขัดเงา

8 ภายใต้ปีกทั้งสี่ด้าน มีมือเป็นมือมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทั้งสี่นี้มีหน้าและปีก

9 ปีกของมันกางออกจดปีกของกันและกัน เคลื่อนตัวไปในทิศทางใดก็ได้ โดยไม่ต้องหันตัวเลย

10 ทั้งสี่ตนล้วนมีสี่หน้า คือหน้าหนึ่งเป็นมนุษย์ ด้านขวาเป็นหน้าสิงโต ด้านซ้ายเป็นหน้าวัว และด้านหลังเป็นหน้านกอินทรี

11 หน้าของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ก็เป็นเช่นนั้น ทั้งสี่ตนคลี่สองปีกแผ่ขึ้นข้างบน ออกไปจดกับปีกของกันและกัน ส่วนอีกสองปีกปกคลุมลำตัวไว้

12 แต่ละตนมุ่งตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปทางไหน ทั้งสี่ตนก็มุ่งไปทางนั้นโดยไม่ได้หันตัวเลย

13 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนเหมือนถ่านไฟคุโชนหรือเหมือนคบไฟ มีดวงไฟที่สว่างเคลื่อนไปมาท่ามกลางทั้งสี่ตนนี้ และมีแสงแวบวาบออกมาจากดวงไฟนั้น

14 สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนนี้โฉบไปมาดุจสายฟ้าแลบ

15 ขณะที่ข้าพเจ้าจ้องดูสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนนี้ ก็เห็นวงล้อที่พื้น วงล้อแต่ละวงอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตแต่ละตนซึ่งมีสี่หน้า

16 วงล้อมีรูปร่างและโครงสร้างดังนี้ มันส่องประกายคล้ายพลอยสีเขียวอมเหลือง วงล้อทั้งสี่มีสัณฐานเหมือนกัน แต่ละล้อดูเหมือนมีอีกล้อหนึ่งซ้อนขวางอยู่ข้างใน

17 ดังนั้นวงล้อนี้จะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับที่สิ่งมีชีวิตนั้นมุ่งหน้าไปโดยล้อไม่ต้องหันไปมา

18 ขอบวงล้อนั้นสูงและน่ากลัว ขอบวงล้อทั้งสี่มีนัยน์ตาอยู่รอบ

19 เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนเคลื่อนที่ วงล้อซึ่งอยู่ข้างๆ ก็เคลื่อนตาม และเมื่อทั้งสี่ลอยขึ้นจากพื้น วงล้อก็ลอยขึ้นด้วย

20 ไม่ว่าวิญญาณไปที่ไหน ทั้งสี่ตนก็ไปที่นั่น และวงล้อก็ลอยตามไปด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนอยู่ในวงล้อ

21 เมื่อทั้งสี่ตนเคลื่อนที่ วงล้อก็เคลื่อนที่ เมื่อทั้งสี่ตนหยุดนิ่ง วงล้อก็หยุดนิ่งด้วย และเมื่อทั้งสี่ตนลอยขึ้นจากพื้น วงล้อก็ลอยตามขึ้นด้วย เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนอยู่ในวงล้อ

22 เหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนคล้ายผืนฟ้าที่แผ่ออก ส่องประกายเหมือนผลึกน้ำแข็ง ดูน่าเกรงขาม

23 ใต้สิ่งที่คล้ายผืนฟ้านี้ สองปีกของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนคลี่ออกจดกัน ส่วนอีกสองปีกคลุมลำตัวไว้

24 เมื่อทั้งสี่ตนเคลื่อนไหว ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปีกเหมือนเสียงน้ำเชี่ยวกราก เหมือนเสียงขององค์ทรงฤทธิ์เหมือนเสียงโกลาหลของกองทัพ เมื่อทั้งสี่ตนหยุดนิ่งก็หุบปีกลง

25 ขณะที่ทั้งสี่ตนยืนหุบปีกนิ่งอยู่นั้น ก็มีเสียงจากเหนือผืนฟ้าซึ่งอยู่เหนือศีรษะของทั้งสี่ตน

26 เหนือผืนฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนนี้คือสิ่งที่คล้ายบัลลังก์ไพฑูรย์ และเหนือบัลลังก์นั้นมีร่างหนึ่งดูคล้ายมนุษย์

27 ข้าพเจ้าเห็นส่วนที่คล้ายบั้นเอวของผู้นั้นขึ้นไป ดูเหมือนโลหะสุกปลั่ง ราวกับเต็มไปด้วยไฟ และจากส่วนนั้นลงมาดูเหมือนไฟและมีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่รอบผู้นั้น

28 รัศมีเจิดจ้ารอบตัวผู้นั้นเหมือนรุ้งบนเมฆในวันฝนตก

ภาพที่ปรากฏนี้เป็นเหมือนพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อข้าพเจ้าเห็นแล้วก็หมอบกราบซบหน้าลงถึงดิน และข้าพเจ้าได้ยินเสียงผู้หนึ่งกำลังตรัส

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/1-4562d3989207423ce391ce32f54852ad.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 2

การทรงเรียกเอเสเคียล

1 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงยืนขึ้นเถิด เราจะพูดกับเจ้า”

2 ขณะพระองค์ตรัส พระวิญญาณเสด็จเข้ามาในข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า

3 พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราจะส่งเจ้าไปยังชนชาติอิสราเอล ไปยังชนชาติที่ชอบกบฏซึ่งได้ทรยศเรา เขากับบรรพบุรุษกบฏต่อเราจนถึงทุกวันนี้

4 ชนชาติที่เราจะส่งเจ้าไปนี้เป็นพวกที่ดื้อดึงและหัวแข็ง จงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’

5 และไม่ว่าเขาจะรับฟังหรือไม่ เขาก็จะรู้ว่ามีผู้เผยพระวจนะในหมู่พวกเขา เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

6 ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย อย่ากลัวเขาหรือคำพูดของเขาเลย อย่ากลัวแม้ว่าเจ้าจะถูกล้อมกรอบด้วยต้นหนามน้อยใหญ่ หรือตกอยู่ในดงแมงป่อง อย่าหวาดกลัวคำพูดของเขาหรือขวัญผวาเพราะเขา แม้ว่าเขาจะเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

7 เจ้าจงกล่าวถ้อยคำของเราให้เขาฟัง ไม่ว่าเขาจะรับฟังหรือไม่ก็ตาม เพราะพวกเขาชอบกบฏ

8 ส่วนเจ้า บุตรมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิ่งที่เราบอก อย่าทรยศเหมือนพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ จงอ้าปากกินสิ่งที่เรามอบให้เจ้า”

9 แล้วข้าพเจ้าก็มองดู เห็นมือหนึ่งยื่นหนังสือม้วนออกมาให้

10 พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า ในนั้นมีถ้อยคำคร่ำครวญ คำไว้อาลัย และถ้อยคำเกี่ยวกับภัยพิบัติ เขียนไว้ทั้งสองด้าน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/2-bb851d5de5ef76c6d022ebfbebd87634.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 3

1 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนซึ่งอยู่ตรงหน้าเจ้านี้ แล้วไปกล่าวแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”

2 ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทานหนังสือม้วนให้ข้าพเจ้ากิน

3 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนที่เรามอบแก่เจ้านี้ให้เต็มท้อง” ข้าพเจ้าก็กิน หนังสือนั้นมีรสหวานเหมือนน้ำผึ้งในปากของข้าพเจ้า

4 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย บัดนี้จงไปหาพงศ์พันธุ์อิสราเอล และกล่าวถ้อยคำของเราให้พวกเขาฟัง

5 เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แต่ให้ไปหาชนชาติอิสราเอล

6 เราไม่ได้ส่งเจ้าไปหาชนชาติต่างๆ ที่พูดภาษายากๆ และเจ้าฟังไม่เข้าใจ แน่ทีเดียว หากเราส่งเจ้าไปหาคนพวกนั้น พวกเขายังจะรับฟัง

7 ส่วนพงศ์พันธุ์อิสราเอลจะไม่ยอมฟังเจ้าเพราะพวกเขาไม่เต็มใจจะฟังเรา เนื่องจากพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดนั้นใจแข็งดื้อด้าน

8 แต่เราจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งและมุ่งมั่นพอๆ กับพวกเขา

9 เราจะทำให้หน้าผากของเจ้าเหมือนหินผาที่แข็งแกร่งที่สุดและแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวหรืออย่าขวัญผวาเพราะพวกเขา แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ”

10 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงตั้งใจฟังให้ดีและจงจดจำทุกถ้อยคำที่เรากล่าวแก่เจ้าให้ขึ้นใจ

11 บัดนี้จงไปหาพี่น้องร่วมชาติของเจ้าที่ตกเป็นเชลยอยู่ และจงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ จงพูดกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะฟังหรือไม่ก็ตาม”

12 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงกระหึ่มจากทางด้านหลังของข้าพเจ้าว่า “ขอพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่สรรเสริญยกย่องในที่ประทับของพระองค์!”

13 มีเสียงปีกกระทบกันของสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และเสียงวงล้อที่อยู่ข้างตัวดังกระหึ่ม

14 แล้วพระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นและพาไป ข้าพเจ้าขมขื่นและโกรธเคืองในจิตใจ พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าหนักอยู่เหนือข้าพเจ้า

15 ข้าพเจ้ามาถึงเหล่าเชลยซึ่งอาศัยอยู่ที่เทลอาบิบใกล้แม่น้ำเคบาร์ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา ในที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่และอัดอั้นตันใจอยู่ตลอดเจ็ดวัน

คำเตือนอิสราเอล

16 เมื่อครบเจ็ดวัน พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า

17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้แต่งตั้งเจ้าให้เป็นยามสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล ฉะนั้นจงฟังถ้อยคำที่เรากล่าว แล้วแจ้งคำเตือนของเราแก่พวกเขา

18 เมื่อเราบอกคนชั่วว่า ‘เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าไม่ไปเตือนเขาหรือพูดชักชวนเขาให้ออกจากทางชั่วเพื่อช่วยชีวิตเขา คนชั่วคนนั้นก็จะตายเพราะบาปของตน และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย

19 แต่หากเจ้าเตือนคนชั่วนั้นแล้ว และเขาไม่ยอมหันจากความชั่วหรือเลิกทำผิด เขาก็จะตายเพราะบาปของตน แต่ตัวเจ้าจะช่วยตัวเองให้รอด

20 “และเมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมไปทำชั่ว เราจะวางสิ่งที่ทำให้สะดุดไว้ตรงหน้าเขา แล้วเขาจะตาย เนื่องจากเจ้าไม่ได้เตือนเขา เขาจะตายเพราะบาปของตน เราจะไม่จดจำความชอบธรรมของเขา และเราจะให้เจ้ารับผิดชอบที่เขาต้องตาย

21 แต่หากเจ้าเตือนคนชอบธรรมไม่ให้ทำบาปและเขาก็ไม่ทำบาป เขาย่อมจะมีชีวิตอยู่เพราะรับฟังคำเตือน และเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตตัวเองให้รอด”

22 พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้าที่นั่น และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบ เราจะพูดกับเจ้าที่นั่น”

23 ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นและออกไปยังที่ราบนั้น พระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น เช่นเดียวกับพระเกียรติสิริซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นที่ริมแม่น้ำเคบาร์และข้าพเจ้าก็หมอบกราบซบหน้าลงถึงดิน

24 แล้วพระวิญญาณเสด็จเข้ามาในตัวข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายืนขึ้น พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ไปเถิด จงขังตัวเองอยู่ในบ้านของเจ้า

25 แล้วบุตรมนุษย์เอ๋ย พวกเขาจะใช้เชือกมัดเจ้า เจ้าจึงไม่สามารถไปไหนมาไหนในหมู่ประชากรได้

26 เราจะทำให้ลิ้นของเจ้าคับติดเพดานปาก เพื่อเจ้าจะนิ่งใบ้และไม่อาจว่ากล่าวตักเตือนพวกเขา แม้พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

27 แต่เมื่อเรากล่าวกับเจ้า เราจะเปิดปากเจ้าและเจ้าจะกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้’ ใครที่รับฟังก็ให้รับฟังไป ใครจะปฏิเสธก็ปฏิเสธไป เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏ

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/3-f2eeec2dfeaabff590678dea6d400ae0.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 4

สัญลักษณ์ของการล้อมกรุงเยรูซาเล็ม

1 “บัดนี้ บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาดินเหนียวแผ่นหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าเจ้า และวาดกรุงเยรูซาเล็มลงบนดินนั้น

2 แล้วจงล้อมรอบแผ่นดินเหนียวนั้นด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ล้อมเมือง ก่อเชิงเทิน ตั้งค่ายประชิดเมือง และวางเครื่องกระทุ้งโดยรอบ

3 แล้วเอากระทะเหล็กมาตั้งเป็นเสมือนกำแพงเหล็กกั้นระหว่างเจ้ากับตัวเมือง จงหันหน้าเข้าหาเมืองนั้น เมืองนั้นจะตกอยู่ในวงล้อมของเจ้า นี่เป็นหมายสำคัญแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล

4 “จากนั้นจงนอนตะแคงซ้าย แบกรับบาปของพงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้บนเจ้าตลอดจำนวนวันที่เจ้านอนตะแคง

5 เรากำหนดวันให้เจ้าตามจำนวนปีของความบาปของพวกเขา ฉะนั้นเจ้าจะแบกบาปของ พงศ์พันธุ์อิสราเอลอยู่ 390 วัน

6 “เมื่อครบกำหนดแล้ว เจ้าต้องนอนลงอีก คราวนี้ให้นอนตะแคงขวาและแบกรับบาปของพงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดไว้สี่สิบวัน หนึ่งวันสำหรับหนึ่งปี

7 จงหันหน้าเข้าหาเครื่องล้อมกรุงเยรูซาเล็ม จงชูแขนอันเปลือยเปล่าใส่กรุงนั้นแล้วพยากรณ์

8 เราจะเอาเชือกมัดเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะพลิกตัวไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนดวันล้อมเมือง

9 “จงเอาข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วและถั่วแดง ข้าวฟ่าง และข้าวสแปลต์เก็บไว้ในโอ่งเพื่อใช้ทำขนมปังให้ตนเอง ซึ่งเจ้าจะต้องกินระหว่างที่เจ้านอนตะแคงตลอด 390 วัน

10 จงตวงอาหารออกมาวันละประมาณ 200 กรัมและกินอาหารนี้ตามมื้อที่กำหนดในแต่ละวัน

11 และจงตวงน้ำประมาณ 0.6 ลิตรดื่มตามเวลาที่กำหนด

12 จงกินอาหารนี้เหมือนกินขนมข้าวบาร์เลย์ จงปิ้งกินต่อหน้าผู้คน โดยใช้อุจจาระมนุษย์เป็นเชื้อเพลิง”

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ชนชาติอิสราเอลจะกินอาหารที่เป็นมลทินเช่นนี้ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ ซึ่งเราจะขับไล่เขาไปนั้น”

14 แล้วข้าพเจ้าจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย! ข้าพระองค์ไม่เคยปล่อยตัวเป็นมลทินเลย ตั้งแต่เด็กมาจนบัดนี้ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานสัตว์ใดที่ตายเอง หรือที่ถูกสัตว์ป่าขย้ำ ไม่เคยมีเนื้อสัตว์มลทินใดๆ เข้าปากข้าพระองค์เลย”

15 พระองค์ตรัสว่า “เอาเถิด เราอนุญาตให้เจ้าปิ้งขนมปังโดยใช้มูลโคแทนอุจจาระมนุษย์”

16 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราจะตัดแหล่งเสบียงในเยรูซาเล็ม ผู้คนจะกินอาหารปันส่วนด้วยความหวาดวิตก และดื่มน้ำปันส่วนด้วยความสิ้นหวัง

17 เพราะน้ำและอาหารจะหายาก พวกเขาจะมองตากันด้วยความอกสั่นขวัญแขวน และจะซูบซีดไปเพราะบาปของตน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/4-1abe211af4127cd2aa956577b88b6936.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 5

1 “บัดนี้บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาดาบคมกริบมาเล่มหนึ่งและใช้มันเป็นเหมือนมีดโกนของช่างตัดผม จงโกนผมและเคราของเจ้า แล้วเอาตาชั่งมาชั่ง แบ่งผมออกเป็นส่วนๆ

2 เมื่อสิ้นสุดวันกำหนดให้ล้อมกรุงแล้ว จงเผาผมหนึ่งในสามส่วนในกรุงนั้น ผมอีกหนึ่งในสามใช้ดาบฟันกระจายรอบเมือง อีกหนึ่งในสามที่เหลือโปรยปลิวไปกับลมเพราะเราจะชักดาบออกมารุกไล่พวกเขา

3 แต่จงเอาผมกระจุกหนึ่งมาขมวดไว้ในทบของเสื้อคลุม

4 แล้วเอาสองสามเส้นออกมาโยนลงในไฟและเผาให้หมด ไฟกองหนึ่งจะลามจากที่นั่นมายังพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด

5 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า นี่คือเยรูซาเล็มซึ่งเราตั้งไว้ใจกลางชนชาติต่างๆ มีนานาประเทศล้อมรอบ

6 แต่โดยความชั่วร้าย เยรูซาเล็มได้กบฏต่อบทบัญญัติและกฎหมายของเรามากยิ่งกว่าชนชาติและประเทศต่างๆ โดยรอบ เยรูซาเล็มได้ละทิ้งบทบัญญัติของเราและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา

7 “ดังนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงตรัสดังนี้ว่า เจ้าดื้อด้านยิ่งกว่าชนชาติต่างๆ โดยรอบ และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายของเราหรือรักษาบทบัญญัติของเรา มิหนำซ้ำยังชั่วร้ายยิ่งกว่าชนชาติเพื่อนบ้านเสียอีก

8 “ดังนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงตรัสดังนี้ว่า เยรูซาเล็มเอ๋ย เราเองจะเป็นศัตรูกับเจ้า และจะลงโทษเจ้าต่อหน้าประชาชาติทั้งหลาย

9 เนื่องจากรูปเคารพอันน่าชิงชังทั้งปวงของเจ้า เราจะทำกับเจ้าอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อนและจะไม่ทำอีกเลย

10 ดังนั้นในหมู่พวกเจ้า พ่อจะกินลูกของตนเองและลูกจะกินพ่อ เราจะลงโทษเจ้าและจะทำให้ผู้ที่รอดชีวิตอยู่ทั้งหมดกระจัดกระจายไปตามลม

11 ดังนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงประกาศดังนี้ว่า เราดำรงชีวิตอยู่แน่ฉันใด เนื่องจากเจ้าทำให้สถานนมัสการของเราเป็นมลทินด้วยรูปเคารพอันชั่วช้าสามานย์และพิธีกรรมอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า เราเองจะเลิกโปรดปรานเจ้า เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความสงสารหรือไว้ชีวิตเจ้าฉันนั้น

12 หนึ่งในสามของพวกเจ้าจะตายด้วยโรคระบาดหรือการกันดารอาหารในกรุง อีกหนึ่งในสามล้มตายด้วยสงครามนอกกำแพง และเราจะชักดาบออกไล่ล่าอีกหนึ่งในสามของพวกเจ้าให้กระจัดกระจายไปตามลม

13 “แล้วความโกรธของเราจะมอดลง โทสะของเราจะสงบลง และเราจะหายแค้น และเมื่อเราได้ระบายโทสะเหนือพวกเขา พวกเขาจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้ด้วยความกระตือรือร้น

14 “เราจะทำให้เจ้าเป็นซากปรักหักพัง และเป็นที่ตำหนิติเตียนในหมู่ประชาชาติรอบตัวเจ้า ต่อหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา

15 เจ้าจะเป็นที่ตำหนิติเตียนและเป็นที่เปรียบเปรยเย้ยหยัน เป็นคำเตือนและเป็นเป้าของความสยดสยองแก่บรรดาประชาชาติโดยรอบ เมื่อเราลงโทษเจ้าด้วยความโกรธ ด้วยโทสะ และด้วยการกำราบอันเจ็บแสบ เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้

16 เมื่อเรายิงเจ้าด้วยลูกศรแห่งการกันดารอาหารที่เข่นฆ่าและทำลายล้าง เราจะยิงลูกศรเพื่อทำลายเจ้า เราจะนำการกันดารอาหารที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มายังเจ้า และตัดแหล่งเสบียงอาหารของเจ้า

17 เราจะส่งการกันดารอาหารและสัตว์ป่ามาเล่นงานเจ้า และคร่าชีวิตลูกๆ ของเจ้า โรคระบาดและการนองเลือดจะแพร่ไปทั่วดินแดนของเจ้า และเราจะนำดาบมาฟาดฟันเจ้า เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/5-b93677cba664b359ab63d7f86efd4693.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 6

คำเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขาต่างๆ ของอิสราเอล

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าของเจ้าไปยังภูเขาทั้งหลายของอิสราเอลและเผยพระวจนะกล่าวโทษภูเขาเหล่านั้น

3 จงกล่าวว่า ‘บรรดาภูเขาแห่งอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่ภูเขาน้อยใหญ่ ลำห้วย และหุบเขาต่างๆ ดังนี้ว่า เรากำลังจะนำดาบมาต่อสู้เจ้าและเราจะทำลายล้างสถานบูชาบนที่สูงของเจ้า

4 แท่นบูชาของเจ้าจะถูกทลายทิ้ง แท่นเผาเครื่องหอมของเจ้าจะถูกทุบให้แหลก เราจะประหารคนของเจ้าต่อหน้ารูปเคารพทั้งหลายของเจ้า

5 เราจะทิ้งศพชาวอิสราเอลไว้หน้าบรรดารูปเคารพของพวกเขา เราจะโปรยกระดูกของเจ้ารอบแท่นบูชาทั้งหลายของเจ้า

6 ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ที่ไหน เมืองต่างๆ จะถูกทิ้งร้าง และสถานบูชาบนที่สูงจะถูกทลายลง แท่นบูชาต่างๆ ของเจ้าจะเริศร้างและถูกทำลาย รูปเคารพทั้งหลายแหลกป่นปี้ แท่นเผาเครื่องหอมพังทลาย สิ่งที่เจ้าสร้างขึ้นถูกกวาดล้างออกไป

7 คนของเจ้าจะถูกสังหารล้มตายลงท่ามกลางพวกเจ้าและเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์

8 “ ‘แต่เราจะไว้ชีวิตบางคน เพราะจะมีบางคนในพวกเจ้ารอดจากคมดาบ เมื่อพวกเจ้าถูกทำให้กระจัดกระจายไปในดินแดนและชนชาติต่างๆ

9 ผู้ที่หนีรอดไปได้จะระลึกถึงเราในหมู่ชนชาติที่เขาถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ว่าเราชอกช้ำใจเพียงใด เพราะใจใฝ่คบชู้ของพวกเขาซึ่งหันเหไปจากเรา เพราะตาของพวกเขาซึ่งกระสันหารูปเคารพต่างๆ เขาจะเกลียดตัวเองเพราะความชั่วที่ได้ทำลงไปและเพราะความประพฤติอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของตน

10 เขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เราไม่ได้ขู่เขาแบบลมๆ แล้งๆ ว่าจะนำภัยพิบัติมายังเขา

11 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า จงตบมือ กระทืบเท้า และร้องว่า “อนิจจา!” เนื่องด้วยความชั่วร้ายและความประพฤติอันน่าชิงชังของพงศ์พันธุ์อิสราเอล เพราะพวกเขาจะล้มตายด้วยสงคราม การกันดารอาหาร และโรคระบาด

12 คนที่อยู่ไกลออกไปจะตายเพราะโรคระบาด คนที่อยู่ใกล้จะตายเพราะสงคราม คนที่รอดชีวิตอยู่จะตายเพราะการกันดารอาหาร เราจะระบายความโกรธลงเหนือพวกเขาเช่นนี้แหละ

13 และเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อคนของเขาจะถูกฆ่าตายอยู่ท่ามกลางรูปเคารพบนแท่นบูชาของเขา บนภูเขาสูงทุกลูก และบนยอดเขาทุกแห่ง ใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาและต้นโอ๊กใบดกทุกต้น ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาได้เผาเครื่องหอมบูชาแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของตน

14 เราจะยื่นมือออกฟาดฟันเขา และทำให้ดินแดนนั้นเริศร้างตั้งแต่ถิ่นกันดารไปจนจดดิบลาห์ไม่ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/6-014ca4810fabdb5f298766769167a49b.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 7

จุดจบมาถึงแล้ว

1 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าความว่า

2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแก่ดินแดนอิสราเอลดังนี้ว่า

“ ‘จุดจบ! จุดจบ

มาเหนือสี่มุมของแผ่นดินแล้ว

3 วาระสุดท้ายมาถึงเจ้าแล้ว

เราจะระบายความโกรธลงเหนือเจ้า

เราจะพิพากษาเจ้าตามความประพฤติของเจ้าและจะตอบแทนการกระทำอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า

4 เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความเอ็นดูสงสาร

หรือไว้ชีวิตเจ้า

เราจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับความประพฤติ

และการกระทำอันน่าชิงชังในหมู่พวกเจ้าอย่างแน่นอน

แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’

5 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“ ‘ภัยพิบัติ! ภัยพิบัติอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน!

มันจะมาถึง!

6 จุดจบมาถึงแล้ว!

จุดจบมาถึงแล้ว!

มันก่อตัวขึ้นมาเล่นงานเจ้า

มันมาถึงแล้ว!

7 ความพินาศมาเหนือเจ้า

เหนือเจ้าผู้อาศัยอยู่ในดินแดน

ถึงเวลาแล้ว! วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว!

บนภูเขาทั้งหลายจะมีแต่ความโกลาหลอลหม่าน ไม่ใช่ความชื่นชมยินดี

8 เรากำลังจะระบายโทสะลงเหนือเจ้า

และระบายความโกรธต่อเจ้า

เราจะพิพากษาเจ้าตามความประพฤติของเจ้า

และจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับการกระทำอันน่าชิงชังทั้งสิ้นของเจ้า

9 เราจะไม่เหลียวแลเจ้าด้วยความเอ็นดูสงสาร

หรือไว้ชีวิตเจ้า

เราจะตอบแทนเจ้าให้สาสมกับความประพฤติ

และการกระทำอันน่าชิงชังในหมู่พวกเจ้า

เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์นี่แหละที่ลงโทษพวกเจ้า

10 “ ‘วันนั้นมาถึงแล้ว!

มันมาถึงแล้ว!

หายนะปะทุขึ้นแล้ว

ไม้เรียวผลิดอกแล้ว

และความหยิ่งยโสก็เบ่งบาน!

11 ความทารุณก็เติบโต

เป็นไม้เรียวเพื่อลงโทษความชั่วร้าย

ไม่มีใครในชนชาตินั้น

ไม่มีสักคนในฝูงชนนั้น

ไม่มีทรัพย์สมบัติ

หรือสิ่งมีค่าเหลืออยู่เลย

12 เวลานั้นมาถึงแล้ว!

วันนั้นมาถึงแล้ว!

อย่าให้ผู้ซื้อลิงโลด

อย่าให้ผู้ขายเศร้าโศก

เพราะพระพิโรธอยู่เหนือกลุ่มชนทั้งหมด

13 ผู้ขายจะไม่ได้รับที่ดิน

ซึ่งขายไปกลับคืนมาเป็นของตน

ตราบเท่าที่ทั้งสองฝ่ายยังมีชีวิตอยู่

เพราะนิมิตเกี่ยวกับกลุ่มชนทั้งหมด

จะไม่ผันแปร

เนื่องจากบาปทั้งหลายของพวกเขา

จึงไม่มีแม้สักคนจะรักษาชีวิตของตนไว้ได้

14 “ ‘แม้พวกเขาเป่าแตร

และเตรียมทุกสิ่งไว้พร้อมสรรพ

แต่ก็จะไม่มีใครออกรบเลย

เพราะโทสะของเราตกอยู่แก่กลุ่มชนทั้งหมด

15 นอกกรุงคือสงคราม

ในกรุงคือโรคระบาดและการกันดารอาหาร

ผู้ที่อยู่ในท้องทุ่ง

ก็ตายเพราะสงคราม

ส่วนผู้ที่อยู่ในกรุง

ก็ถูกกลืนกินเพราะการกันดารอาหารและโรคระบาด

16 คนทั้งปวงที่หนีรอดชีวิตไปได้

จะหนีไปอยู่ตามภูเขา

เหมือนนกพิราบตามหุบเขา

พวกเขาจะร้องครวญคราง

เพราะบาปของตน

17 มือทุกมือจะอ่อนเปลี้ย

และเข่าทุกเข่าจะอ่อนปวกเปียกเหมือนน้ำ

18 พวกเขาจะสวมใส่ผ้ากระสอบ

และนุ่งห่มความอกสั่นขวัญแขวน

ทุกใบหน้าจะถูกปิดด้วยความอัปยศอดสู

และทุกศีรษะจะถูกโกน

19 “ ‘พวกเขาจะโยนเงินทิ้งตามถนน

ทองของพวกเขาจะมีค่าเท่ากับสิ่งโสโครก

เงินและทองของพวกเขา

จะไม่สามารถช่วยเขาให้รอดได้

ในวันแห่งพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า

มันจะไม่ช่วยแก้หิว

หรือช่วยให้อิ่มท้อง

เพราะมันทำให้พวกเขาสะดุดล้มลงในความบาป

20 พวกเขาภูมิใจในเพชรพลอยอันงดงามของตน

และใช้มันทำรูปเคารพอันน่าชิงชัง

พวกเขาใช้มันทำเทวรูปอันชั่วช้าสามานย์

ดังนั้นเราจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นสิ่งที่เป็นมลทินกับพวกเขา

21 เราจะยกความมั่งคั่งของพวกเขาให้เป็นของปล้นแก่คนต่างชาติ

ให้เป็นของเชลยแก่คนชั่วร้ายบนโลก

ผู้ที่จะทำให้มันเป็นมลทิน

22 เราจะเบือนหน้าหนีจากประชากร

และโจรจะย่ำยีสถานที่ที่เรารัก

พวกมันจะเข้ามา

และจะทำให้ที่นั่นเป็นมลทิน

23 “ ‘จงเตรียมโซ่ตรวน!

เพราะแผ่นดินนองเลือด

และกรุงนี้เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ

24 เราจะนำประชาชาติที่ชั่วร้ายที่สุด

มาครอบครองบ้านเรือนของพวกเขา

เราจะยุติความหยิ่งยโสของผู้มีอำนาจ

และสถานนมัสการของพวกเขาจะถูกทำให้เป็นมลทิน

25 เมื่อความหวาดหวั่นพรั่นพรึงมาถึง

พวกเขาจะแสวงหาสันติภาพแต่ก็ไร้ประโยชน์

26 หายนะโหมกระหน่ำเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า

และมีข่าวลือระลอกแล้วระลอกเล่า

พวกเขาจะพยายามหานิมิตจากผู้เผยพระวจนะ

คำสอนของปุโรหิตจากบทบัญญัติจะหมดไป

คำปรึกษาของบรรดาผู้อาวุโสจะสูญสิ้นไป

27 กษัตริย์จะคร่ำครวญ

เจ้านายจะคลุมกายด้วยความสิ้นหวัง

และประชาชนจะมือไม้สั่น

เราจะจัดการกับพวกเขาตามความประพฤติของพวกเขา

และเราจะพิพากษาพวกเขาตามมาตรฐานของพวกเขา

เมื่อนั้นพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/7-d58676304c521b64de62a944d884aa41.mp3?version_id=179—

Categories
เอเสเคียล

เอเสเคียล 8

การกราบไหว้รูปเคารพในพระวิหาร

1 ในวันที่ห้าเดือนที่หกปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในบ้าน และบรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์นั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตมาเหนือข้าพเจ้าที่นั่น

2 ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นร่างหนึ่งคล้ายมนุษย์จากส่วนที่ดูคล้ายบั้นเอวของผู้นั้นลงมาเป็นไฟ และจากส่วนนั้นขึ้นไปเหมือนโลหะสุกปลั่ง

3 ผู้นั้นยื่นส่วนที่คล้ายมือออกมาจับผมบนศีรษะของข้าพเจ้า พระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพโลกและฟ้าสวรรค์ และในนิมิตของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงพาข้าพเจ้ามายังเยรูซาเล็มตรงทางเข้าประตูทิศเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปเคารพ ซึ่งยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า

4 ที่นั่นพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเหมือนในนิมิตซึ่งข้าพเจ้าเห็นในที่ราบนั้น

5 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมองไปทางเหนือ” ข้าพเจ้าก็มองไปและข้าพเจ้าเห็นรูปเคารพที่ยั่วยุพระพิโรธตรงทางเข้าด้านเหนือของประตูแท่นบูชา

6 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่หรือไม่? คือสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลกำลังทำอยู่ที่นี่ สิ่งซึ่งจะผลักไสเราให้ไกลห่างจากสถานนมัสการของเรา แต่เจ้าจะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

7 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าลาน ข้าพเจ้ามองดู เห็นช่องช่องหนึ่งในกำแพง

8 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพงเดี๋ยวนี้” ข้าพเจ้าก็เจาะและเห็นเป็นทางเข้าไป

9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเข้าไปเถิด ไปดูสิ่งชั่วร้ายและน่าชิงชังที่พวกเขากำลังทำอยู่ที่นี่”

10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปดู เห็นบนผนังโดยรอบมีภาพวาดสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ที่น่ารังเกียจทุกชนิด และรูปเคารพทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

11 ผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งเหล่านั้น และยาอาซันยาห์บุตรชาฟาน ก็ยืนอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย แต่ละคนถือกระถางไฟและมีควันจากเครื่องหอมลอยขึ้นไป

12 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่า บรรดาผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลซุ่มทำอะไรอยู่ในความมืด? แต่ละคนอยู่ที่สถานบูชารูปเคารพของตน พวกเขาพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นเราหรอกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทิ้งดินแดนนี้ไปแล้ว’ ”

13 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เจ้าจะเห็นพวกเขาทำสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าประตูทิศเหนือของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นพวกผู้หญิงนั่งร้องไห้ไว้อาลัยแก่พระทัมมุส

15 พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่ประตูทางเข้าพระวิหาร ระหว่างมุขกับแท่นบูชา มีผู้ชายประมาณ 25 คนหันหลังให้พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พวกเขากำลังหมอบกราบดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

17 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม? นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือที่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ทำสิ่งน่ารังเกียจอย่างที่พวกเขาทำอยู่ที่นี่? พวกเขาทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความทารุณ และยั่วโมโหเราอยู่เนืองๆ ดูเถิด พวกเขากำลังเย้ยหยันเรา!

18 ฉะนั้นเราจะจัดการกับพวกเขาด้วยความโกรธ เราจะไม่เอ็นดูสงสารหรือไว้ชีวิตพวกเขา แม้พวกเขาจะตะโกนใส่หูเรา เราก็จะไม่ฟัง”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/EZK/8-4637736e0938ebd4d163e306fe33d3fb.mp3?version_id=179—