Categories
มาระโก

มาระโก 4

คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน

1 แล้วพระเยซูทรงสอนที่ริมทะเลสาบอีก ฝูงชนรุมล้อมพระองค์แน่นขนัดจนพระองค์ต้องเสด็จลงไปประทับนั่งในเรือ ขณะที่ประชาชนอยู่ที่ชายฝั่ง

2 พระองค์ทรงยกคำอุปมาสอนหลายสิ่งแก่พวกเขาว่า

3 “ฟังเถิด! ชาวนาผู้หนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช

4 ขณะที่หว่านบางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินหมด

5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหินซึ่งมีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินตื้น

6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก

7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม ต้นหนามก็งอกคลุมจึงไม่เกิดผล

8 แต่ยังมีเมล็ดบางส่วนตกบนดินดี งอกขึ้นมา เติบโตและเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่า”

9 แล้วพระเยซูตรัสว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”

10 เมื่อทรงอยู่ตามลำพัง สาวกทั้งสิบสองคนกับคนอื่นที่แวดล้อมพระองค์อยู่ทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมาเหล่านั้น

11 พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้พวกท่านรู้ ส่วนคนนอกนั้นทุกอย่างจะใช้คำอุปมา

12 เพื่อว่า

“ ‘พวกเขาจะดูแล้วดูเล่าแต่จะไม่มีวันประจักษ์

และจะฟังแล้วฟังเล่าแต่จะไม่มีวันเข้าใจ

มิฉะนั้นแล้วเขาจะหันกลับมาและได้รับการอภัย!’”

13 แล้วพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจคำอุปมานี้หรือ? ถ้าอย่างนั้นจะเข้าใจคำอุปมาทั้งหลายได้อย่างไร?

14 ชาวนาได้หว่านพระวจนะ

15 บางคนก็เป็นเหมือนเมล็ดพืชที่ตกตามทาง ทันทีที่เขาได้ยิน ซาตานก็มาฉวยเอาพระวจนะที่หว่านลงในเขาไป

16 บางคนก็เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนพื้นหิน เมื่อได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี

17 แต่เนื่องจากไม่ได้หยั่งรากลึกจึงคงอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นพวกเขาก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว

18 บางคนเหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางพงหนาม คือได้ยินพระวจนะ

19 แต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ ความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติ และความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆ เข้ามารัดพระวจนะนั้นทำให้ไม่เกิดผล

20 คนอื่นๆ เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านลงบนดินดี คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้และเกิดผลสามสิบเท่า หกสิบเท่า หรือถึงร้อยเท่าของที่หว่านลงไป”

ตะเกียงบนเชิงตะเกียง

21 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ท่านไม่เอาตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือวางไว้ใต้เตียงใช่ไหม? ตรงกันข้าม ท่านย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงไม่ใช่หรือ?

22 เพราะสิ่งที่ซ่อนเร้นจะถูกเปิดเผย สิ่งที่ปิดบังไว้จะถูกเปิดโปง

23 ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

24 พระองค์ตรัสอีกว่า “จงพิจารณาสิ่งที่ท่านได้ยินอย่างถี่ถ้วน ท่านตวงให้ไปด้วยทะนานอันใดท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น และได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก

25 ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ที่เขามีอยู่ก็จะถูกริบเอาไปจากเขา”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืชที่งอกขึ้น

26 พระองค์ตรัสด้วยว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนคนหนึ่งหว่านเมล็ดพืชลงในดิน

27 ทั้งวันทั้งคืนไม่ว่าเขาหลับหรือตื่น เมล็ดพืชก็งอกและเติบโตขึ้นแม้เขาไม่รู้ว่ามันงอกขึ้นได้อย่างไร

28 ดินทำให้มันงอกเป็นต้นอ่อนแล้วออกรวง จากนั้นมีเมล็ดข้าวเต็มรวง

29 เมื่อข้าวสุกแล้ว เขาก็ใช้เคียวเกี่ยวเพราะถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด

30 พระองค์ตรัสอีกว่า “พวกเราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับอะไรดี หรือจะยกอุปมาใดมาอธิบาย?

31 อาณาจักรของพระเจ้านั้นก็เหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งเป็นเมล็ดที่เล็กที่สุดเมื่อเพาะลงในดิน

32 แต่เมื่องอกขึ้นก็เป็นต้นใหญ่ที่สุดในสวน แผ่กิ่งก้านสาขาจนนกในอากาศมาพักอาศัยในร่มเงาได้”

33 พระเยซูทรงยกคำอุปมาที่คล้ายกันนี้อีกหลายเรื่องมาตรัสกับพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้

34 พระองค์ตรัสกับพวกเขาเป็นคำอุปมาทั้งสิ้น แต่เมื่อพระองค์ทรงอยู่กับเหล่าสาวกตามลำพังก็ทรงอธิบายทุกสิ่ง

พระเยซูทรงห้ามพายุ

35 เย็นวันนั้นพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามไปอีกฟากหนึ่งเถิด”

36 พวกเขาก็พาพระองค์ไปในเรือที่ประทับอยู่นั้น โดยละฝูงชนไว้ข้างหลังและมีเรืออื่นๆ หลายลำตามพระองค์ไปด้วย

37 เกิดพายุร้าย คลื่นซัดท่วมจนเรือจวนจะจมแล้ว

38 พระเยซูทรงหนุนหมอนบรรทมอยู่ท้ายเรือ เหล่าสาวกมาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงห่วงว่าเราจะจมน้ำตายหรือ?”

39 พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่นว่า “เงียบ! จงสงบนิ่งเดี๋ยวนี้!” แล้วลมก็หยุดพัด ทุกอย่างก็สงบนิ่งอย่างสิ้นเชิง

40 พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ทำไมจึงกลัวนัก? พวกท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?”

41 เหล่าสาวกแตกตื่นตกใจ ต่างถามกันว่า “พระองค์ทรงเป็นใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังพระองค์!”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/4-0e1f69c2c47b950a7c8129c94127ade9.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 5

ทรงรักษาคนถูกผีสิง

1 เมื่อพวกเขาข้ามฟากมาถึงดินแดนเกราซา

2 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือมีชายคนหนึ่งซึ่งถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงออกจากอุโมงค์ฝังศพมาหาพระองค์

3 เขาอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ ใครๆ ก็มัดเขาไว้ไม่อยู่แม้จะใช้โซ่ตรวนก็ตาม

4 เพราะเคยล่ามโซ่ใส่ตรวนมือเท้าของเขาหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็กระชากโซ่ตรวนขาด ไม่มีใครแข็งแรงพอจะทำให้เขาสิ้นพยศ

5 เขาร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและตามเนินเขาทั้งวันทั้งคืนและเอาหินกรีดเนื้อตัวเอง

6 เมื่อเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระองค์

7 และตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์หรือ? ขอทรงสาบานต่อพระเจ้าว่าจะไม่ทรมานข้าพระองค์!”

8 เพราะพระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “เจ้าวิญญาณชั่ว จงออกมาจากชายคนนี้!”

9 แล้วพระเยซูตรัสถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”

มันตอบว่า “ชื่อกอง เพราะเรามีด้วยกันหลายตน”

10 และมันพร่ำอ้อนวอนพระเยซูไม่ให้ขับไล่พวกมันออกจากถิ่นนั้น

11 ไม่ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่บนเนินเขา

12 พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูว่า “ขอให้พวกข้าพระองค์ไปสิงในสุกรฝูงนั้นเถิด”

13 เมื่อทรงอนุญาต วิญญาณชั่วเหล่านั้นก็ออกจากชายผู้นั้นและเข้าไปสิงในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงราวสองพันตัวก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ำตายหมด

14 บรรดาคนเลี้ยงสุกรวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและในชนบทโดยรอบ ผู้คนพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

15 เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็เห็นชายที่เคยถูกผีทั้งกองเข้าสิงนั่งอยู่ที่นั่นสวมใส่เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว

16 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าเรื่องที่เกิดกับคนที่ถูกผีสิงและสุกรนั้นให้ประชาชนฟัง

17 พวกเขาจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ไปจากเขตแดนของเขา

18 ขณะพระเยซูจะเสด็จลงเรือ คนที่เคยถูกผีสิงนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์

19 พระเยซูไม่ทรงอนุญาต แต่ตรัสว่า “จงกลับบ้านไปหาครอบครัวของท่าน และบอกพวกเขาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการเพื่อท่านมากเพียงใดและทรงเมตตาต่อท่านอย่างไร”

20 เขาจึงทูลลาไปป่าวประกาศในแคว้นเดคาโปลิสว่าพระเยซูทรงกระทำการเพื่อเขามากเพียงไร คนทั้งปวงก็ประหลาดใจ

เด็กที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย

21 เมื่อพระเยซูทรงนั่งเรือข้ามฟากกลับมาอีกครั้ง ขณะที่พระองค์ทรงอยู่ที่ริมทะเลสาบ ฝูงชนกลุ่มใหญ่พากันมาห้อมล้อมพระองค์

22 มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสมาที่นั่น เมื่อเห็นพระเยซูก็หมอบลงแทบพระบาทพระองค์

23 แล้วทูลอ้อนวอนด้วยความร้อนใจว่า “ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์กำลังจะตาย โปรดเสด็จไปทรงวางมือให้ด้วยเถิดเพื่อเขาจะหายและไม่ตาย”

24 ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับเขา

ผู้คนคับคั่งตามมาเบียดเสียดกันอยู่รอบพระองค์

25 ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปีแล้ว

26 นางทุกข์ทรมานมาก เสียเงินหาหมอมาหลายคนจนหมดตัว แต่แทนที่จะดีขึ้นอาการกลับทรุดลง

27 เมื่อนางได้ยินเรื่องพระเยซูจึงเดินปะปนกับฝูงชนตามมาข้างหลังพระองค์และแตะฉลองพระองค์

28 เพราะนางคิดว่า “ขอเพียงได้แตะฉลองพระองค์เท่านั้นเราก็จะหายโรค”

29 ทันใดนั้นเองเลือดก็หยุดไหลและนางรู้สึกว่าตนหายโรคแล้ว

30 พระเยซูทรงทราบทันทีว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ พระองค์จึงทรงหันกลับมาทางฝูงชนและตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา?”

31 เหล่าสาวกทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นอยู่แล้วว่าผู้คนเบียดเสียดพระองค์กันแน่นแล้วพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า ‘ใครมาแตะต้องเรา?’ ”

32 แต่พระเยซูยังทอดพระเนตรไปรอบๆ ดูว่าใครเป็นผู้ทำเช่นนั้น

33 หญิงนั้นซึ่งรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางก็กลัวจนตัวสั่น เข้ามาหมอบลงแทบพระบาท แล้วกราบทูลความจริงทั้งหมด

34 พระองค์ตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขและพ้นจากความทุกข์ทรมานเถิด”

35 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านของไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว จะรบกวนพระอาจารย์อีกทำไม?”

36 พระเยซูไม่ทรงฟังแต่ตรัสกับนายธรรมศาลาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น”

37 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามไปยกเว้นเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ

38 เมื่อมาถึงบ้านของนายธรรมศาลาพระเยซูทรงเห็นความอึกทึกวุ่นวาย ผู้คนร้องไห้สะอึกสะอื้นกันเสียงดัง

39 พระองค์ทรงเข้าไปข้างในและตรัสกับพวกเขาว่า “ร้องไห้วุ่นวายกันไปทำไม? เด็กน้อยยังไม่ตายเพียงแต่หลับอยู่”

40 แต่พวกเขาพากันหัวเราะเยาะพระองค์

หลังจากพระองค์ทรงให้ผู้คนออกไปแล้วก็ทรงพาพ่อแม่ของเด็กกับเหล่าสาวกที่อยู่กับพระองค์เข้าไปหาเด็กนั้น

41 พระองค์ทรงจับมือเด็กน้อยตรัสว่า “ทาลิธา คูม!” (ซึ่งแปลว่า “แม่หนูเอ๋ย เราบอกเจ้าให้ลุกขึ้น!”)

42 ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ลุกขึ้นเดินไปรอบๆ (เด็กคนนี้อายุสิบสองขวบ) คนทั้งปวงตกตะลึงพรึงเพริด

43 พระองค์ทรงกำชับเด็ดขาดไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใครและตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/5-d749b40f825437268fe33e83b9edaf32.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 6

ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ

1 พระเยซูเสด็จจากที่นั่นไปยังบ้านเกิดของพระองค์โดยมีเหล่าสาวกติดตามไปด้วย

2 เมื่อถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลา หลายคนที่ได้ฟังพระองค์ก็ประหลาดใจ

พวกเขาถามว่า “คนนี้ได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? สติปัญญาที่เขาได้รับเป็นสติปัญญาอย่างไหนกัน? ถึงกับทำการอัศจรรย์ได้!

3 เขาเป็นช่างไม้มิใช่หรือ? เขาเป็นลูกนางมารีย์ เป็นพี่ชายของยากอบ โยเซฟยูดาส กับซีโมนไม่ใช่หรือ? พวกน้องสาวของเขาก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์

4 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะจะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเกิด ในหมู่ญาติ และในบ้านของตนเอง”

5 พระองค์ไม่อาจทำการอัศจรรย์ใดๆ ที่นั่นเว้นแต่ทรงวางมือบนคนป่วยบางคนและรักษาพวกเขาให้หาย

6 และพระองค์ทรงแปลกใจที่พวกเขาขาดความเชื่อ

พระเยซูทรงส่งสาวกทั้งสิบสองคนออกไป

จากนั้นพระเยซูเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ

7 ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมา ส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพร้อมทั้งประทานฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญาณชั่วให้แก่พวกเขา

8 พระองค์ทรงกำชับว่า “ไม่ต้องนำสิ่งใดติดตัวไปในการเดินทางนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ย่าม หรือเงินติดตัวไป

9 ให้สวมรองเท้าแต่ไม่ต้องเตรียมเสื้ออีกตัวหนึ่ง

10 เมื่อท่านเข้าไปในบ้านใดจงพักที่บ้านนั้นจนกว่าจะไปจากเมืองนั้น

11 หากที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่รับฟัง เมื่อจะไปจากที่นั่นก็จงสะบัดฝุ่นออกจากเท้าเพื่อเป็นพยานปรักปรำเขา”

12 เหล่าสาวกจึงออกไปและเทศนาให้ประชาชนกลับใจใหม่

13 พวกเขาขับผีออกหลายตนและเจิมคนป่วยมากมายด้วยน้ำมันและรักษาพวกเขาให้หาย

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกประหาร

14 กษัตริย์เฮโรดได้ยินเรื่องของพระเยซูเพราะชื่อเสียงของพระองค์เลื่องลือไปทั่ว บางคนพูดว่าพระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นขึ้นจากตาย ดังนั้นเขาจึงมีฤทธิ์อำนาจทำการอัศจรรย์ต่างๆ ได้

15 บางคนก็ว่า “เขาคือเอลียาห์” และยังมีคนอื่นๆ ที่อ้างว่า “เขาคือผู้เผยพระวจนะเหมือนเหล่าผู้เผยพระวจนะในอดีต”

16 แต่เมื่อเฮโรดได้ยินก็กล่าวว่า “นี่คือยอห์นที่เราสั่งให้ตัดศีรษะไป เขาเป็นขึ้นจากตายแล้ว!”

17 เพราะเฮโรดเองสั่งให้จับยอห์นมาล่ามโซ่ขังไว้ในคุกด้วยสาเหตุจากนางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตนซึ่งเฮโรดได้นางมาเป็นภรรยา

18 เนื่องจากยอห์นเคยพูดกับเฮโรดว่า “ท่านทำผิดบัญญัติที่เอาน้องสะใภ้มาเป็นภรรยา”

19 ดังนั้นนางเฮโรเดียสจึงอาฆาตยอห์นและอยากจะฆ่าเขาแต่ก็ทำไม่ได้

20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นและคอยปกป้องเขาเพราะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรมและบริสุทธิ์ เมื่อเฮโรดได้ฟังยอห์นพูดก็งุนงงสงสัยยิ่งนักแต่ก็ยังอยากฟัง

21 ในที่สุดโอกาสก็มาถึง ในงานฉลองวันเกิดเฮโรดจัดงานเลี้ยงขุนนาง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาคนสำคัญๆ ในแคว้นกาลิลี

22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำก็เป็นที่ถูกใจเฮโรดกับแขกเหรื่อยิ่งนัก

กษัตริย์จึงกล่าวกับหญิงสาวนั้นว่า “จงขอสิ่งที่เจ้าต้องการแล้วเราจะให้ตามที่เจ้าขอ”

23 และสัญญาโดยปฏิญาณว่า “ไม่ว่าเจ้าจะขออะไร เราก็จะให้ทั้งนั้นจนถึงครึ่งหนึ่งของอาณาจักร”

24 นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี?”

มารดาบอกว่า “ขอศีรษะยอห์นผู้ให้บัพติศมาสิ”

25 นางรีบมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันที่นี่เดี๋ยวนี้เถิด”

26 กษัตริย์เฮโรดเป็นทุกข์ยิ่งนักแต่ก็ขัดไม่ได้เพราะได้ปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อ

27 จึงบัญชาในทันทีทันใดให้เพชฌฆาตนำศีรษะของยอห์นมา เขาก็ไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก

28 แล้วนำศีรษะใส่ถาดมาให้หญิงนั้นและนางเอาไปให้มารดา

29 เมื่อศิษย์ของยอห์นทราบข่าวจึงมารับศพเขาไปฝังในอุโมงค์

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

30 ฝ่ายอัครทูตมาเข้าเฝ้าพระเยซูและทูลรายงานสิ่งทั้งปวงที่พวกเขาได้ทำและสั่งสอน

31 เนื่องจากขณะนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด”

32 ดังนั้นพระองค์กับเหล่าสาวกจึงลงเรือไปยังที่สงบเงียบ

33 แต่หลายคนเห็นพวกเขาก็จำได้และพากันวิ่งจากเมืองต่างๆ ไปถึงที่นั่นก่อน

34 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือและเห็นคนหมู่ใหญ่ก็ทรงสงสารเพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง ดังนั้นพระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง

35 พอตกเย็นเหล่าสาวกจึงมาทูลว่า “ที่นี่ห่างไกลนักและตกเย็นแล้ว

36 ขอทรงให้ประชาชนเหล่านี้ไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ซื้อหาอาหารกินกันเองตามหมู่บ้านรอบๆ”

37 แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “พวกท่านจงเลี้ยงพวกเขาเถิด”

เหล่าสาวกทูลว่า “นี่ต้องใช้เงินเท่ากับค่าจ้างคนงานคนหนึ่งถึงแปดเดือนทีเดียว! เราต้องใช้เงินมากขนาดนั้นไปซื้อหาอาหารมาให้เขากินหรือ?”

38 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน? ไปดูซิ”

เมื่อรู้แล้วพวกเขาจึงกลับมาทูลว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”

39 แล้วพระเยซูตรัสสั่งสาวกให้ไปบอกประชาชนให้นั่งกันเป็นกลุ่มบนพื้นหญ้าเขียวขจี

40 พวกเขาก็นั่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง

41 พระเยซูทรงรับขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวนั้นมา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมองฟ้าสวรรค์แล้วขอบพระคุณพระเจ้าและหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวก พวกเขาก็แจกจ่ายให้ประชาชน พระองค์ยังทรงแบ่งปลาสองตัวให้คนทั้งปวงโดยทั่วกันด้วย

42 พวกเขาทุกคนได้กินอิ่มหนำ

43 เหล่าสาวกเก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองตะกร้าเต็ม

44 จำนวนผู้ชายที่รับประทานอาหารนั้นมีห้าพันคน

พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ

45 แล้วพระเยซูทรงให้เหล่าสาวกลงเรือข้ามฟากล่วงหน้าไปยังเมืองเบธไซดาทันทีขณะที่พระองค์ทรงรอส่งฝูงชน

46 หลังจากแยกจากพวกเขาแล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐาน

47 เมื่อค่ำลง เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลสาบและพระองค์ประทับอยู่ที่ริมฝั่งแต่ผู้เดียว

48 ทรงเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงทวนลมที่ปะทะอยู่ ในช่วงใกล้รุ่งพระเยซูก็ทรงดำเนินบนน้ำไปหาพวกเขา พระองค์กำลังจะเสด็จเลยพวกเขาไป

49 แต่เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ดำเนินมาบนทะเลสาบก็คิดว่าเป็นผีจึงร้องลั่น

50 เพราะทุกคนเห็นพระองค์และตกใจกลัว

ทันใดนั้นพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เข้มแข็งไว้! นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”

51 แล้วเสด็จขึ้นเรือของพวกเขา ลมก็สงบ พวกเขาประหลาดใจยิ่งนัก

52 เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจเรื่องขนมปัง จิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง

53 เมื่อข้ามฟากมาแล้วพวกเขาก็จอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท

54 ทันทีที่พวกเขาขึ้นจากเรือประชาชนก็จำพระเยซูได้

55 คนเหล่านั้นจึงวิ่งไปทั่วแคว้นนำบรรดาคนเจ็บป่วยวางบนที่นอนและหามไปยังทุกที่ที่ได้ยินว่าพระองค์เสด็จไป

56 ไม่ว่าพระองค์เสด็จไปที่ไหน ทั้งในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท พวกเขาจะหามคนป่วยมาที่ย่านชุมชน แล้วทูลขอให้คนป่วยนั้นได้แตะต้องแม้แต่เพียงชายฉลองพระองค์ก็พอและทุกคนที่ได้แตะต้องพระองค์ก็หายป่วย

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/6-2b01527d3a66350d43401fcee17a4747.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 7

สิ่งที่เป็นมลทิน

1 ฝ่ายพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จากกรุงเยรูซาเล็มมาห้อมล้อมพระเยซู

2 และเห็นสาวกบางคนของพระองค์รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือซึ่งถือว่า “เป็นมลทิน”

3 (พวกฟาริสีและชาวยิวทั้งปวงถือตามประเพณีที่สืบทอดจากบรรพบุรุษว่าจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะได้ล้างมือตามระเบียบพิธีก่อน

4 เมื่อกลับจากตลาดต้องล้างมือก่อนจะรับประทานอาหาร และยังมีธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่นการล้างถ้วย เหยือก และภาชนะต่างๆ)

5 ฉะนั้นพวกฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระเยซูว่า “เหตุใดสาวกของท่านจึงไม่ทำตามธรรมเนียมของผู้อาวุโส แต่กลับรับประทานอาหารด้วยมือที่ ‘เป็นมลทิน’?”

6 พระองค์ตรัสตอบว่า “อิสยาห์พูดถูกแล้วเมื่อเผยพระวจนะเกี่ยวกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าดังที่มีคำเขียนไว้ว่า

“ ‘ประชากรเหล่านี้ยกย่องเราแต่ปาก

แต่ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา

7 พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์

คำสอนของเขาเป็นเพียงกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สอนกันมา’

8 พวกท่านละเลยพระบัญชาของพระเจ้าและไปยึดถือธรรมเนียมของมนุษย์”

9 และพระองค์ตรัสว่า “พวกท่านมีวิธีเลี่ยงพระบัญชาของพระเจ้าไปทำตามธรรมเนียมของตนได้ดีจริงนะ!

10 เพราะโมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’และ ‘ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’

11 แต่พวกท่านบอกว่าหากใครพูดกับบิดามารดาว่า ‘สิ่งใดๆ จากข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านก็คือโกระบาน’ (คือของที่ได้ถวายแด่พระเจ้าแล้ว)

12 แล้วท่านจึงไม่ให้เขาทำสิ่งใดให้บิดามารดาอีกต่อไป

13 ด้วยเหตุนี้ท่านจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไปโดยการยึดธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาและพวกท่านยังทำอีกหลายอย่างในทำนองนี้”

14 แล้วพระเยซูทรงเรียกฝูงชนเข้ามาหาพระองค์อีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจข้อนี้

15 ไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์แล้วทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’ แต่สิ่งที่ออกจากตัวเขาต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’”

17 เมื่อละจากฝูงชนเข้ามาในบ้านแล้ว เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เกี่ยวกับคำอุปมานี้

18 พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ? ท่านไม่เห็นหรือว่าไม่มีสิ่งใดจากภายนอกที่เข้าไปในตัวคนแล้วทำให้คน ‘เป็นมลทิน’ ได้?

19 เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วออกจากร่างกาย” (ที่พระเยซูตรัสเช่นนี้เป็นการประกาศว่าอาหารทั้งปวง “ปราศจากมลทิน”)

20 พระองค์ตรัสต่อไปว่า “สิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ต่างหากที่ทำให้เขา ‘เป็นมลทิน’

21 เพราะที่ออกมาจากภายในจากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี

22 ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา

23 สารพัดความชั่วนี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์ ‘เป็นมลทิน’ ”

ความเชื่อของหญิงชาวซีเรียฟีนิเซีย

24 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จเข้าสู่เขตเมืองไทระทรงเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและไม่ประสงค์ให้ใครรู้แต่ก็ปิดไว้ไม่อยู่

25 หญิงคนหนึ่งซึ่งลูกสาวเล็กๆ ของนางมีวิญญาณชั่วสิง เมื่อได้ทราบข่าวเกี่ยวกับพระองค์ก็มาหมอบกราบแทบพระบาทของพระองค์

26 หญิงผู้นี้เป็นชาวกรีกเกิดในซีเรียฟีนิเซีย นางมาทูลอ้อนวอนพระเยซูให้ทรงช่วยขับผีออกจากลูกสาวของนาง

27 พระองค์ตรัสบอกนางว่า “ต้องให้ลูกๆ กินอิ่มก่อน เป็นการไม่ถูกต้องที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้สุนัข”

28 หญิงนั้นทูลว่า “จริงเจ้าข้า แต่สุนัขใต้โต๊ะยังได้กินเศษอาหารที่เหลือจากลูก”

29 แล้วพระองค์จึงตรัสบอกนางว่า “ไปเถิด เพราะคำตอบของเจ้า ผีนั้นออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว”

30 หญิงนั้นก็กลับไปบ้านและพบว่าลูกสาวนอนอยู่บนเตียงและผีนั้นได้ออกไปแล้ว

ทรงรักษาคนหูหนวกและเป็นใบ้

31 แล้วพระเยซูเสด็จจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอนไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลีเข้าสู่แคว้นเดคาโปลิส

32 ที่นั่นมีคนพาชายผู้หนึ่งซึ่งหูหนวกพูดเกือบไม่ได้เลย มาทูลอ้อนวอนให้ทรงวางมือบนชายผู้นั้น

33 พระเยซูทรงพาเขาเลี่ยงออกไปจากฝูงชน เอานิ้วพระหัตถ์สอดเข้าไปในหูของชายผู้นั้น แล้วทรงบ้วนน้ำลายเอาไปแตะที่ลิ้นของเขา

34 พระองค์ทรงเงยพระพักตร์มองฟ้าสวรรค์ ถอนพระทัยยาว และตรัสกับเขาว่า “เอฟฟาธา!” (ซึ่งแปลว่า “จงเปิดออก!”)

35 แล้วหูของชายคนนั้นก็หายหนวก ลิ้นของเขาก็หายขัด เขาเริ่มพูดได้ชัดเจน

36 พระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเรื่องนี้แก่ใคร แต่ยิ่งพระองค์ทรงห้ามพวกเขาก็ยิ่งเล่าลือเรื่องนี้ไปทั่ว

37 ประชาชนประหลาดใจยิ่งนักและพูดว่า “พระองค์ทรงกระทำแต่สิ่งดีๆ ทั้งนั้น พระองค์ถึงกับทรงกระทำให้คนหูหนวกได้ยินและคนใบ้พูดได้”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/7-3c926d9d66f358f0c4e5f240eafacd9c.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 8

พระเยซูทรงเลี้ยงคนสี่พันคน

1 ครั้งนั้นมีฝูงชนกลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งมาชุมนุมกัน เนื่องจากพวกเขาไม่มีอาหารรับประทาน พระเยซูจึงทรงเรียกเหล่าสาวกมาและตรัสว่า

2 “เราสงสารคนเหล่านี้ พวกเขามาอยู่กับเราสามวันแล้วและไม่มีอะไรกิน

3 ถ้าให้เขากลับไปทั้งที่ยังหิวอยู่กลัวว่าจะหมดแรงกลางทางเพราะบางคนก็มาไกล”

4 เหล่าสาวกทูลว่า “แต่ในที่ห่างไกลแบบนี้จะหาขนมปังที่ไหนมาพอเลี้ยงพวกเขา?”

5 พระเยซูตรัสถามว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน?”

เขาทูลว่า “เจ็ดก้อน”

6 พระองค์ทรงบอกฝูงชนให้นั่งลงที่พื้น เมื่อทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนและขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็ทรงหักขนมปังส่งให้เหล่าสาวกแจกประชาชน

7 พวกเขามีปลาเล็กๆ สองสามตัวด้วย พระองค์ก็ทรงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับปลาเหล่านี้และทรงให้เหล่าสาวกนำไปแจกเช่นกัน

8 ประชาชนได้รับประทานจนอิ่มหนำ หลังจากนั้นเหล่าสาวกเก็บเศษที่เหลือได้เจ็ดตะกร้าเต็ม

9 มีผู้ชายราวสี่พันคนที่นั่น และเมื่อทรงให้พวกเขากลับไปแล้ว

10 พระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกไปยังเขตเมืองดาลมานูธา

11 พวกฟาริสีมาหาพระเยซูและเริ่มซักถามพระองค์ พวกเขาขอให้ทรงแสดงหมายสำคัญจากสวรรค์เพื่อทดสอบพระองค์

12 พระองค์ทรงถอนพระทัยยาวและตรัสว่า “ทำไมคนในยุคนี้ถามหาหมายสำคัญ? เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้จะไม่ได้รับหมายสำคัญใดๆ เลย”

13 แล้วพระองค์ก็ทรงละจากพวกเขา เสด็จลงเรือ และข้ามฟากไป

เชื้อของพวกฟาริสีและเฮโรด

14 เหล่าสาวกลืมเอาขนมปังมาด้วยและในเรือก็มีขนมปังอยู่เพียงก้อนเดียว

15 พระเยซูได้ตรัสเตือนพวกเขาว่า “จงระวังเชื้อของพวกฟาริสีและเฮโรด”

16 พวกเขาจึงหารือกันและพูดว่า “ที่พระองค์ตรัสเช่นนี้เพราะเราไม่มีขนมปัง”

17 พระเยซูทรงทราบจึงตรัสว่า “ทำไมพวกท่านจึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง? พวกท่านยังไม่เห็นไม่เข้าใจหรือ? ใจท่านแข็งกระด้างใช่ไหม?

18 หรือท่านมีตาแต่มองไม่เห็น มีหูแต่ไม่ได้ยินหรือ? และท่านจำไม่ได้หรือ?

19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้คนห้าพันคน พวกท่านเก็บที่เหลือได้กี่ตะกร้า?”

พวกเขาทูลว่า “สิบสองตะกร้า”

20 พระองค์ทรงถามว่า “และเมื่อเราหักขนมปังเจ็ดก้อนให้คนสี่พันคน พวกท่านเก็บได้กี่ตะกร้า?”

พวกเขาทูลว่า “เจ็ดตะกร้า”

21 พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

ทรงรักษาคนตาบอดที่เบธไซดา

22 เมื่อมาถึงเมืองเบธไซดามีคนพาชายตาบอดมาทูลอ้อนวอนให้พระเยซูทรงแตะต้อง

23 พระองค์ทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาของคนนั้น และวางพระหัตถ์เหนือเขาและตรัสถามว่า “ท่านเห็นอะไรบ้างไหม?”

24 เขาเงยหน้าขึ้นมองและทูลว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา”

25 พระเยซูทรงวางพระหัตถ์ที่ตาของเขาอีกครั้งหนึ่ง แล้วตาของเขาก็เปิด สายตากลับเป็นปกติ และมองเห็นทุกอย่างชัดเจน

26 พระเยซูจึงทรงให้เขากลับบ้านโดยกำชับว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน”

เปโตรรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์

27 พระเยซูกับเหล่าสาวกไปยังหมู่บ้านต่างๆ แถบซีซารียาฟีลิปปี ระหว่างทางพระองค์ทรงถามสาวกว่า “ผู้คนเขาพูดกันว่าเราเป็นใคร?”

28 สาวกทูลว่า “บางคนก็ว่าเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์ และบางคนก็ว่าเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง”

29 พระองค์ตรัสถามว่า “แล้วพวกท่านเล่า? พวกท่านว่าเราเป็นใคร?”

เปโตรทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์”

30 พระเยซูทรงเตือนพวกเขาไม่ให้บอกใคร

พระเยซูทรงทำนายถึงการสิ้นพระชนม์

31 นับแต่นั้นมาพระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนเหล่าสาวกว่าบุตรมนุษย์ต้องทนทุกข์หลายประการ บรรดาผู้อาวุโส พวกหัวหน้าปุโรหิต กับเหล่าธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกประหารและในวันที่สามจะทรงเป็นขึ้นมาอีก

32 พระองค์ตรัสเรื่องนี้อย่างชัดแจ้ง ฝ่ายเปโตรดึงพระองค์เลี่ยงไปอีกทางหนึ่งและทูลติติงพระองค์

33 แต่เมื่อพระเยซูทรงหันมามองดูเหล่าสาวก พระองค์ทรงตำหนิเปโตรว่า “ถอยไปเจ้าซาตาน! เจ้าไม่ได้มีความคิดอย่างพระเจ้าแต่คิดอย่างมนุษย์”

34 แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนกับเหล่าสาวกเข้ามาและตรัสว่า “หากผู้ใดต้องการจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตัวเอง รับกางเขนของตนแบก และตามเรามา

35 เพราะผู้ใดต้องการเอาชีวิตรอดผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดพลีชีวิตเพื่อเราและข่าวประเสริฐผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด

36 จะมีประโยชน์อะไรที่คนๆ หนึ่งจะได้โลกนี้ทั้งโลกแต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน?

37 หรือใครจะเอาอะไรมาแลกกับจิตวิญญาณของตนได้?

38 ในชั่วอายุที่บาปหนาและเอาใจออกห่างจากพระเจ้านี้ ถ้าผู้ใดอับอายในตัวเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะอับอายในตัวเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระเกียรติสิริแห่งพระบิดาพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/8-b50fe02b18af4e9c4f167e0601a12b33.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 9

1 และพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าบางคนซึ่งยืนอยู่ที่นี่ยังไม่ทันจะได้ลิ้มรสความตายก็ได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยฤทธิ์อำนาจแล้ว”

ทรงจำแลงพระกาย

2 หกวันต่อมาพระเยซูทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง พระวรกายก็เปลี่ยนไปต่อหน้าพวกเขาที่นั่น

3 ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ จะหาใครในโลกฟอกให้ขาวปานนั้นไม่มีเลย

4 และโมเสสกับเอลียาห์ก็ปรากฏกายต่อหน้าพวกเขาและสนทนากับพระเยซู

5 เปโตรทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ดีจริงที่พวกข้าพระองค์ได้มาอยู่ที่นี่ ให้เราสร้างเพิงขึ้นสามหลัง สำหรับพระองค์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง และสำหรับเอลียาห์อีกหลังหนึ่ง”

6 (เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเพราะพวกเขาตกใจกลัวมาก)

7 แล้วก็มีเมฆปรากฏขึ้นปกคลุมพวกเขาและมีพระสุรเสียงจากเมฆว่า “คนนี้คือลูกที่รักของเรา จงเชื่อฟังเขาเถิด!”

8 ทันใดนั้นพวกเขามองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครอื่นนอกจากพระเยซู

9 ขณะลงจากภูเขาพระเยซูทรงกำชับพวกเขาไม่ให้เล่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นจากตายแล้ว

10 ทั้งสามเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวโดยหารือกันถึงความหมายของคำว่า “เป็นขึ้นจากตาย”

11 และพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกธรรมาจารย์จึงบอกว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน?”

12 พระเยซูทรงตอบว่า “ถูกแล้ว เอลียาห์มาก่อนจริงๆ และทำให้ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม แล้วเหตุใดจึงมีเขียนไว้ว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์แสนสาหัสและถูกปฏิเสธ?

13 แต่เราบอกพวกท่านว่าเอลียาห์มาแล้วและคนเหล่านั้นทำกับเขาตามใจชอบทุกอย่างเหมือนที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับเขา”

ทรงรักษาเด็กผู้ชายที่ถูกวิญญาณชั่วสิง

14 เมื่อพระเยซูกับสาวกทั้งสามคนมาหาสาวกคนอื่นๆ ก็เห็นฝูงชนกลุ่มใหญ่ห้อมล้อมคนเหล่านั้นอยู่และกลุ่มธรรมาจารย์กำลังถกเถียงกับเหล่าสาวก

15 ทันทีที่ประชาชนทั้งปวงเห็นพระเยซู พวกเขาก็แปลกใจยิ่งนักและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์

16 พระองค์ตรัสถามว่า “พวกท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันหรือ?”

17 คนหนึ่งในฝูงชนทูลว่า “พระอาจารย์ข้าพระองค์พาลูกชายมาหาพระองค์ เขาถูกผีสิงทำให้เป็นใบ้

18 เวลาผีเข้าสิงมันก็ทำให้ล้มลงที่พื้น น้ำลายฟูมปาก กัดฟันแน่น ตัวแข็ง ข้าพระองค์ขอให้สาวกของพระองค์ขับผีนี้ออกแต่พวกเขาก็ทำไม่ได้”

19 พระเยซูตรัสตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะอยู่กับพวกท่านนานเท่าใด? เราจะทนพวกท่านนานเท่าใด? จงพาเด็กนั้นมาหาเรา”

20 พวกเขาจึงพามา เมื่อผีที่สิงอยู่เห็นพระเยซู ทันใดนั้นมันก็ทำให้เด็กชัก ล้มลงกลิ้งไปมาที่พื้น น้ำลายฟูมปาก

21 พระเยซูตรัสถามพ่อของเด็กว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าใด?”

เขาทูลว่า “ตั้งแต่เด็ก

22 มันทำให้เขาตกน้ำตกไฟบ่อยๆ เพื่อฆ่าเขา แต่ถ้าพระองค์ทรงช่วยได้ขอโปรดสงสารเราและช่วยเราด้วยเถิด”

23 พระเยซูตรัสว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับคนที่เชื่อ”

24 พ่อของเด็กร้องทูลทันทีว่า “ข้าพระองค์เชื่อ ที่ยังขาดความเชื่ออยู่นั้นขอทรงช่วยให้เชื่อด้วยเถิด!”

25 พระเยซูทรงเห็นฝูงชนกรูกันเข้ามาจึงตรัสสำทับวิญญาณชั่วว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกมาจากเขาและอย่ากลับเข้าไปสิงเขาอีก”

26 ผีนั้นก็หวีดร้องทำให้เด็กชักดิ้นอย่างรุนแรงแล้วออกมา เด็กนั้นแน่นิ่งเหมือนคนตายจนหลายคนพูดว่า “เขาตายแล้ว”

27 แต่พระเยซูทรงจับมือของเขาและพยุงขึ้น เขาก็ลุกขึ้นยืน

28 หลังจากพระเยซูทรงเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวและทูลถามว่า “เหตุใดพวกข้าพระองค์จึงไม่สามารถขับผีนั้นได้?”

29 พระองค์ตรัสว่า “ผีแบบนี้จะขับออกได้ก็โดยการอธิษฐานเท่านั้น”

30 พระเยซูกับสาวกออกจากที่นั่นผ่านไปทางแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครรู้ว่าทรงอยู่ที่ไหน

31 เพราะทรงสั่งสอนพวกสาวกอยู่ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และหลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย”

32 แต่เหล่าสาวกไม่เข้าใจว่าทรงหมายความว่าอย่างไรและไม่กล้าทูลถามพระองค์

ผู้ใดเป็นใหญ่ที่สุด

33 เมื่อพวกเขามาถึงเมืองคาเปอรนาอุม ขณะพระองค์อยู่ในบ้านพระองค์ทรงถามพวกเขาว่า “ระหว่างทางพวกท่านถกเถียงกันเรื่องอะไร?”

34 แต่พวกเขานิ่งอยู่เพราะระหว่างทางพวกเขาเถียงกันเรื่องใครเป็นใหญ่ที่สุด

35 พระเยซูประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาและตรัสว่า “หากผู้ใดอยากเป็นที่หนึ่งเขาต้องเป็นคนสุดท้ายและเป็นคนรับใช้ของคนทั้งปวง”

36 พระองค์ทรงนำเด็กเล็กๆ คนหนึ่งมายืนท่ามกลางพวกเขา ทรงอุ้มเด็กนั้นไว้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า

37 “ผู้ใดต้อนรับเด็กน้อยเช่นนี้ในนามของเราก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ไม่ได้ต้อนรับเราเท่านั้นแต่ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาด้วย”

ผู้ที่ไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา

38 ยอห์นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกข้าพระองค์เห็นชายคนหนึ่งขับผีออกในพระนามของพระองค์ พวกข้าพระองค์จึงห้ามเขาเพราะเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มของเรา”

39 พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามเขาเลย ไม่มีใครหรอกที่ทำการอัศจรรย์ในนามของเราแล้วครู่ต่อมาก็พูดไม่ดีเกี่ยวกับเรา

40 เพราะผู้ใดไม่ได้ต่อต้านเราก็อยู่ฝ่ายเรา

41 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดเอาน้ำเย็นถ้วยหนึ่งให้ท่านในนามของเราเนื่องจากท่านเป็นคนของพระคริสต์ ผู้นั้นจะไม่ขาดบำเหน็จอย่างแน่นอน”

ต้นเหตุให้ทำบาป

42 “และหากผู้ใดเป็นเหตุให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้ที่เชื่อในเราสักคนหนึ่งทำบาป ให้เอาหินโม่ผูกคอผู้นั้นแล้วโยนเขาลงทะเลก็ยังจะดีกว่า

43 หากมือของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่มือด้วนก็ยังดีกว่ามีสองมือครบแต่ต้องตกนรกซึ่งมีไฟไม่รู้ดับ

45 และหากเท้าของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตทั้งๆ ที่ขาพิการยังดีกว่ามีสองเท้าครบแต่ต้องถูกโยนลงนรก

47 และหากตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาปจงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้าโดยมีตาข้างเดียวก็ยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกโยนลงนรก

48 ที่ซึ่ง

“ ‘หนอนของคนเหล่านั้นไม่มีวันตาย

และไฟก็ไม่รู้ดับ’

49 ทุกคนจะถูกเคล้าเกลือชำระด้วยไฟ

50 “เกลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามันหมดความเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร? ท่านจงมีเกลืออยู่ในตัวและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/9-1f9c03a3675a16db53b74726ce217ab6.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 10

การหย่าร้าง

1 จากที่นั่นพระเยซูเสด็จไปยังแคว้นยูเดียและอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน ฝูงชนมากมายหลายกลุ่มติดตามพระองค์มาอีกและพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาเหมือนเช่นเคย

2 ฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์โดยทูลถามว่า “ผิดบัญญัติหรือไม่ที่ผู้ชายจะขอหย่าภรรยา?”

3 พระองค์ตรัสว่า “โมเสสได้สั่งไว้ว่าอย่างไร?”

4 พวกเขาทูลว่า “โมเสสอนุญาตให้ผู้ชายเขียนหนังสือหย่าและส่งภรรยาไป”

5 พระเยซูตรัสว่า “เพราะพวกท่านใจแข็งกระด้างโมเสสจึงเขียนบทบัญญัติข้อนี้ให้

6 แต่เริ่มแรกในการทรงสร้างนั้นพระเจ้า ‘ทรงสร้างพวกเขาเป็นผู้ชายและผู้หญิง’

7 ‘เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะละจากบิดามารดาของตนไปผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกับภรรยา

8 และทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน’ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไปแต่เป็นหนึ่งเดียว

9 ฉะนั้นที่พระเจ้าทรงผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้มนุษย์แยกออกจากกันเลย”

10 เมื่อกลับเข้าไปในบ้านอีกเหล่าสาวกทูลถามพระเยซูถึงเรื่องนี้

11 พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้ใดหย่าภรรยาแล้วไปแต่งงานกับหญิงอื่นก็ล่วงประเวณีต่อนาง

12 และหากนางหย่าจากสามีแล้วไปแต่งงานกับชายอื่นนางก็ล่วงประเวณี”

พระเยซูกับเด็กเล็กๆ

13 ประชาชนพาเด็กเล็กๆ มาให้พระเยซูทรงแตะต้องแต่เหล่าสาวกตำหนิพวกเขา

14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นก็ไม่พอพระทัยจึงตรัสกับพวกเขาว่า “จงให้เด็กเล็กๆ มาหาเรา อย่าขัดขวางเขาเลย เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนเด็กๆ เหล่านี้

15 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดไม่รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ ผู้นั้นจะไม่มีวันได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าเลย”

16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กๆ ทรงวางพระหัตถ์บนพวกเขาและอวยพร

เศรษฐีหนุ่ม

17 ขณะพระเยซูเสด็จออกไปชายคนหนึ่งวิ่งมาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์แล้วทูลถามว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรบ้างจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?”

18 พระเยซูทรงตอบว่า “ทำไมท่านจึงว่าเราประเสริฐ? นอกจากพระเจ้าแล้วไม่มีใครอื่นที่ประเสริฐ

19 ท่านก็รู้บทบัญญัติที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกง จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’”

20 เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ทั้งหมดนี้ข้าพเจ้าถือปฏิบัติมาตั้งแต่เด็ก”

21 พระเยซูทอดพระเนตรมาที่เขา ทรงรักเขาและตรัสว่า “ท่านยังขาดอยู่อย่างหนึ่ง จงไปขายทุกสิ่งที่มี แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ จากนั้นจงตามเรามา”

22 เขาได้ยินเช่นนั้นก็หน้าสลดแล้วจากไปด้วยความทุกข์เพราะเขาร่ำรวยมาก

23 พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบๆ แล้วตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ยากนักที่คนรวยจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า!”

24 เหล่าสาวกแปลกใจในพระดำรัส แต่พระเยซูตรัสอีกว่า “ลูกเอ๋ย ยากยิ่งนักที่จะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า!

25 ให้อูฐลอดรูเข็มยังง่ายกว่าที่คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”

26 เหล่าสาวกก็ยิ่งประหลาดใจจึงพูดกันว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะรอดได้?”

27 พระเยซูทอดพระเนตรที่พวกเขาและตรัสว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้ แต่สำหรับพระเจ้าทุกสิ่งเป็นไปได้”

28 เปโตรทูลว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละทิ้งทุกสิ่งมาติดตามพระองค์!”

29 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูกๆ หรือไร่นาเพื่อเราและเพื่อข่าวประเสริฐ

30 เขาจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้ (ไม่ว่าบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูก ไร่นา รวมทั้งการข่มเหง) และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์

31 แต่หลายคนที่เป็นคนต้นจะกลับไปเป็นคนสุดท้ายและคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนต้น”

ทรงพยากรณ์อีกว่าจะต้องสิ้นพระชนม์

32 พวกเขากำลังเดินทางขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มโดยมีพระเยซูทรงนำหน้าและเหล่าสาวกประหลาดใจ ส่วนคนที่ตามมารู้สึกกลัว อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูทรงพาสาวกทั้งสิบสองคนเลี่ยงออกมาและทรงบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับพระองค์ว่า

33 “พวกเรากำลังขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและบุตรมนุษย์จะถูกทรยศและถูกมอบให้พวกหัวหน้าปุโรหิตกับธรรมาจารย์ พวกเขาจะตัดสินประหารพระองค์และจะมอบพระองค์ให้คนต่างชาติ

34 คนเหล่านั้นจะเยาะเย้ยพระองค์และถ่มน้ำลายรดพระองค์ โบยตีพระองค์และฆ่าพระองค์ หลังจากนั้นสามวันพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย”

คำทูลขอของยากอบกับยอห์น

35 แล้วยากอบกับยอห์นบุตรชายของเศเบดีมาทูลพระเยซูว่า “พระอาจารย์ ข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาให้พระองค์กระทำตามคำขอของข้าพระองค์”

36 พระองค์ตรัสว่า “ท่านอยากให้เราทำอะไรให้?”

37 เขาทูลว่า “เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระเกียรติสิริ ขอให้ข้าพระองค์คนหนึ่งนั่งข้างขวาและอีกคนหนึ่งนั่งข้างซ้ายของพระองค์”

38 พระเยซูตรัสว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำลังขออะไร ถ้วยที่เราดื่มท่านดื่มได้หรือ? และบัพติศมาที่เรารับท่านรับได้หรือ?”

39 พวกเขาตอบว่า “ได้พระเจ้าข้า”

พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะได้ดื่มจากถ้วยที่เราดื่มและรับบัพติศมาที่เรารับ

40 แต่ไม่ใช่เราที่จะจัดให้ใครนั่งซ้ายมือหรือขวามือของเรา แต่ที่ตรงนั้นเป็นของผู้ที่ทรงเตรียมไว้แล้ว”

41 เมื่อสาวกอีกสิบคนได้ยินเรื่องนี้ก็ไม่พอใจยากอบกับยอห์น

42 พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาพร้อมหน้ากันและตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าบุคคลที่ถือกันว่าเป็นผู้ปกครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือพวกเขา และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ใช้อำนาจเหนือพวกเขา

43 แต่สำหรับพวกท่านไม่เป็นเช่นนั้น ตรงกันข้าม ใครต้องการเป็นใหญ่ในพวกท่านผู้นั้นต้องรับใช้พวกท่าน

44 และผู้ใดต้องการเป็นที่หนึ่งผู้นั้นต้องเป็นทาสของคนทั้งปวง

45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ก็ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่มาเพื่อปรนนิบัติและประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก”

ชายตาบอดชื่อบารทิเมอัสมองเห็นได้

46 จากนั้นพระเยซูกับเหล่าสาวกมาถึงเมืองเยรีโคพร้อมกับฝูงชนกลุ่มใหญ่ ขณะกำลังจะออกจากเมือง ชายตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัส (คือบุตรทิเมอัส) นั่งขอทานอยู่ริมทาง

47 เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธเสด็จมา เขาก็ตะโกนขึ้นว่า “พระเยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”

48 หลายคนตำหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นว่า “บุตรดาวิดเจ้าข้า เมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด!”

49 พระเยซูทรงหยุดและตรัสสั่งว่า “จงเรียกเขามา”

ผู้คนจึงบอกชายตาบอดว่า “จงชื่นใจเถิด! ลุกขึ้น! พระองค์กำลังเรียกเจ้า”

50 เขาก็สลัดเสื้อคลุมทิ้งแล้วลุกพรวดขึ้นไปหาพระเยซู

51 พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านต้องการให้เราทำอะไรให้?”

ชายตาบอดนั้นทูลว่า “รับบี ข้าพระองค์อยากมองเห็น”

52 พระเยซูตรัสว่า “ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายแล้ว” ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้และตามพระเยซูไปตามทาง

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/10-d2b656dd7bce6490e85fa357e21b7b32.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 11

เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต

1 เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีที่ภูเขามะกอกเทศ พระเยซูทรงส่งสาวกสองคนไป

2 ตรัสสั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านข้างหน้านั้น พอเข้าเขตหมู่บ้านจะพบลูกลาตัวหนึ่งซึ่งยังไม่เคยมีใครขี่เลยผูกอยู่ จงแก้เชือกและจูงมาที่นี่

3 หากมีใครถามว่า ‘ท่านทำเช่นนี้ทำไม?’ จงบอกว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการลูกลานี้และประเดี๋ยวจะส่งกลับคืนให้ที่นี่’ ”

4 เขาทั้งสองก็ไปและพบลูกลาผูกอยู่นอกประตูที่ถนน ขณะกำลังแก้เชือก

5 บางคนซึ่งยืนอยู่แถวนั้นถามขึ้นมาว่า “ทำอะไร? เจ้าแก้เชือกผูกลูกลานั้นทำไม?”

6 เขาก็ตอบตามที่พระเยซูทรงสั่งไว้ พวกนั้นจึงยอมให้มา

7 เขานำลูกลามาให้พระเยซู แล้วเอาเสื้อคลุมของตนปูบนหลังลาให้พระองค์ประทับ

8 ฝูงชนเป็นอันมากเอาเสื้อคลุมปูบนทาง บางคนตัดกิ่งไม้จากท้องทุ่งมาปู

9 ฝูงชนทั้งที่นำเสด็จและตามเสด็จต่างโห่ร้องว่า

“โฮซันนา!

“สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาใน

พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”

10 “ขอให้อาณาจักรของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่จะมานี้ จงเจริญ!”

“โฮซันนาในที่สูงสุด!”

11 พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มและไปยังพระวิหาร พระองค์ทอดพระเนตรทุกสิ่งแต่เนื่องจากใกล้ค่ำแล้วจึงทรงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับสาวกทั้งสิบสองคน

พระเยซูทรงชำระพระวิหาร

12 เช้าวันรุ่งขึ้นขณะออกจากหมู่บ้านเบธานีพระเยซูทรงหิว

13 พระองค์ทรงเห็นต้นมะเดื่อใบดกแต่ไกลก็เสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ เมื่อทรงพบว่ามีแต่ใบไม่มีผลเพราะยังไม่ถึงฤดูออกผล

14 จึงตรัสแก่ต้นมะเดื่อนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” และเหล่าสาวกได้ยินพระดำรัสนี้

15 เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร ทรงขับไล่บรรดาผู้ที่ซื้อขายของกันที่นั่น ทรงคว่ำโต๊ะของผู้รับแลกเงินและม้านั่งของบรรดาคนขายนกพิราบ

16 และทรงห้ามไม่ให้ผู้ใดขนสินค้าผ่านลานพระวิหาร

17 พระองค์ทรงสอนพวกเขาว่า “มีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า

“ ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่า

นิเวศแห่งการอธิษฐานสำหรับมวลประชาชาติ’?

แต่พวกเจ้ามาทำให้กลายเป็น ‘ซ่องโจร’”

18 บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและธรรมาจารย์ได้ยินดังนั้นก็เริ่มหาช่องทางที่จะฆ่าพระเยซู เพราะพวกเขากลัวพระองค์เนื่องจากประชาชนทั้งปวงเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์

19 พอตกเย็นพระเยซูกับสาวกก็ออกจากกรุง

ต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉา

20 ในเวลาเช้าขณะมาตามทางพวกเขาเห็นต้นมะเดื่อเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก

21 เปโตรนึกขึ้นได้จึงทูลพระเยซูว่า “รับบี ดูสิ! มะเดื่อที่ทรงสาบเหี่ยวเฉาไปแล้ว!”

22 พระเยซูตรัสตอบว่า “จงเชื่อพระเจ้า

23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากผู้ใดสั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘จงทิ้งตัวลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัยเลยแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่เขาพูดก็จะเป็นจริงตามนั้น

24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าไม่ว่าท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งใดจงเชื่อว่าจะได้รับแล้วท่านจะได้สิ่งนั้น

25 เมื่อท่านยืนอธิษฐาน จงให้อภัยคนที่ท่านไม่พอใจ เพื่อพระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยบาปของท่าน”

ปัญหาเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซู

27 เมื่อพวกเขามาถึงกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้ง ขณะพระเยซูทรงดำเนินอยู่ในลานพระวิหาร พวกหัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และเหล่าผู้อาวุโสมาทูลถามพระองค์ว่า

28 “ท่านทำสิ่งเหล่านี้โดยอาศัยสิทธิอำนาจใด? และใครให้สิทธิอำนาจท่านทำเช่นนี้?”

29 พระเยซูตรัสตอบว่า “เราก็จะถามท่านสักข้อหนึ่ง จงตอบมาแล้วเราจะบอกว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้

30 บัพติศมาของยอห์นมาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์? จงบอกเรามา!”

31 พวกเขาหารือกันว่า “ถ้าตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำไมท่านไม่เชื่อยอห์น?’

32 แต่ถ้าจะว่า ‘มาจากมนุษย์’…” (พวกเขากลัวประชาชนเพราะทุกคนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ)

33 ดังนั้นพวกเขาจึงทูลพระเยซูว่า “พวกเราไม่ทราบ”

พระเยซูตรัสว่า “เราก็จะไม่บอกพวกท่านเช่นกันว่าเราอาศัยสิทธิอำนาจใดทำสิ่งเหล่านี้”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/11-c98f1e0381e856e1028b31b547b0a766.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 12

คำอุปมาเรื่องผู้เช่าสวน

1 แล้วพระองค์ตรัสคำอุปมาแก่พวกเขาว่า “ชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น เขาล้อมรั้วกั้นสวน สกัดบ่อย่ำองุ่น และสร้างหอไว้เฝ้า จากนั้นให้ชาวสวนเช่าแล้วเดินทางจากไปต่างแดน

2 เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวเขาส่งคนรับใช้มาหาผู้เช่าเพื่อรับส่วนแบ่งของผลผลิตจากสวนองุ่น

3 แต่พวกผู้เช่าก็จับคนรับใช้นั้นทุบตีและไล่ให้กลับไปมือเปล่า

4 เขาจึงส่งคนรับใช้อีกคนหนึ่งมาก็ถูกพวกนั้นฟาดหัวและทำให้อับอายขายหน้า

5 เจ้าของยังส่งอีกคนหนึ่งมา พวกเขาก็ฆ่าคนนั้นเสีย เจ้าของส่งคนอื่นๆ มาอีกหลายคน บางคนก็ถูกทุบตี บางคนก็ถูกฆ่า

6 “เหลืออยู่อีกคนเดียวที่จะส่งมาคือลูกชายที่เขารัก เขาส่งมาเป็นคนสุดท้ายเพราะคิดว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพบุตรของเรา’

7 “แต่พวกผู้เช่าพูดกันว่า ‘นี่ไงทายาท ให้เราฆ่าเขาแล้วมรดกจะตกเป็นของเรา’

8 พวกนั้นจึงจับเขาฆ่าแล้วโยนออกมานอกสวนองุ่น

9 “แล้วเจ้าของสวนจะทำอย่างไร? เขาย่อมจะมาฆ่าผู้เช่าเหล่านั้นและให้คนอื่นเช่าสวนองุ่นนี้แทน

10 พวกท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือที่ว่า

“ ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทิ้งแล้ว

บัดนี้กลับกลายเป็นศิลามุมเอก

11 องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการนี้

เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในสายตาของเรา’”

12 พวกเขารู้ว่าพระองค์ตรัสคำอุปมาต่อว่าพวกเขา พวกเขาจึงหาทางจับกุมพระองค์แต่ก็กลัวประชาชน ดังนั้นจึงละจากพระองค์ไป

การเสียภาษีแก่ซีซาร์

13 ต่อมาพวกเขาส่งฟาริสีบางคนกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดมาหาพระเยซูเพื่อจับผิดถ้อยคำของพระองค์

14 พวกนั้นมาทูลว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อตรงไม่เอนเอียงไปตามมนุษย์ เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใครแต่สอนทางของพระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?

15 เราควรเสียหรือไม่ควรเสีย?”

แต่พระเยซูทรงรู้ทันความหน้าซื่อใจคดของเขาจึงตรัสว่า “พวกท่านมาจับผิดเราทำไม? เอาเหรียญหนึ่งเดนาริอันมาให้เราดูซิ”

16 พวกเขาก็นำเหรียญมาถวายและพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปนี้เป็นของใคร? และคำจารึกเป็นของใคร?”

เขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์”

17 แล้วพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”

พวกเขาก็ทึ่งในพระองค์ยิ่งนัก

ปัญหาเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย

18 ฝ่ายพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายมาทูลถามพระองค์ว่า

19 “ท่านอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งพวกเราไว้ว่าถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร ให้พี่ชายหรือน้องชายของเขาแต่งงานกับภรรยาม่ายเพื่อจะมีบุตรสืบสกุลให้ผู้นั้น

20 คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร

21 คนที่สองจึงรับพี่สะใภ้มาเป็นภรรยา แต่แล้วก็ตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน

22 จนมาถึงคนที่เจ็ด ทั้งหมดล้วนจากไปโดยไม่มีบุตร ท้ายที่สุดหญิงนั้นก็ตายด้วย

23 เมื่อเป็นขึ้นจากตายหญิงผู้นี้จะเป็นภรรยาของใครในเมื่อทั้งเจ็ดคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?”

24 พระเยซูทรงตอบว่า “ท่านผิดแล้ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์และไม่รู้จักฤทธิ์เดชของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?

25 เมื่อเป็นขึ้นจากตายนั้นจะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์

26 ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายนั้นพวกท่านยังไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสเรื่องพุ่มไม้นั้นหรือ? ที่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’?

27 พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตายแต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น พวกท่านเข้าใจผิดไปมาก!”

พระบัญญัติข้อใหญ่ที่สุด

28 ธรรมาจารย์คนหนึ่งได้ฟังการซักไซ้ไล่เลียงกันก็เห็นว่าพระเยซูทรงตอบได้ดี จึงทูลถามว่า “ในบรรดาพระบัญญัติทั้งสิ้นข้อไหนสำคัญที่สุด?”

29 พระเยซูตรัสตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่ง

30 จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของท่าน’

31 ส่วนข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ไม่มีบทบัญญัติใดใหญ่กว่าสองข้อนี้”

32 คนนั้นทูลว่า “ท่านอาจารย์ตอบได้ดี ถูกอย่างที่ท่านกล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งและไม่มีใครอื่นนอกจากพระองค์

33 การรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลังของท่าน และการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองก็สำคัญยิ่งกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาใดๆ ทั้งปวง”

34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าเขาตอบอย่างมีปัญญาก็ตรัสกับเขาว่า “ท่านไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้ามาตั้งคำถามกับพระองค์อีก

พระคริสต์เป็นบุตรของใคร

35 ขณะพระเยซูทรงสอนอยู่ในลานพระวิหาร พระองค์ตรัสถามว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่พวกธรรมาจารย์บอกว่าพระคริสต์เป็นบุตรดาวิด?

36 ดาวิดเองเมื่อกล่าวโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประกาศว่า

“ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า

“จงนั่งที่ขวามือของเรา

จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้า

ไว้ใต้เท้าของเจ้า” ’

37 ในเมื่อดาวิดเองเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่างไร?”

ฝูงชนกลุ่มใหญ่ฟังพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี

38 ขณะที่พระเยซูทรงสอนพระองค์ตรัสว่า “จงระวังพวกธรรมาจารย์ เขาชอบสวมเสื้อชุดยาวเดินไปมา ชอบให้ผู้คนมาคำนับทักทายในย่านตลาด

39 ชอบนั่งในที่สำคัญที่สุดในธรรมศาลาและที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยง

40 เขาริบเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานยืดยาวให้คนเห็น คนเช่นนี้จะถูกลงโทษอย่างหนักที่สุด”

เงินถวายของหญิงม่าย

41 พระเยซูประทับอยู่ตรงหน้าที่รับเงินถวายของพระวิหาร ทรงเฝ้าดูฝูงชนนำเงินมาใส่ คนรวยหลายคนเอาเงินจำนวนมากมาเทลงไป

42 แต่หญิงม่ายยากจนคนหนึ่งเอาเหรียญสองเหรียญมูลค่าแค่เศษเสี้ยวสตางค์มาถวาย

43 พระเยซูทรงเรียกเหล่าสาวกมาและตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหญิงม่ายยากจนคนนี้ถวายเข้าคลังพระวิหารมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งหมด

44 เพราะพวกเขาทั้งปวงล้วนเอาส่วนหนึ่งจากความมั่งคั่งของเขามาถวาย แต่หญิงม่ายนี้ทั้งที่ยากจนก็ยังเอาทุกสิ่ง คือทั้งหมดที่นางมีไว้เลี้ยงชีพมาถวาย”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/12-f00e85f23bb1dcb81f12f43d25aa5622.mp3?version_id=179—

Categories
มาระโก

มาระโก 13

หมายสำคัญแห่งวาระสิ้นยุค

1 ขณะพระเยซูเสด็จออกจากพระวิหาร สาวกคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ดูสิ พระอาจารย์! หินก้อนมหึมาทั้งนั้น! ช่างเป็นอาคารที่งามตระการตายิ่งนัก!”

2 พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านเห็นอาคารใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ใช่ไหม? ศิลาที่นี่จะไม่เหลือซ้อนทับกันสักก้อนเดียว ทุกก้อนจะถูกโยนทิ้งลงมาหมด”

3 ขณะพระเยซูประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศตรงข้ามกับพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์น และอันดรูว์มาทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า

4 “ขอทรงบอกพวกข้าพระองค์เถิด สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด? และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าสิ่งทั้งปวงนั้นกำลังจะสำเร็จ?”

5 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงระวัง อย่าให้ใครมาล่อลวงท่าน

6 หลายคนจะมาในนามของเราและอ้างตัวว่า ‘เราคือผู้นั้น’ แล้วล่อลวงคนเป็นอันมาก

7 เมื่อท่านได้ยินข่าวสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตกใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นต้องเกิดขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดจบ

8 ประชาชาติต่อประชาชาติและอาณาจักรต่ออาณาจักรจะสู้รบกัน จะเกิดแผ่นดินไหวและการกันดารอาหารในที่ต่างๆ เหตุการณ์เหล่านี้คือขั้นเริ่มต้นของความเจ็บปวดก่อนคลอดบุตร

9 “ท่านต้องเฝ้าระวัง ท่านจะถูกคุมตัวไปยังที่ว่าการในท้องที่และถูกโบยตีในธรรมศาลา ท่านต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าผู้ว่าการและกษัตริย์แล้วเป็นพยานแก่พวกเขาเพื่อเรา

10 ข่าวประเสริฐต้องประกาศแก่มวลประชาชาติก่อน

11 เมื่อใดก็ตามที่ท่านถูกจับกุมและส่งตัวขึ้นศาล อย่าวิตกกังวลไปก่อนว่าจะพูดอะไรดี จงพูดไปตามถ้อยคำที่ประทานแก่ท่านในเวลานั้นเพราะไม่ใช่ตัวท่านเองที่เป็นผู้พูดแต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์

12 “พี่น้องจะทรยศกันเองถึงตายและพ่อจะทรยศลูก ลูกจะกบฏต่อพ่อแม่และเป็นเหตุให้พวกเขาถึงตาย

13 คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงที่สุดจะรอด

14 “เมื่อใดที่ท่านเห็น ‘สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนอันเป็นต้นเหตุของวิบัติ’ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่ใช่ที่ของมัน(ให้ผู้อ่านทำความเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้ผู้ที่อยู่ในยูเดียหนีไปที่ภูเขา

15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้านอย่าลงมาหรือเข้าบ้านมาหยิบสิ่งใดออกไป

16 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาก็อย่ากลับไปเอาเสื้อคลุมของท่าน

17 วันเหล่านั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักสำหรับหญิงมีครรภ์หรือแม่ลูกอ่อน

18 จงอธิษฐานให้เหตุการณ์นี้ไม่เกิดในฤดูหนาว

19 เพราะเวลานั้นจะเป็นวาระแห่งความทุกข์ลำเค็ญอย่างที่ไม่มีครั้งใดเทียบเท่าตั้งแต่เริ่มแรกเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลกจนถึงบัดนี้ และจะไม่มีครั้งใดเทียบเท่าอีก

20 หากองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงร่นวันเหล่านั้นให้สั้นเข้าก็จะไม่มีใครเหลือรอดเลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้พระองค์จึงทรงทำให้วันเหล่านั้นสั้นลง

21 เมื่อเวลานั้นมาถึงหากมีใครมาบอกท่านว่า ‘ดูเถิด พระคริสต์อยู่ที่นี่!’ หรือ ‘ดูเถิด พระองค์อยู่ที่นั่น!’ อย่าไปเชื่อเลย

22 เพราะจะมีพระคริสต์ปลอมและผู้เผยพระวจนะเท็จปรากฏขึ้น พวกเขาจะแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อลวงผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้หากเป็นไปได้

23 ฉะนั้นจงระวัง เราบอกทุกอย่างแก่ท่านไว้ล่วงหน้าแล้ว

24 “แต่ในวาระนั้นหลังจากความทุกข์เข็ญ

“ ‘ดวงอาทิตย์จะถูกดับ

ดวงจันทร์จะไม่ทอแสง

25 ดวงดาวทั้งหลายจะร่วงจากท้องฟ้า

และฟ้าสวรรค์จะถูกเขย่า’

26 “เมื่อนั้นคนทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในหมู่เมฆด้วยเดชานุภาพและพระเกียรติสิริอันยิ่งใหญ่

27 พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มารวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้จากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินโลกถึงสุดขอบฟ้าสวรรค์

28 “จงเรียนรู้บทเรียนนี้จากต้นมะเดื่อ คือทันทีที่มันแตกกิ่งและผลิใบท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้เข้ามาแล้ว

29 เช่นเดียวกันเมื่อท่านเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ท่านก็รู้ว่าสิ่งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว อยู่ที่ประตูนี่เอง

30 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าคนในยุคนี้ยังไม่ทันล่วงลับไป สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ก็เกิดขึ้นแล้วอย่างแน่นอน

31 ฟ้าและดินจะสูญสิ้นไปแต่ถ้อยคำของเราจะไม่มีวันสูญสิ้น

วันเวลาที่ไม่มีใครรู้

32 “ไม่มีใครรู้วันเวลาที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แม้แต่ทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ พระบิดาเท่านั้นที่ทรงทราบ

33 จงระวัง! จงตื่นตัว!ท่านไม่รู้ว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อใด

34 ก็เหมือนชายคนหนึ่งออกจากบ้านไป เขาตั้งคนรับใช้ให้รับผิดชอบหน้าที่ต่างๆ ตามที่แต่ละคนได้รับมอบหมายและบอกคนเฝ้าประตูให้เฝ้าระวังไว้

35 “ฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อใด อาจจะกลับมาเวลาค่ำหรือเวลาเที่ยงคืน เวลาไก่ขัน หรือเวลารุ่งสาง

36 ถ้าเขากลับมากระทันหันก็อย่าให้เขาพบว่าท่านกำลังหลับอยู่

37 สิ่งที่เราบอกกับท่านเราก็บอกกับทุกๆ คนว่า ‘จงเฝ้าระวัง!’”

—https://api-cdn.youversionapi.com/audio-bible-youversionapi/26/32k/MRK/13-3dca5af48ec783c4b3411860ff91011a.mp3?version_id=179—